พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2022/23 มีหลายทีมที่ยกระดับขึ้นมาต่อกรกับบรรดาทีมระดับท็อปของลีกได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือสโมสรไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน
โดยเฉพาะช่วงที่ทีมได้ โรแบร์โต้ เดอ แซร์บี้ เข้าทำหน้าที่เป็นกุนซือ ดูเหมือนว่าเฮดโค้ชอิตาเลียนผู้นี้จะยิ่งทำให้ทัพ เดอะ ซีกัลส์ บินสูงยิ่งขึ้นไปอีก และกลายเป็นการยกระดับทีมไปอีกขั้นต่อจากที่เคยสร้างมาตรฐานไว้ดีอยู่แล้วในยุคก่อนหน้าที่มี แกรห์ม พอตเตอร์ คุมทัพ
เดอ แซร์บี้ เป็นใครมาจากไหน เขาทำให้ทีมนกนางนวลแดนใต้ผงาดขึ้นมาเป็นทีมที่มีลุ้นพื้นที่ฟุตบอลยุโรป รวมไปถึงลุ้นเข้ารอบลึก ๆ ของฟุตบอลถ้วยได้อย่างไร มาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันกับ Main Stand
นักเตะโนเนมสู่กุนซือลีกล่าง
โรแบร์โต้ เดอ แซร์บี้ เป็นอดีตเด็กในคาถาของอคาเดมี เอซี มิลาน ทีมแกร่งในอิตาลี เคยเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก ทว่ากลับไม่สามารถแจ้งเกิดภายใต้อาภรณ์ของทีมฉายา รอสโซเนรี่ ได้ เป็นเหตุให้ต้องระเห็จระเหินย้ายไปเล่นให้ทีมทั้งในระดับเซเรีย บี และเซเรีย ซี ร่วม 4 ฤดูกาล
แม้จะไม่ได้เป็นนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ ทว่า เดอ แซร์บี้ ก็เคยสัมผัสการค้าแข้งบนลีกสูงสุดอยู่บ้างร่วมกับ นาโปลี รวมถึงเคยไปโลดแล่นในต่างแดนที่โรมาเนีย และเคยเป็นแชมป์ลีกร่วมกับทีมยักษ์แดนผีดิบอย่าง ซีเอฟอาร์ คลูจ ถึงสองสมัย ก่อนตัดสินใจแขวนสตั๊ดในปี 2013 ฝากสถิติรวมลงสนามในเกมลีกอาชีพเกือบถึงหลัก 300 นัด
เดอ แซร์บี้ ยังไม่หันหลังให้แวดวงฟุตบอลเฉกเช่นกับนักฟุตบอลหลาย ๆ คน และมีเป้าหมายใหม่ในเส้นทางลูกหนัง นั่นคือการจับงาน “กุนซือ”
เดอ แซร์บี้ เริ่มต้นงานจัดการทีมหนแรกในปีเดียวกับที่ตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ เขาประเดิมด้วยการคุมทีม ดาร์โฟ บอริโอ ซึ่งเป็นทีมสมัครเล่นจากเวทีเซเรีย ดี จากนั้นก็ค่อย ๆ ไต่เต้าสู่ดิวิชั่นที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านการคุมทั้งฟอจจา, ปาแลร์โม่ และ เบเนเวนโต้
โดยช่วงเวลาที่น่าจดจำและเริ่มสร้างชื่อในแวดวงลูกหนังอิตาเลียนอย่างแท้จริงคือช่วงที่เขาเป็นเฮดโค้ชให้สโมสร “ซาสซูโอโล่” ซึ่งในเวลานั้นเขาได้รับการจับตามองว่าเป็นกุนซือที่เน้นทำทีมสไตล์เกมรุก และมีแนวทางการครองบอลที่เหนียวแน่น ว่ากันว่าเขาเรียนรู้ศาสตร์ลูกหนังส่วนนี้จากครูชั้นดีของวงการ
บ่มเพาะงานโค้ช เรียนรู้จากครูชั้นดี
เดอ แซร์บี้ สร้างเกียรติประวัติของตัวเองร่วมกับซาสซูโอโล่ เขาพาสโมสรจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 8 ถึง 2 ฤดูกาลติด พร้อมสถิติคุมลูกทีมด้วยแทคติกและวิธีการเล่นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในฤดูกาล 2020/21 (ปีสุดท้ายที่คุม) เดอ แซร์บี้ ทำทีมสร้างสถิติครองบอลเฉลี่ยต่อนัดร้อยละ 61 นักเตะสัมผัสบอลรวมกันถึง 29,165 ครั้ง เป็นจำนวนที่มากที่สุดในบรรดา 20 ทีม
นอกจากนี้ เขายังเป็นคนเค้นศักยภาพของทั้ง โดเมนิโก แบร์ราดี้ รวมทั้ง มานูเอล โลคาเตลลี่ จนกลายเป็นแข้งระดับแถวหน้าของลีก และก้าวขึ้นไปติดทีมชาติอิตาลีชุดใหญ่อีกด้วย
เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบจับพลัดจับผลู เพราะ เดอ แซร์บี้ ไปเรียนรู้แทคติกการทำทีมลักษณะนี้ โดยเฉพาะกับสองยอดกุนซืออย่าง มาร์เซโล บิเอลซ่า และ เป๊ป กวาร์ดิโอลา
ครั้งหนึ่งในช่วงที่โดนปาแลร์โม่ปลดพ้นเก้าอี้กุนซือจากผลงานคุมทีมในกัลโช่ เซเรีย อา ที่เขาพาทีมชนะแค่นัดเดียวจากทั้งหมด 13 นัด เดอ แซร์บี้ เคยส่งข้อความไปหาบิเอลซ่าเพื่อขอไปอยู่เรียนรู้วิชาจากขรัวเฒ่าลูกหนังแดนฟ้าขาวรายนี้ ที่ในเวลานั้นเป็นกุนซือของ ลีลล์
ผลคือคำขอของเขาได้รับการตอบรับ เดอ แซร์บี้ พร้อมทีมงานได้คำเชิญจากบิเอลซ่าในการเข้าไปเรียนรู้วิธีการและแทคติกเป็นเวลา 1 สัปดาห์เต็ม
นอกจากนี้ เขายังเคยบอกกับสื่ออิตาลีอย่าง Sky Italia อย่างตรงไปตรงมาว่าขอให้จบการสัมภาษณ์โดยเร็ว เพราะจะรีบกลับไปดูบิเอลซ่าคุม ลีดส์ ยูไนเต็ด ลงบู๊คู่แข่ง
“เขา (บิเอลซ่า) เป็นหนึ่งในโค้ชที่ดีที่สุดเท่าที่ผมรู้จักมาในวงการฟุตบอล เขาเป็นโค้ชผู้ยิ่งใหญ่ที่มอบโอกาสนี้ให้กับโค้ชอายุน้อยและพูดคุยกับผมราวกับว่าผมเป็น หลุยส์ ฟาน กัล หรือ โชเซ่ มูรินโญ่ ยังไงยังงั้น ผมมีความรักให้เขาอยู่เสมอ ผมเฝ้าดูเขาและชื่นชมผลงานของเขา บิเอลซ่าอุทิศชีวิตตัวเองเพื่องานของเขา มันใกล้เคียงกับคำว่าหมกมุ่นเลย ผมเองก็เช่นกัน” เดอ แซร์บี้ บอกกับ Daily Mail
ขณะที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นกุนซือระดับไอคอนของวงการฟุตบอลสมัยใหม่ ซึ่ง โรแบร์โต้ เดอ แซร์บี้ ก็เป็นอีกคนที่พยายามศึกษาแนวทางการทำทีมของผู้จัดการทีมสแปนิชและนำมาปรับใช้กับทีมที่เขาคุม
ว่ากันว่า เดอ แซร์บี้ ติดตามแนวทางการทำทีมของเป๊ปมาตั้งแต่สมัยคุมทีมแรกในอาชีพกับ ดาร์โฟ บัวริโอ ถึงขั้นที่ว่าเคยเดินทางไปชม บาเยิร์น มิวนิค ที่ในเวลานั้นกวาร์ดิโอลาคุมทีมสมัยที่เดินทางมาเก็บตัวพรีซีซั่นที่อิตาลีมาแล้ว ซึ่งปัจจุบันทั้งสองก็มีความสนิทสนมกันดี และต่างก็ออกมาชื่นชมแนวทางการทำงานของกันและกัน
“เราได้พูดคุยกัน 2-3 ครั้ง เราคุยกันถึงฟุตบอลเป็นหลัก แนวทางที่เขาทำมันขัดแย้งกับรูปแบบวัฒนธรรมการเล่นฟุตบอลในอิตาลี วิธีการเล่นของเขานำมาซึ่งความสำเร็จมากมายในทีมชาติ เขากำลังเล่นฟุตบอลในแนวทางที่แตกต่างออกไป ซึ่งทีมอย่างซาสซูโอโล่คือตัวอย่างที่ดี” เป๊ป กวาร์ดิโอลา ให้สัมภาษณ์ถึง โรแบร์โต้ เดอ แซร์บี้
“ไม่สำคัญว่าคุณภาพหรือนักเตะที่คุณมีเป็นแบบใด ถ้าคุณเชื่อ 100% ในแนวทางที่คุณต้องการจะเล่นคุณก็สามารถทำได้ มันไม่สำคัญว่าคุณจะเริ่มต้นอย่างไร มันสำคัญเรื่องวิธีการที่คุณเชื่อในทุก ๆ สโมสรที่เขาไปคุม”
จากนั้นเขาก็ขยับเส้นทางกุนซือไปอีกขั้น เมื่อตัดสินใจโยกข้ามฟากมายังตะวันออกของทวีปยุโรป เข้ามาคุมทีมแกร่งของยูเครนอย่าง ชัคตาร์ โดเนตสก์
เดอ แซร์บี้ จารึกชื่อเสียงของตัวเองอีกครั้งที่ยูเครน เมื่อเขากลายเป็นกุนซืออิตาเลียนคนแรกที่หยิบโทรฟี่ยูเครเนียน ซูเปอร์ คัพ 2021 มาครองร่วมกับชัคตาร์ หลังปราบคู่ปรับตลอดกาลอย่าง ดินาโม เคียฟ ไปได้
นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ปลุกปั้น มีคายโล มูดรีค ให้ก้าวขึ้นมาเป็นดาวดวงใหม่ของวงการลูกหนังของประเทศ จนได้ย้ายไปเล่นให้ เชลซี ชนิดที่ค่าตัวสูงถึง 100 ล้านยูโรเลยทีเดียว
ถึงกระนั้นเส้นทางคุมทีมในยูเครนต้องมายุติลงหลังคุมทีมไปได้แค่ 30 นัด เหตุเพราะกองทัพรัสเซียได้บุกเข้ามายังพื้นที่ของยูเครน จนเกิดเป็นสงครามระหว่างสองชาติที่กินเวลามาจนถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม กุนซือที่ปัจจุบันอายุ 43 ปีว่างงานได้เพียงสองเดือนเศษ และเป็นอีกครั้งที่ความท้าทายบนถนนลูกหนังมาเยือนตัวเขาเอง หลังบรรลุข้อตกลงเป็นกุนซือใหญ่ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ในเดือนกันยายน 2022
เดอะ ซีกัลส์ และการเข้ามาของ เดอ แซร์บี้
2017/18 เป็นฤดูกาลแรกในรอบ 34 ปีที่ทีมฉายา “นกนางนวลแดนใต้” เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดของอังกฤษ และเป็นฤดูกาลแรกที่สโมสรลงเล่นในพรีเมียร์ลีก ภายใต้การคุมทีมของกุนซือไอริช คริส ฮิวจ์ตัน
ทว่าอาจด้วยชื่อชั้นของนักเตะบวกกับความเขี้ยวที่ต้องต่อกรกับเหล่าทีมน้อยใหญ่บนลีกที่ว่ากันว่ามีความแข็งแกร่งและได้รับความนิยมไปทั่วโลก ทำให้ไบรท์ตันยังอยู่ในสถานะทีมอันดับล่างของตาราง โดยในสองฤดูกาลแรกบนพรีเมียร์ลีกพวกเขาจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 15 และ 17 ตามลำดับ
โทนี่ บลูม เจ้าของสโมสรซึ่งเป็นแฟนเดนตายของทีมขนานแท้ ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในทีม และเชื่อว่าไบรท์ตันมีศักยภาพมากพอที่จะเป็นทีมอันดับท็อป 10 ของลีก
สิ่งแรกที่เขาทำหลังจบฤดูกาล 2018/19 ก็คือการรื้อเครื่องทีมใหม่ ปรับโฉมกุนซือจาก คริส ฮิวจ์ตัน ที่เน้นบอลระบบ หนัก และดุดัน มาเป็นกุนซือไฟแรงที่ได้รับการจับตามองในลีกรองอย่าง แกรห์ม พอตเตอร์ ให้เข้ามาวางรากฐานใหม่ ด้วยรูปแบบการเล่นที่ยืดหยุ่น เข้าขารู้ใจ ช่วยกันเล่นเกมรับและรุก มีการเล่นบอลกับพื้นและคอยฉกฉวยโอกาสที่คู่แข่งพลาด ตลอดจนศาสตร์เรื่องการบริหารจัดการคน ดังที่แกรห์มเคยร่ำเรียนมาในระดับมหาบัณฑิต
ถึงแม้ว่าฤดูกาลแรกที่พอตเตอร์เข้ามาคุม ไบรท์ตันยังคงจบด้วยอันดับค่อนล่างของตาราง (15) แต่พอตเตอร์เชื่อว่าการวางรากฐานทีมให้ประสบความสำเร็จไม่ได้สำเร็จได้ในฤดูกาลเดียว เขาจึงค่อย ๆ เติมเต็มทีมและใส่รายละเอียดเสมือนคอยรดน้ำพรวนดินที่ไม่ช้าก็จะผลิดอกออกผล
พอตเตอร์ทำให้แฟน ๆ ไบรท์ตันได้เห็นว่าปรัชญาของเขาได้ผลในขวบปีต่อ ๆ มา การได้นักเตะที่ตรงสเปคที่มีทั้งความเก๋า ตลอดจนซื้อมาปั้นจนเป็นดาวเด่นเช่น อดัม ลัลลาน่า, แดนนี่ เวลเบ็ค, โจเอล เวลท์มัน, เลอันโดร ทรอสซาร์, อารอน มอย, อดัม เว็บสเตอร์, มอสเซส ไคเซโด้, มาร์ก คูคูเรญ่า, อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ รวมถึง คาโอรุ มิโตมะ ฯลฯ ทั้งหมดหลอมรวมให้ไบรท์ตัน “ไม่เหมือนเดิม” อีกต่อไป
เห็นได้ชัดที่สุดคือการจบฤดูกาล 2021/22 ด้วยอันดับ 9 ซึ่งเป็นอันดับที่สูงสุดของสโมสร และเก็บไปถึง 51 แต้ม ในตารางพรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ก่อตั้งทีมมาเมื่อกว่า 121 ปีที่แล้ว
ทำให้แสงสปอตไลต์เริ่มส่องมายังพอตเตอร์มากยิ่งขึ้น แถมในช่วงต้นฤดูกาล 2022/23 แม้จะมีการปล่อยตัวหลักอย่าง มาร์ก คูคูเรญ่า และ อีฟ บิสซูม่า ไป ทว่าความคิดสร้างสรรค์ของพอตเตอร์และหมากที่เขาวางไว้ตั้งแต่แรกก็ทำให้กุนซือรายนี้เริ่มมีทั้งคุณค่าและมูลค่าที่ “สูงขึ้น”
ก่อนจะเป็น เชลซี ที่ตัดสินใจทุ่มเงินราว 21.5 ล้านปอนด์ คว้าพอตเตอร์และทีมงานเข้าไปเป็นเฮดโค้ช
เป็นเหตุให้ เดอะ ซีกัลส์ ต้องเริ่มสรรหากุนซือใหม่อีกครั้ง และที่สำคัญต้องเป็นคนที่ต่อยอดจากฐานเดิมที่พอตเตอร์เคยวางไว้มาตลอด 40 เดือน ก่อนจะปรากฏเป็นชื่อของ เดอ แซร์บี้ ที่บอร์ดบริหารพิจารณาจากทั้งผลงานสมัยคุมซาสซูโอโล่และชัคตาร์ รวมถึงทึ่งในแนวคิดที่เข้าใจความเป็นไบรท์ตันเป็นอย่างดี
“ในการพบกันครั้งแรกระหว่าง เดอ แซร์บี้, บลูม และหัวหน้าฝ่ายบริหาร พอล บาร์เบอร์ รวมถึงผู้อำนวยการด้านเทคนิคอย่าง เดวิด เวียร์ ก็ประหลาดใจที่เขา [เดอ แซร์บี้] รู้ถึงวิวัฒนาการของรูปแบบการเล่นที่ไบรท์ตันในยุคพอตเตอร์ ตลอดจนการมีกลุ่มผู้เล่นที่เขาต้องการ” แอนดี้ เนย์เลอร์ และ เจมส์ ฮอร์นคาสเซิ่ล สองนักข่าวจาก The Athletic ระบุ
“จากช่วงเวลานั้น พวกเขา [ไบรท์ตัน] ไม่ได้มองข้าม เดอ แซร์บี้ ซึ่งเป็นกุนซือว่างงานหลังออกจากชัคตาร์”
“การประชุมอื่น ๆ ตามมาเพื่อได้ข้อสรุปเป็นข้อตกลงกับ เดอ แซร์บี้ ตัวแทนของเขาและทีมงานเบื้องหลังที่ทำงานด้วยกันมาตั้งแต่สมัยที่อยู่กับซาสซูโอโล่และชัคตาร์”
18 กันยายน 2022 ถึงวันทางการที่ไบรท์ตันประกาศตั้งกุนซือใหม่นาม โรแบร์โต้ เดอ แซร์บี้ พร้อมสัญญาวางรากฐานทีมระยะยาว 4 ปี
และอย่างที่ทุกคนทราบกันดี ผู้จัดการทีมจากเมืองเบรสชาเข้ามาแทนที่ของพอตเตอร์ได้อย่างไร้ที่ติ พร้อมพานกนางนวลบินสูงอย่างต่อเนื่อง
ต่อยอดและยกระดับ
แม้ว่าช่วง 5 เกมแรกของการออกสตาร์ทเป็นผู้จัดการทีมไบรท์ตันของ เดอ แซร์บี้ จะไม่มีผลชนะเลย จากการเสมอ 2 แพ้ 3 หนึ่งในนั้นคือเกมเจ๊า ลิเวอร์พูล ระทึก 3-3
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนี่เป็นการเขาเข้ามาคุมทีมกลางคัน รวมถึงเรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจของบอร์ดบริหารที่ต้องยืนยันว่าเลือกกุนซือมาถูกคน แม้จะมีเสียงวิจารณ์จากแฟนบอลบางคนที่คิดถึง แกรห์ม พอตเตอร์
ทว่าเมื่อทีมเปิดรับให้ เดอ แซร์บี้ ทำงานและแก้ไขสถานการณ์ของทีมต่อ จากนั้นทุกสิ่งอย่างก็ “พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ”
ในแมตช์เดย์ที่ 6 ที่เฮดโค้ชจากอิตาลีลงทำหน้าที่ข้างสนาม มันมีความสำคัญต่อทั้งตัวเขาเองและแฟน ๆ เพราะผู้มาเยือนคือ เชลซี ที่มีคนคุ้นเคยในเอเม็กซ์ สเตเดียม อย่าง แกรห์ม พอตเตอร์ เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน ก่อนที่ผลการแข่งขันจะชวนให้สาวกไบรท์ตันได้ยิ้มรื่น เมื่อกุนซือใหม่นำทีมถล่มกุนซือเก่าพังพาบ 4-1
เดอ แซร์บี้ ทำให้เห็นถึงแทคติกที่เขายึดถือมาตลอด ภายใต้ระบบคุ้นชิน 4-2-3-1 พร้อมกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้งการเซ็ตเกม แนวทางการจบสกอร์ ไปจนถึงการทำลายจังหวะคู่แข่ง ซึ่งเขาทำในลักษณะนี้มาตั้งแต่สมัยคุมซาสซูโอโล่และชัคตาร์
ไม่ว่าจะเป็นการเล่นบอลบนพื้น ถ่ายบอลแบบเท้าสู่เท้าเป็นหลัก เน้นไปที่การเซ็ตเกมตั้งแต่แดนบน บางครั้งแทคติกก็ยืดหยุ่นให้ผู้รักษาประตูเป็นเหมือนเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคนที่สาม บอลจะถูกเปลี่ยนผ่านไปมาในแดนตัวเองก่อน โดยมีคู่กลางเป็นตัวเชื่อม และมีฟูลแบ็กสมัยใหม่ที่นอกจากจะต้องเกมรับแน่นแล้วยังต้องมีจุดเด่นช่วยซัปพอร์ตเกมรุกได้
เมื่อรูปแบบคงที่ในลักษณะนี้แล้ว ไบรท์ตันก็จะดันเกมบุกต่อจากการหาช่องเล่น ให้ปีกสองฝั่งทำลายเกมรับคู่แข่ง โดยมีกองกลางเบอร์ 10 ที่ยืนชิดกับกองหน้าเบอร์ 9 แสดงให้เห็นถึงการเล่นที่เน้นบอลบนพื้นเป็นหลัก
นักเตะแทบจะทุกคนในทีมตอบโจทย์กับระบบการเล่นและแทคติกของกุนซือวัยหลักสี่ผู้นี้ อย่าง โจเอล เวลท์มัน ที่เล่นได้ทั้งปราการหลังและฟูลแบ็ก, เปร์บิส เอสตูปินญาน เป็นฟูลแบ็กสมัยใหม่ที่ครบเครื่องทั้งรุกและรับ (ทำไปแล้ว 6 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 31 เกม), อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ คาโอรุ มิโตมะ ที่ยกระดับจนเป็นคีย์แมนของสโมสร ทั้งคู่เป็นดาวซัลโวและรองดาวซัลโวของทีมในพรีเมียร์ลีก ณ เวลานี้ ที่ 10 และ 8 ประตู (รวมทุกรายการ) ตามลำดับ
ขณะที่ลูกหม้อทีมอย่าง ซอลลี่ มาร์ช ก็อยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการค้าแข้งกับสถิติ 8 ประตู 8 แอสซิสต์ หลังผ่าน 34 เกม หรือแม้แต่การดัน อีแวน เฟอร์กูสัน วัย 18 ปี เป็นหน้าเป้าตัวหลัก และหอกไอริชผู้นี้กระทุ้งประตูให้ทีมไปแล้วรวมทุกรายการ 8 ลูก เป็นต้น
ยิ่งไปกว่านั้น เดอ แซร์บี้ ยังทำให้ไบรท์ตันเป็นทีมที่ทำประตูได้มากสุดเป็นอันดับ 4 ของลีก มีสถิติครองบอลสูงเป็นอันดับ 3 ของลีกที่ร้อยละ 60 (นับหลังเกมบุกชนะ เชลซี 2-1 เมื่อวันที่ 15 เมษายน)
ส่วนรายละเอียดยิบย่อยในแต่ละเกมแม้จะมีวันที่แพ้ชนะ ทว่ากลยุทธ์ของเขาไม่เคยหายไปไหน อาทิ เกมแพ้ อาร์เซนอล ที่บ้าน 2-4 ไบรท์ตันคงคอนเส็ปต์เน้นครองบอล พวกเขามีอัตราครองบอลสูงถึงร้อยละ 68
เช่นเดียวกับวันที่ชนะในลีกหนล่าสุด อย่างเกมย้ำแค้นใส่ เชลซี 2-1 ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ทีมยังคงใช้แผน “ขุดบ่อล่อปลา” เริ่มเซ็ตเกมจากแดนตัวเอง 6 คนอยู่แถวกรอบเขตโทษให้คู่แข่งเข้าบีบ จากนั้นก็เล่นเกมโต้กลับโดยใช้จุดเด่นจากผู้เล่นที่เหลืออีก 4 คนในแนวรุกเข้าโจมตี
“บอสต้องการให้เราใช้เวลาของเราให้เต็มที่เมื่อเราได้ครอบครองบอล” อดัม เว็บสเตอร์ กองหลังตัวหลักของทีม ย้ำถึงแทคติกการเล่น
“รอให้เข้ากดดันเข้ามาถึง จากนั้นก็เดินหน้าลุย เราทำงานกันอย่างหนักตั้งแต่การฝึกซ้อมเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้ เพราะหากคุณมีเวลาอยู่ที่ลูกฟุตบอลมากพอ บางทีคุณไม่จำเป็นต้องเคลื่อนที่อะไรเยอะ ไม่ต้องรีบ แค่อยู่กับลูกฟุตบอล ในที่สุดคู่แข่งก็จะเข้ามาหาคุณเอง”
อนาคตสดใสที่รออยู่
ความสำเร็จภายในเวลาไม่กี่เดือนนี้ทำให้ไบรท์ตันขยับรั้งอันดับที่ 7 ของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก โดยมีเกมอยู่ในมือถึง 2 เกม เพราะทีมเพิ่งลงแข่งไป 29 นัด ขณะที่ทีมลุ้นอันดับพื้นที่ยุโรปด้วยกันอย่าง สเปอร์ส (อันดับ 5) แข่งมากกว่า 2 นัด และนำทีมของ เดอ แซร์บี้ แค่ 4 แต้ม เช่นเดียวกับ แอสตัน วิลล่า ที่ลงแข่ง 31 นัด มีแต้มนำไบรท์ตันแค่แต้มเดียว
ด้วยเหตุนี้ แฟน ๆ เดอะ ซีกัลส์ น่าจะลืมภาพจำเดิมของทีมจากที่ต้องมาลุ้นทำผลงานให้ดีที่สุดในแต่ละปีเพื่อประครองให้ไม่ตกชั้น เช่นเดียวกับการจอดป้ายฟุตบอลถ้วยในประเทศในรอบตื้น ๆ ไปหมดสิ้น
เพราะตอนนี้ ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า โรแบร์โต้ เดอ แซร์บี้ กำลังพาทีมก้าวไปไกลกว่านั้น ไม่ว่าจะพาทีมจบอันดับบน ลุ้นพื้นที่โควตาฟุตบอลยุโรปฤดูกาลหน้าอย่างเต็มตัว ไปจนถึงเข้ารอบลึก ๆ ของรายการฟุตบอลถ้วยในประเทศ อย่างล่าสุด เดอ แซร์บี้ กำลังจะนำลูกทีมไปเวมบลีย์ สเตเดียม เพื่อแข่งขันเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
กับมรดกเล็ก ๆ ที่ แกรห์ม พอตเตอร์ เคยทำไว้ ก่อนที่ตัวเขาเองจะเข้ามาเติมแต่งและปรับปรุงทั้งหมดต่อด้วยระบบการเล่นและแทคติกของเขาเอง ในวันนี้มันมาบรรจบกันได้อย่างไม่เคอะเขิน
“ต้องขอขอบคุณ แกรห์ม พอตเตอร์ ที่ทำให้ผมได้พบกับทีมอันยอดเยี่ยมและแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ตอนนี้ผมกำลังพยายามใส่ไอเดียเพิ่มลงไปให้กับผู้เล่นชุดนี้” โรแบร์โต้ เดอ แซร์บี้ กล่าวหลังเกมนำลูกทีมบุกเชือดเชลซี 2-1
“ผมกับนักเตะกระตือรือร้นสุด ๆ ในการจบให้ได้อันดับที่ดีที่สุดตอนสิ้นสุดฤดูกาล”
แหล่งอ้างอิง
https://theathletic.com/4368471/2023/04/01/roberto-de-zerbi-brighton-trophies/
https://theathletic.com/4312124/2023/03/16/de-zerbi-brighton-mindset/
https://www.facebook.com/LastMinutesFootball/posts/pfbid0ss7wfzpr9qAMSbXVBAvAzpBnBKUhnsKrVPfyzTMAXmmitsg9DcqWGiJXmrFkCFWUl
https://www.telegraph.co.uk/football/2023/02/17/brightons-walking-football-why-roberto-de-zerbi-genius/
https://www.telegraph.co.uk/football/2022/09/20/how-pep-guardiola-shaped-new-brighton-manager-roberto-de-zerbi/
https://www.sussexlive.co.uk/sport/football/football-news/de-zerbi-bielsa-leeds-united-82245
https://www.coachesvoice.com/cv/roberto-de-zerbi-brighton-shakhtar-sassuolo-tactics/
https://www.goal.com/en/news/new-brighton-boss-roberto-de-zerbi-guardiola-silence-souness/bltb1ae1258d3e08d5b
https://www.theguardian.com/football/2022/sep/30/roberto-de-zerbi-brighton-little-genius-guardiola-bielsa
https://www.90min.com/posts/how-roberto-de-zerbi-is-changing-the-mentality-of-brighton
https://th.mancity.com/news/mens/pep-guardiola-praise-for-brighton-boss-roberto-de-zerbi