ภายหลังจาก "กระบวนการสร้างประชาธิปไตย (Democratization)" เกิดขึ้นในเกาหลีใต้ การได้รัฐธรรมนูญที่มาจากเสียงของประชาชน ประชาธิปไตยเบ่งบาน มีการเลือกตั้งที่สุจริต โปร่งใส และเที่ยงธรรม นั่นหมายถึงสังคมได้เปิดกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แน่นอนว่าสิ่งดังกล่าวยังส่งผลมาสู่กีฬาด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำให้ "ความเจริญแห่งกอล์ฟ" เกิดขึ้นอย่างในสมัยของประธานาธิบดี โน แท-อู (노태우: Roh Tae Woo) ในช่วงปี 1988-1993
เรียกได้ว่าในช่วง 5 ปีของโนห์นั้น ทุกชนชั้นในประเทศต่างมีโอกาสได้ออกรอบกันเป็นว่าเล่น แม้จะมีคำครหาว่าความเจริญแห่งกอล์ฟที่ได้มานี้ยังคงมีการจ่ายใต้โต๊ะเพื่อเวนคืนที่ดินแบบไม่ธรรมและบังคับซื้อที่ดินในราคาถูกเพื่อโก่งราคาในการสร้างสนามกอล์ฟก็ตาม
กระนั้นเมื่อเข้าสู่รัฐบาลพลเรือน ภายใต้การนำของ คิม ย็องซัม (김영삼 : Kim Young Sam) ในปี 1993 ความเจริญดังกล่าวกลับกลายเป็น "ยุคมืด" ของวงการกอล์ฟเกาหลีใต้ไปอย่างน่าเหลือเชื่อ
เรื่องที่สวนทางกับภาพลักษณ์ของวงการกอล์ฟเกาหลีใต้ในปัจจุบันนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร มีตื้นลึกหนาบางอย่างไร ? ร่วมติดตามไปพร้อมกับ Main Stand
คิดจะซ้าย ใจต้องแหวก
เป็นเรื่องปกติในประเทศที่อยู่ภายใต้บรรยากาศของอำนาจนิยม ที่การทำอะไรเพื่อการต่อต้าน (Resistance) ต้องการปลดแอก (Emancipation) หรือทำอะไรที่ออกแนว "ฝ่ายซ้าย (Leftist)" จะได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญจากบรรดาผู้คนที่ทนไม่ไหวต่อการกดทับ กดขี่ จากรัฐบาลส่วนกลาง เพราะต้องยอมรับว่า บรรดาเหล่านักเคลื่อนไหว (Activists) เหล่านี้ถือเป็นหน่วยกล้าตาย ที่ยอมออกหน้าสละชีวิตทางสังคมเพื่อสิ่งนี้ เพราะมันเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายอย่างมาก
แน่นอน คิม ย็องซัม คือหนึ่งในคนประเภทนั้น โดยเขาและ คิม แดจุง (김대중: Kim Dae Jung : ภายหลังเป็นประธานาธิบดีคนที่ 8 ของเกาหลีใต้) ถือเป็นปัญญาชนวัยรุ่นสายปะทะ ที่ไม่ยอมโอนอ่อนต่ออำนาจนิยมเกาหลีใต้ ตั้งแต่สมัย อี ซึง-มัน (이승만: Syngman Rhee) มาจนถึงการเข้าเป็นสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ (National Assembly) ในการรับบทฝ่ายค้าน เพื่อตีฝีปากกับทั้ง พัค จอง-ฮี (박정희: Park Chung Hee) หรือ ช็อน ดู-ฮวัน (천두환: Chun Doo Hwan) สองเสือชุดลายพรางในคราบประธานาธิบดี
ด้วยความที่จบการศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล (Seoul National University: SNU) ที่เรียกได้ว่าเข้ายากเข้าเย็นและมีความเป็นวิชาการแข็งที่สุดในเกาหลีใต้ รวมไปถึงการได้จับงานการเมืองมายาวนาน ถึงขนาดเก๋าพอที่จะก่อตั้งและเป็นหัวหน้าพรรค "ชินมินดัง (신민당)" ที่แปลความได้ว่า "ประชาธิปไตยใหม่ (New Democratic Party)" เพื่องัดกับพรรคทหารแบบเต็มข้อ เขาจึงเปรียบเสมือนไอคอนของเหล่าปัญญาชนที่น่าเลื่อมใสยิ่งของคนที่มีหัวใจเป็นซ้ายเต็มขั้น
แน่นอนว่าการได้รับคาดหมายว่าตัวของคิมนั้นเป็นภาพแทนของฝ่ายซ้าย ส่วนที่ดีคือเขาสามารถใช้สิ่งนี้ ให้การเป็นกระบอกเสียงเพื่อเคลมเรียกร้องในฐานะของตัวแทนฝ่ายซ้าย เรียกได้ว่าอะไรที่หลุดออกจากปากเขาคือความเป็นผลประโยชน์ที่ตกแก่ฝ่ายซ้ายทั้งสิ้น กระนั้นใช่ว่าจะไม่มีส่วนที่เสียเลย นั่นเพราะเมื่อใดที่กระทำการอันนอกเหนือไปจากสิ่งที่คนคิดไปเรียบร้อยแล้วว่ามีความเป็นซ้าย เมื่อนั้นจะถือว่าเป็นการหักหลังมวลชนในแทบจะทันที
ดังนั้นการทำตนตามวิถีไม่แหกคอกและไม่หลุดออกไปจากกรอบของฝ่ายซ้ายจึงเป็นสิ่งที่คิมต้องปฏิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งส่วนมากสิ่งที่เขาทำจะออกแนว "สุดโต่ง (Radical)" ยอมหักไม่ยอมงอ ฝ่ายขวาคือศัตรูที่ต้องทำลายล้างโดยสมบูรณ์ อะไรที่แสดงออกถึงความเป็นฝ่ายขวาต้องขจัดให้สิ้นซาก และแน่นอนว่ากีฬากอล์ฟก็หนีไม่พ้น
อย่างที่ทราบกันดี นั่นเพราะกีฬาชนิดนี้มีความเป็นภาพแทนของฝ่ายขวาที่สูงมาก ๆ จากการเป็น "กีฬาอีลีต" ที่มีแต่คนมีอันจะกินถึงจะสามารถเข้าใช้บริการได้ รวมไปถึงเป็นที่พบปะดีลผลประโยชน์กันของฝ่ายบริหารประเทศที่เป็นอำนาจนิยม และบรรดาข้าราชการประจำที่เป็นมือเป็นเท้าคอยปฏิบัติตามนโยบายภาครัฐ รวมถึงเหล่านักธุรกิจที่เป็นหัวเรือในการพัฒนาเศรษฐกิจ (อาจมีฝ่ายตุลาการ ศาลยุติธรรม เข้าร่วมด้วย) ซึ่งกลุ่มคนประเภทนี้คือฝ่ายขวาที่ฉ้อราษฏร์บังหลวง คอรัปชั่น และเป็นมะเร็งร้ายของประเทศทั้งสิ้น
เช่นนี้ การ "ไม่ขอยุ่งเกี่ยวใด ๆ กับกอล์ฟ" จึงแทบจะเป็นทางออกเดียวที่ "สวย" ที่สุด สำหรับการเป็นหัวหอกฝ่ายซ้ายของ คิม ย็องซัม แม้เขาจะถือได้ว่าเป็น "อีลีตผ่านทางการศึกษา" จากการจบมหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ของประเทศที่เปรียบเสมือนแหล่ง "สร้างคอนเน็กชั่น" กับบรรดาลูกหลานหรือผู้ที่มีศักยภาพมากพอในการเข้าสู่สามเหลี่ยมอุบาทว์ในอนาคต แน่นอนว่าวีถีอีลีตต่าง ๆ คิมย่อมรู้ดี เพราะได้สัมผัสมาโดยตรงและมีโอกาสเข้ากอล์ฟคอร์สก็ไม่น้อย แถมฝีมือของเขาก็ไม่ใช่เล่น
และที่ตลกร้ายก็คือ ก่อนที่คิมจะลงสมัครเป็นแคนดิเดตประธานาธิบดี ในปี 1992 เขาได้ใช้การออกรอบที่ "อันยัง คันทรี คลับ (Anyang Country Club)" สำหรับดีลผลประโยชน์เพื่อจัดตั้ง "พหุภาคี" รวมพรรคเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่าง พรรคประชาธิปัตย์ยุติธรรม (민주정의당: Democratic Justice Party) พรรคประชาธิปัตย์รัฐนิยมใหม่ (신민주공화당: New Democratic Republican Party) และ พรรคสหประชาธิปไตย (통합민주당: Unified Democratic Party) แปรรูปเป็น "พรรคเสรีประชาธิปไตย (자유민주당: Liberal Democratic Party)" โดยที่พรรคเหล่านี้มีแกนนำเป็นพวกขี้ข้าทหารจากยุคก่อนมาชุบตัวทั้งนั้น
แต่คนรวยสามารถเข้าอกเข้าใจคนจนได้ฉันใด การอยู่ในบรรยากาศของอีลีตมาตลอดแบบคิมย่อมเข้าใจความเสื่อมของอีลีตต่อสังคมได้ดีฉันนั้น เขาจึงไม่ได้ตกเป็นทาสของสภาพแวดล้อม หากแต่มีหัวคิดเป็นของตนเอง อะไรที่ไม่สนองตอบต่อประชาชนหรือกระแสสังคมที่ออกซ้าย คิมจะไม่นำตนเองเข้าไปเสี่ยงเด็ดขาด วาจาของเขาจึงศักดิ์สิทธิ์ รักษาคำพูด ไม่มีบิดพลิ้ว หากกอล์ฟคือความเสื่อม คือเรื่องของอภิสิทธิ์ ย่อมเป็นการดีหากจะทำให้มันสิ้นซากไปเสีย
และเมื่อเขาได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 7 ของประเทศ การ "คุมกำเนิดกอล์ฟ" จึงได้เริ่มต้นขึ้น
ผมไม่ตี ใครก็ห้ามตี
ในการขึ้นครองอำนาจของ คิม ย็องซัม หากย้อนกลับไปพิจารณาจะพบว่า หลาย ๆ อย่างฝ่ายซ้ายครหาหนักมากว่า "ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า" เพราะหลายต่อหลายครั้งนโยบายของเขาจะซ้ายก็ซ้ายไม่สุด แม้จะนำช็อน ดู-ฮวัน และ โน แท-อู เข้ากระบวนการยุติธรรมหรือตัดตอนกลุ่มคอรัปชั่นลงได้ แต่กระบวนการก็ยืดเยื้อ โดยเฉพาะกับเรื่องทางเศรษฐกิจที่เขาแก้ปัญหาได้ไม่ดีพอและไม่ถูกใจมนุษย์เงินเดือนหรือแรงงานที่เป็นฐานเสียงหลักของเขา แชโบลแม้จะโดนลดขนาดแต่ก็ยังกุมชะตาเศรษฐกิจของประเทศได้อยู่ ขนาดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขายังมีเอี่ยวเรื่องการหลีกเลี่ยงภาษี
กระนั้นเรื่องเดียวที่ยังคงยึดมั่นถือมั่นสำหรับคิมคือ ไม่ว่าจะอย่างไรการคุมกำเนิดกอล์ฟจะต้องดำเนินต่อไป ซึ่งสิ่งดังกล่าวบรรดาข้าราชการการเมืองกล่าวขานกันว่า "No Golf Stance" หรือแปลความว่า "ผมไม่ตี ใครก็ห้ามตี" โดยเป็นคำปรารภขณะที่คิมกำลังร่วมรับประทานอาหารกับประธานกลุ่มแชโบล ความว่า "กอล์ฟเนี่ยนะ ทำให้ขนคิ้วชุ่มเหงื่อและฉุดรั้งความอยู่รอดทางเศรษฐกิจโดยใช่เหตุ ผมสาบานตรงนี้เลย ใน 5 ปีนี้ (วาระประธานาธิบดี) ผมจะไม่ไปเหยียบกอล์ฟคอร์สใด ๆ แน่นอน"
โดยในตอนแรกนึกว่าเป็นเรื่องขำ ๆ ที่คิมโพล่งขึ้นมาเพื่อสร้างกระแสให้คนข่าวไปเขียนเรียกเรตติ้ง แต่ปรากฏว่าไม่นานหลังจากนั้นสนามพัตกอล์ฟข้าง ช็อง วา แด (ที่ทำการของประธานาธิบดีเกาหลีใต้) โดนสั่งรื้อออกไปเสียเกลี้ยง แถมประเพณีที่ต้องไปออกรอบ ณ ช็อง นัม แด (สถานตากอากาศของประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ที่มีกอล์ฟคอร์สขนาดใหญ่ไว้ผ่อนคลาย) ไม่เคยเกิดขึ้นตลอดสมัยของคิม
ที่หนักไปกว่านั้นคือคิมไม่ตีคนเดียวไม่พอ แต่ No Golf Stance ยังลุกลามมายังบรรดาข้าราชการการเมืองต่าง ๆ ทั้ง นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง สมาชิกสมัชชาแห่งชาติ คณะกรรมธิการสามัญ บอร์ดบริหารด้านเศรษฐกิจ รวมไปถึงข้าราชการประจำระดับสูง อีกด้วย
หากใครในที่นี้โดนจับได้ว่าแอบไปเล่นกอล์ฟ คิมจะเรียกพบทันที ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งในส่วนกลางหรือส่วนท้องถิ่น ย่อมมีโอกาสโดนเรียกเข้าพบที่ ช็อง วา แด ได้ตลอด โดยในเคสแรกที่เป็นการ "เชือดไก่ให้ลิงดู" คือปี 1994 อัยการสูงสุดนาม คิม โดอุน (Kim Doun) ที่โดนให้ออกจากราชการเพราะไปออกรอบเพียงแค่ครั้งเดียว และในปีเดียวกันมีอัยการต้องสงสัยอย่างน้อย 3 ราย ได้รับการปรับทัศนคติจากการแอบไปออกรอบแถวแทกู (대구: Daegu)
ปี 1995 ผู้บัญชาการตำรวจคังว็อน (Gangwon Police Commissioner) นาม ช็อง ดงซู (Jung Dong-soo) โดนลดขั้นและโดนโยกไปช่วยราชการในส่วนกลาง หลังจากตรวจพบว่ามีภาพหลุด ไปออกรอบกับ ช็อน ดู ฮวัน ผู้นำลายพรางอำนาจนิยมและลิ่วล้อที่ ยงพย็อง คันทรี่ คลับ (Youngpyung Country Club)
ปี 1996 พนักงานสอบสวนตรวจพบข้าราชการระดับสูงกว่า 19 คน รวมไปถึงผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมได้แอบไปออกรอบในเวลาทำงาน ช่วงที่คิมปฏิบัติภารกิจเยือนดินแดนละตินอเมริกา แน่นอนว่าคิมออกมาตรการธำรงวินัยในทันที
ขนาดที่ว่าช่วงใกล้หมดสมัยในปี 1997 คิมก็ยังไม่ลดละ หลังตรวจพบว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและรัฐสวัสดิการนาม ชุน กเย ฮยู (Jun Gye Hyoo) ได้แอบไปออกรอบกับรัฐมนตรีคนก่อน นาม อี แฮว็อน (Lee Hae Won) ที่เป็นพรรคพวกฝ่ายอำนาจนิยม เรียกได้ว่าโดนสองกระทง นอกจากจะให้ออกจากตำแหน่งยังให้ออกจากความเป็นพรรคพวกประชาธิปไตยเลยทีเดียว
การกระทำดังกล่าวของคิม สมดังที่ ชู ดงซิก (Ju Dong Sik) โฆษกช็อง วา แด ได้ตักเตือนออกสื่อเสมอว่า "ข้าราชการคนใดกล้าแหยมท่านประธานาธิบดีไปออกรอบ นับเป็นความคิดที่ใช้สมองน้อยอย่างมาก อย่างน้อยก็ในช่วง 5 ปีนี้"
และแน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงบรรดาฝ่ายบริหารหรือข้าราชการที่ซวยเท่านั้น แต่คิมยังได้ลุกลามมาคุมกำเนิดกอล์ฟยัง "ภาคเอกชน" อีกด้วย
รัฐจะลงโทษคุณอย่างหนัก
การสอดส่องตรวจตราดั่งมีเรดาร์ตรวจจับคนเล่นกอล์ฟของคิม ไม่ได้มีแต่ "บทบาทเชิงรุก" ที่เน้น ปะ ฉะ ดะ ลงทัณฑ์อย่างถึงเครื่องแบบตาต่อตาฟันต่อฟันกับบรรดาคนรอบข้างถ่ายเดียว แต่ใน "บทบาทเชิงรับ" ที่เน้นลงทัณฑ์แบบละมุนละม่อมแบบที่คนไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็เกิดขึ้นกับบรรดาภาคเอกชน โดยการกระทำดังกล่าวนี้แน่นอนว่าเป็นเรื่องสุดแสนจะคลาสสิกของรัฐที่เน้น "ดูดภาษีกอล์ฟ" ผ่านการจัดตั้งพรรคพวกให้คุม "สํานักงานภาษีแห่งชาติ (국세청: National Tax Service)" หรือกรมสรรพากรแห่งเกาหลีใต้
ในขั้นแรก หน่วยงานนี้จากที่เก็บภาษีโดยทั่วไปก็ได้เพิ่มกฎกระทรวงให้เรียกเก็บภาษีที่เกี่ยวข้องกับกอล์ฟมากขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่บรรดากลุ่มแชโบลหรือนายทุนด้านธุรกิจกอล์ฟเป็นหลัก โดยมีการตรวจสอบภาษีย้อนหลังโดยละเอียดกับบรรดานายทุนที่เล่นกอล์ฟเป็นกิจวัตร และแน่นอนว่าส่วนมากจะจับโป๊ะได้และมีการดำเนินคดีแพ่งหรือฟ้องร้องเรียกเก็บภาษีได้เป็นกอบเป็นกำ หนักที่สุดคือสามารถดำเนินคดีให้สินบน ฮั้วประมูล หรือคอรัปชั่นได้อีกด้วย
หนักไปกว่านั้นคือการออกกฤษฎีกาในการจัดเก็บภาษีกอล์ฟคอร์สผ่านการตราเป็นบัญญัติในเขตการปกครองท้องถิ่นต่าง ๆ เพราะกอล์ฟคอร์สนั้นอยู่ในการดูแลของท้องถิ่นเป็นหลัก (แม้แต่กอล์ฟคอร์สในโซลก็ดูแลโดยจังหวัดคย็องกี) เรียกได้ว่าขูดรีดกันแบบซึ่ง ๆ หน้าแบบตรง ๆ เลยทีเดียว
โดยขั้นแรก ให้เพิ่มภาษีกอล์ฟคอร์สขึ้นเป็นร้อยละ 30 จากของเดิม ก่อนจะพุ่งขึ้นสูงถึงร้อยละ 412 ในช่วงต้นปี 1998 เช่นนี้ความซวยจึงไม่ได้ตกอยู่ที่บรรดานายทุนอย่างเดียวแต่บรรดาลูกค้าก็ซวยไปด้วย เพราะค่าใช้จ่ายด้านภาษีมีเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าค่าบริการย่อมเพิ่มขึ้นไปตามกลไกตลาด หลายต่อหลายครัวเรือนที่เป็นชนชั้นกลางที่อัตราก้าวหน้าทางรายได้ไม่สัมพันธ์กับเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นตลอดอยู่ก่อนหน้า ยิ่งมาพบกับการขูดรีดเช่นนี้จากกีฬานันทนาการก็ไม่มีใครยอมจะเสียเงินไปกับกอล์ฟอย่างแน่นอน
ผลกระทบที่ตามมาคือมีกอล์ฟคอร์สจำนวนไม่น้อยที่สู้ไม่ไหวจนต้องทยอยปิดตัวลง และที่น่าอดสูคือบรรดากอล์ฟคอร์สเหล่านี้คือกอล์ฟคอร์สที่เป็นทุนขนาดกลางและขนาดย่อมที่มาจับธุรกิจนี้เพราะความเจริญแห่งกอล์ฟ สมัยประธานาธิบดี โนห์ แท-อู แต่พอนโยบายเปลี่ยนกลุ่มคนเหล่านี้ต่างหากที่ได้รับผลกระทบ หาใช่ทุนใหญ่ที่สามารถทุ่มงบประมาณลงมาพยุงธุรกิจไว้ได้
หากกล่าวแบบไม่เกรงใจ นั่นคือ No Golf Stance ถูกคิดขึ้นมาเพื่อเอาอกเอาใจฝ่ายซ้ายที่เป็นมวลมหาประชาชน แต่กลับกำลังทำลายมวลมหาประชาชนเสียเอง อาจไม่ผิดหลักการแต่ในการปฏิบัติกลับมีผลกระทบที่คาดไม่ถึงอย่างมาก และนำมาซึ่ง "5 ปีแห่งความมืดมิด" ของวงการกอล์ฟเกาหลีใต้ไปโดยปริยาย
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า การออกนโยบายภาครัฐใด ๆ ก็ตาม นอกจากจะต้องคำนึงถึงเรื่องของ "เนื้อหาสาระ (Content)" ว่าเป็นไปในลักษณะไหน ใครเป็นคนคุม สร้างอย่างไร งบประมาณเท่าไร ระยะเวลาดำเนินการเท่าไร ผลประโยชน์ได้กี่ฝ่าย ยังต้องคำนึกถึง "รูปแบบ (Form)" ที่เป็นเรื่องของการจำลองความคิดว่าใครได้รับผลกระทบ ใครได้-ใครเสีย คนที่อยากให้เสียเสียจริงหรือไม่ คนที่อยากให้ได้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือเปล่า
อย่างไรก็ตาม เดชะบุญที่วงการกอล์ฟเกาหลีใต้ไม่ได้ไปแล้วไปลับ เพราะเพื่อนตายของเขาอย่าง คิม แดจุง ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจาก คิม ย็องซัม และมีหัวเอียงซ้ายเช่นกัน กลับไม่ได้ปฏิเสธว่ากอล์ฟเป็นเรื่องของฝ่ายขวาและต้องทำลายทิ้งให้สิ้นซากไปหมด แต่ใช้ "การนิยามใหม่ (Re-definition)" ให้กอล์ฟเป็นเครื่องมือของฝ่ายซ้ายในการโต้กลับภาพแทนแบบเดิม ๆ ที่เคยเป็นมา ประมาณว่ากอล์ฟไม่ใช่สิ่งที่จะผูกขาดได้โดยฝ่ายขวาอีกต่อไป
และหลังจากนั้นวงการกอล์ฟเกาหลีใต้จึงกลับมาผงาดง้ำค้ำโลกได้เป็นผลสำเร็จ สร้างนักกอล์ฟยอดฝีมือทั้งหญิงและชายออกมาโชว์ผลงานอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้
แหล่งอ้างอิง
บทความ The Political Transformation of Golf in Modern South Korea
บทความ Golf Policy of the Ancient Regime Since Government of the Republic of Korea
บทความ The Golf Boom in South Korea: Serving Hegemonic Interests
บทความ Introduction of Golf to Korea during the Japanese Occupation
บทความ Socio-historical development of Korean women’s golf