Feature

สกอตต์ พาร์คเกอร์ : กุนซือสายบุญวาสนา แต่ชะตาไม่อยากให้อยู่ที่ไหนนาน | Main Stand

หลังจากที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2022-23 รอบ 16 ทีมสุดท้าย แมตช์ที่ 2 ได้จบลงไป เป็นแมตช์ที่ เบนฟิกา เปิดรังเอสตาดิโอ ดา ลุซ ไล่ถลุง คลับบรูจจ์ ไปถึง 5-1 ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยสกอร์รวม 7-1

 

ผลการแข่งขันก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่น่าตกอกตกใจไปกว่านั้นคือหลังจากจบแมตช์ “สกอตต์ พาร์คเกอร์ (Scott Parker)” กุนซือหนุ่มของทีม โดนเฉดหัวทิ้งแทบจะทันที ทั้งที่เขาเพิ่งจะกุมบังเหียนพลพรรค “ฟ้า-ดำ” แทนที่ คาร์ล เฮิฟเคนส์ (Carl Hoefkens) เพียง 67 วัน เรียกได้ว่าหม้อข้าวยังไม่ทันดำเสียด้วยซ้ำ

แต่ที่น่าสนใจคือ เมื่อเจาะลึกไปที่ประวัติการกุมบังเกียนของพาร์คเกอร์จะพบว่า ยอดกองกลางสายเชิง มาดเท่ ผมเนี๊ยบ ประหนึ่งผู้ดีอังกฤษคนนี้ ถือได้ว่าเป็นกุนซือที่ “บุญพาวาสนาส่ง” อย่างมาก นับตั้งแต่การเริ่มจับงานโค้ชกับ ฟูแล่ม มาจนถึง บอร์นมัธ ก่อนจะมาเละเทะกับ คลับบรูจจ์ แต่ก็ไม่สามารถลงหลักปักฐานได้อย่างสถาพร มีอันต้องจรลีแบบแทบไม่ทันตั้งตัว

ร่วมติดตามชะตาชีวิตของกุนซือหนุ่มใหญ่วัย 42 คนนี้ไปพร้อมกับเรา

 

กุนซือบุญพาวาสนาส่ง

ในสมัยที่พาร์คเกอร์ยังค้าแข้งนั้น เขาถือได้ว่าเป็นกองกลาง “แสนอาภัพ” คนหนึ่งในวงการฟุตบอลอังกฤษ นั่นเพราะแม้เขาจะถือได้ว่ายืนระยะในลีกสูงสุดได้ยาวนาน แต่ก็ไม่ได้เปรี้ยงปร้างโดดเด่นแบบ แฟรงค์ แลมพาร์ด, สตีเวน เจอร์ราร์ด หรือ แกเร็ธ แบร์รี่ ที่วัยใกล้ ๆ กัน และก็ไม่ได้มีฟอร์มชะลูด เล่นแย่แบบน่าเกลียด แต่เขากลับไม่ได้รับการสรรเสริญยกย่องมากเท่าที่ควร แน่นอนว่ากับทีมชาติก็เช่นเดียวกัน

หากแต่ภายหลังจากการแขวนสตั๊ด วาสนากลับหล่นทับเขาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยในตอนแรกเขาได้รับแต่งตั้งเป็นแอมบาสเดอร์ของ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ควบกับการคุมทัพ U-18 กระนั้นไม่ถึงปี ฟูแล่ม สโมสรสุดท้ายในการค้าแข้ง ได้ติดต่อเข้ามาว่า สลาวิซา โยคาโนวิช (Slaviša Jokanović) กุนซือ ณ ขนะนั้นต้องการให้เขามาร่วมงานในฐานะทีมงานโค้ช (หลังจากที่เคยร่วมงานในฐานะกัปตันทีม) ซึ่งแน่นอนว่าโอกาสมาขนาดนี้ สกอตต์ก็ไม่รอช้าที่จะตอบรับในทันที เห็นได้จากบทสัมภาษณ์ในเว็บไวต์ฟูแล่มที่ว่า

“ผมยินดีมากเลยครับที่จะได้ร่วมงานกับเขา (โยคาโนวิช) อีกครั้ง ทั้งตอนเล่นอยู่หรือเป็นโค้ช และอยากขอบคุณสเปอร์สด้วยที่มอบโอกาสเสนองานนี้ให้แก่ผมในชุด U-18 ในช่วงที่ผ่านมา … นี่คืออนาคตใหม่ของผมอีกขั้นกับการมาทำทีมชุดใหญ่ … ผมรู้เป็นอย่างดีว่าฟูแล่มยอดเยี่ยมและทะเยอทะยานขนาดไหนเพราะเคยเล่นอยู่ที่นี่มานาน สตาฟทุกคนทำงานหนักมาก ๆ ทั้งกับทีมชุดใหญ่ และระบบอคาเดมีทุกรุ่น … ผมเห็นอนาคตเลยว่ามาถูกทางแน่นอนในการทะยานฟ้าบนพรีเมียร์ลีก”

แม้จะปากหวานต่อนายเก่า แต่ไม่นานความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น เพราะฟอร์มที่ระทมของพลพรรค “เจ้าสัวน้อย” ทำให้โยคาโนวิชกระเด็นตกจากเก้าอี้ไป พร้อมกับเปิดประตูต้อนรับ เคลาดิโอ รานิเอรี่ (Claudio Ranieri) กุนซือขรัวเฒ่ามากประสบการณ์ ที่เคยพาเลสเตอร์สอยแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้ว เข้ามาทำหน้าที่แทน

และโดยปกติ การมาถึงของนายเหนือหัวใหม่จำเป็นจะต้องเลย์ออฟทีมงานของคนก่อนออกไปแทบจะยกกระบิ แต่ไม่ใช่กับสกอตต์ ทั้งที่เขาแทบจะเป็นผู้ช่วยคู่ใจของโยคาโนวิชเสียด้วยซ้ำ แต่รานิเอรี่ยังให้โอกาสเขามาเป็นผู้ช่วยของตนต่อไป ตรงนี้นับว่าสกอตต์มีวาสนาไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่ไม่แน่ใจว่าชาติปางก่อนเขาทำบุญด้วยการถวายข้าวมธุปายาสหรืออย่างไรไม่อาจทราบได้ หลังจากที่รานิเอรี่นำชื่อมาทิ้งถึงถื่น คราเวน คอตเทจ เพราะทีมไม่สามารถขึ้นมาหายใจหายคอจากโซนหนีตกชั้นได้ รานิเอรี่จึงต้องบินไปตามระเบียบ และไม่ใช่ใครอื่นไกล เป็นสกอตต์ที่ได้เข้ามาทำหน้าที่รักษาการกุนซือจนจบฤดูกาล 

แต่วาสนาได้หมดโปรไปบางส่วน เพราะท้ายที่สุดทีมก็ตกชั้นลงไปเล่นลีกรอง ก่อนที่สกอตต์อาจจะมีการเติมโปรอีกครั้งจากการได้รับการแต่งตั้งจากผู้หลักผู้ใหญ่ในสโมสรให้เป็นกุนซือด้วยสัญญาถาวร พร้อมกับได้รับเป้าหมาย พาฟูแล่มเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งในหนึ่งฤดูกาลให้ได้ 

กระนั้นด้วยความเพิ่งรับหน้าที่เฮดโค้ชทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก เขาจึงไม่ได้มีแทคติกอะไรที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ได้แต่ใช้ข้อได้เปรียบของการเป็นทีมที่ตกชั้น นั่นคือการได้รับทุนทรัพย์จากลีกสูงสุดรั้งแกนหลักของทีมไว้ และพยายามไปดีลเพื่อซื้อแบบ Buyout หรือยืมนักเตะตกสำรวจหรือแข้งดาวรุ่งของลีกสูงสุดมาแบบบานตะไท 

ก่อนที่จะเสริมด้วยการเล่นแบบ “เน้นบี้บด” จากดีกรีนักเตะที่ คุ ณ ภ า พ สูงกว่าประมาณหนึ่ง ปล่อยอิสระให้เล่นไปตามหน้างาน พยายามค่อย ๆ ปล่อยให้ซึมซับวิธีการ “ครองเกมและทำเกม” แบบที่เขาถนัดสมัยยังค้าแข้ง พร้อมกับพยายามเพิ่ม Tempo ในการเล่นให้สูงกว่าที่ทีมในลีกรองเล่นกันโดยทั่วไป เพราะในพรีเมียร์ลีกจะเล่น Tempo สูงมาก ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาพยายามให้ทีมคุ้นชิน

และที่ขาดไปไม่ได้คือการฝากความหวังไว้ที่ “อเล็กซานดรา มิโตรวิช (Aleksandar Mitrović)” ศูนย์หน้าระดับผูกพันธ์กับลีกรองที่ไว้ใจได้ โดยไม่ต้องไปอธิบายแทคติกอะไรให้มากความ

และผลงานก็ถือได้ว่าต่ำกว่ามาตรฐานเล็กน้อย ในช่วงแรก ๆ ทีมแทบจะร่วงลงไปอยู่กลางตารางเลยทีเดียว ก่อนที่ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลจะรักษามาตรฐานได้ และมิโตรวิชก็ยิงกระจุยให้ฟูแล่ม จองโควตาเพลย์ออฟและมีลุ้นขึ้นไปถึงอันดับที่ 2 (เลื่อนชั้นอัตโนมัติ) 

แต่ท้ายที่สุดกลับมาแหกโค้งในช่วงท้าย ฟูแล่มจบอันดับที่ 4 ก่อนที่จะกลับมากู้หน้าด้วยการชนะเพลย์ออฟต่อ เบรนท์ฟอร์ด ไป 2-1 กลับสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ส่งให้สกอตต์เนื้อหอมไปอีกขัั้น เพราะสิ่งที่เขาทำคือการต่อยอดวาสนาของตนเองด้วยผลงานในสนามได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

 

อยากละทิ้งความน้ำกร่อย

แม้ว่าวาสนาจะสูงขนาดที่ว่าฤดูกาลเดียวก็กลับขึ้นมาอยู่พรีเมียร์ลีกได้ แต่ชีวิตของมนุษย์ใช่ว่าจะดำเนินตนด้วยคำว่าโชคชะตาไปเสียทั้งหมด เพราะในโลกที่มีการแข่งขันสูง ใครหน้าไหนก็ต้องพัฒนา ดึงศักยภาพของตนเองออกมาให้ได้มากที่สุด

โดยเฉพาะในวงการฟุตบอลอย่างพรีเมียร์ลีกที่แข่งขันเข้มข้นที่สุดโนโลก และมีแต่คนเก่งเดินกันให้ควักไปทั่ว หากพึ่งโชควาสนาในการทำทีมเพียงอย่างเดียวย่อมยากแก่การประสบความสำเร็จ แม้ในบางครั้งจะมีความจำเป็นหากเกิดอาการตีบตันทางปัญญาในการคิดค้นแทคติกหรือการแก้เกมก็ตามที

แน่นอนว่าสำหรับสกอตต์ก็เช่นเดียวกัน แม้เขาจะรังสรรค์แชมป์เพลย์ออฟให้แก่ทีมได้ แต่เมื่อเจอเสือสิงห์กระทิงแรดหงส์เป็นอันเกมไปเสียหมด 4 สัปดาห์คือจำนวนที่ฟูแล่มขึ้นมาหายใจบนโซนตกชั้นได้ นอกนั้นอีก 34 แมตช์เดย์ก็จะวนเวียนอยู่แต่โซนแดงล้วน ๆ แถมทีมก็หมดลุ้นการอยู่รอดตั้งแต่ไก่โห่ ครองอันดับ 18 ยาว ๆ ถึง 28 สัปดาห์ติดต่อกัน

กระนั้นสกอตต์กลับมีความคงกระพันกับงานนี้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าผลงานของเขาจะขนาดไหน เก้าอี้ของเขากลับยังแข็งแรงทนทาน เขายังคงได้รับความไว้วางใจสำหรับแต่ละแมตช์เดย์ 

เช่นนี้ถือว่าผิดวิสัยของบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในสโมสรของพรีเมียร์ลีกที่มักมีความหน้าบางและปลดผู้จัดการทีมเป็นว่าเล่นหากไม่โดนใจ แต่ในที่สุดเขากลับรับตนเองไม่ได้ และเข้าไปคุยว่าจะไม่ขอไปต่อ ก่อนจะแยกทางกันด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย

“เราต้องหยุดวงจรอุบาทว์แบบขึ้น ๆ ลง ๆ แบบที่เป็นมาตลอดของทีมเสียที … ผมไม่มีอะไรจะกล่าวนอกจากเสียใจอย่างสุดซึ้ง … เราต้องมาสรรหาอะไรใหม่ ๆ ทั้งในตอนนี้และในอนาคต … ฟูแล่มต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ เราวนลูปเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงตลอดเหมือนพวกไบโพลาร์ ซึ่งไม่ใช่คุณค่าที่เราคู่ควร … เราเหนื่อย เราสู้ แต่เรายังมีจุดด้อยอยู่มาก นี่จึงเหมือนเป็นบทลงโทษกับการตกชั้นไปในฤดูกาลนี้” 

ข้างต้นคือประโยคที่สกอตต์กล่าวไว้ในวันอำลาฟูแล่มถึงความเบื่อหน่ายวิถีแห่ง “ความน้ำกร่อย” ที่ได้ประสบมา (น้ำกร่อย คือน้ำเค็มผสมน้ำจืด ภาษาฟุตบอล มักใช้อธิบายทีมที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ระหว่างลีกสูงสุดกับลีกรอง)

ส่วน ชาฮิด ข่าน เจ้าของสโมสร ได้กล่าวถึงเรื่องนี้โดยแสดงนัยที่ออกแนวเสียดายสกอตต์ ความว่า "เราต้องสรรหาโค้ชที่ทำให้เราเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาใหม่ได้อย่างเต็มภาคภูมิ และทำให้เราอยู่ได้ยาว ๆ แน่นอนว่าบรรดานักเตะที่จะเติมเข้ามาต้องกระหายชัยชนะ บ้าแข่งขัน และมีลักษณะของผู้ชนะ นี่คือเป้าหมายที่เราตั้งไว้"

แต่ก็อย่างที่ รุ่งเพชร แหลมสิงห์ ขับร้องไว้ในเพลง “แล้วแต่วาสนา” ในเนื้อร้องที่ว่า “พี่บอกแล้วว่าแล้วแต่วาสนา สุดแต่โชคชะตา จะเข่นจะฆ่าหรือว่าจะส่ง” เพราะสกอตต์ได้นอนอยู่บ้านเพียงไม่กี่ชั่วโมง บอร์นมัธ อดีตทีมเคยรุ่งโรจน์บนพรีเมียร์ลีก ที่ ณ ขณะนั้นกำลังระทมอยู่ในลีกรอง ได้ติดต่อเข้ามาให้เขามากุมบังเหียน 

และแน่นอนว่าสกอตต์ตอบรับด้วยความยินดี เพราะเขายังคงมีไฟในการพิสูจน์ตนเองว่า เขามีดีมากกว่านี้และอยากคุมทัพขึ้นสู่ลีกสูงสุดให้ได้อีกครั้ง

 

เดอะ เชอร์รี่ แปป ๆ ดี แปป ๆ กาก

สัญญา 3 ปีคือสัญญาที่ตกลงกันได้ของทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ถือได้ว่าไม่มากไม่น้อยจนเกินไป พอให้พิจารณาได้ว่าหนุ่มใหญ่มาดผู้ดีคนนี้มีกึ๋นมากพอในการพาทีมเลื่อนชั้นได้อีกครั้งหรือไม่ กับทีมที่ไม่ได้รับงบจากการตกชั้นมามากมายแบบที่เขาเคยได้กับฟูแล่ม 

แต่ผลงาน 15 แต้มเต็มจาก 5 แมตช์ ตลอดเดือนตุลาคม เรียกได้ว่าชนะแบบเพอร์เฟ็กต์ 100 พาทีมยึดจ่าฝูงอย่างเหนียวแน่น ส่งผลให้เขาคว้ารางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนตุลาคมไปได้แบบปราศจากคู่ต่อสู้ พร้อมกับคำกล่าวที่ว่า 

“ในการที่ชนะเพอร์เฟ็กต์ 100 และสร้างสถิติในเดือนนี้ ถือได้ว่าเป็นการทะลุเป้าของผมที่อยากทำในลีกรองอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่มันก็มาจากการทำงานหนักและจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ของลูกทีมและสตาฟทั้งหมดของเรา … เรามีความปีติอย่างยิ่งยวด แน่นอนว่าต่อแฟนบอลของเราด้วยที่คอยสนับสนุนผมตลอดมาทั้งเกมในบ้านและนอกบ้านตลอดฤดูกาลนี้”

อีกทั้งในด้านแทคติก เขาถือได้ว่าพัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดด จากที่แต่ก่อนเน้นใช้ความสามารถเฉพาะตัวหรือการแก้หน้างานเสียเป็นส่วนมาก ณ ตอนนี้เขาได้เน้นหนักไปที่ “การโอเวอร์โหลด” เป็นสำคัญ 

หรือก็คือเน้นหนักไปที่การขึ้นสุดลงสุดที่ไม่ว่าเกมรับหรือเกมรุกก็ต้องช่วยกันทั้งทีม ไม่มีมาแบ่งแยกตำแหน่งแบบชัดเจนตายตัว เรียกได้ว่าการฝึกซ้อมให้ขึ้น ๆ ลง ๆ ได้ดั่งใจนั้นต้องทำอย่างเป็นระบบจริง ๆ จึงจะเห็นผลได้

แต่สิ่งที่เหมือนเดิม นั่นคือการให้ความสำคัญกับศูนย์หน้า ครั้งที่แล้วมีมิโตรวิช ส่วนครั้งนี้มี “โดมินิค โซลันกี้ (Dominic Solanke)” ที่เหมือนเป็นร่างทรงมิโตรวิชมาแบบเป๊ะ ๆ แถมโซลันกี้ยังตะบันไปถึง 29 ประตูอีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ได้แค่เหมือน เพราะตัวจริงกดเน้น ๆ ไป 43 ประตู

กระนั้นจากผลงานที่สม่ำเสมอ ทำให้พลพรรค “เดอะ เชอร์รี่” เข้าป้ายรองแชมป์ไปแบบสบายเท้า กลับขึ้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จ ชนิดที่ว่ามีการหักเหลี่ยมเฉือนคมแย่งแชมป์กับฟูแล่ม อดีตทีมที่สกอตต์เคยกุมบังเหียนมาแบบต้องลุ้นสัปดาห์ต่อสัปดาห์

แต่เหมือนกับว่าสกอตต์ถูกใจการรับชมภาพยนตร์ม้วนเดิม ๆ เพราะหลังจากเลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ลีกสูงสุด แฟนบอลกลับต้องอุทานว่า “นี่มึงเอาอีกแล้วหรือ!” แบบระงมทั้งวันทั้งคืน

 

สิ้นวาสนาน้ำตาจึงหลั่ง

ผู้หลักผู้ใหญ่มักกล่าวย้ำเตือนเสมอว่า “วาสนาในชาตินี้ เป็นผลมาจากชาติปางก่อน” หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้กับสกอตต์อาจจะกล่าวได้ว่า “สิ้นวาสนาน้ำตาจึงหลั่ง” อยู่มากโข

ชัยชนะเหนือ แอสตัน วิลล่า 2-0 ถือเป็นชัยชนะเดียวที่พลพรรค ”บอสคอมบ์” เก็บได้ในเดือนสิงหาคม แถมยังมีแมตช์อัปยศโดน ลิเวอร์พูล ใส่ไม่ยั้งในแอนฟิลด์ ด้วยสกอร์ 9-0 เรียกได้ว่าเละเทะเกินบรรยาย ทั้งที่ผลาญงบเสริมทัพไปมหาศาล

และแน่นอนว่าคราวนี้ เยฟฟ์ มอสไทน์ (Jeff Mostyn) เจ้าของบอร์นมัธ ไม่ได้ใจดีเหมือนกับ ชาฮิด ข่าน ที่ฟูแล่ม โอกาสในการทำทีมของสกอตต์จึงหมดไป เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ไม่เหลือเยื่อใยต่อกัน มอสไทน์ตะเพิดสกอตต์ให้เก็บข้าวของออกจาก ไวทัลลิตี้ สเตเดียม ทันที

แต่จะว่าสิ้นวาสนาหมดไปเสียเลยก็อาจจะกล่าวได้ไม่เต็มปาก แค่ 4 เดือนเท่านั้น คลับบรูจจ์ ยอดทีมแห่งเบลเยียม ได้ติดต่อเข้ามาหวังให้เขาไปทำทีมลุยจูปิแลร์ โปรลีก เพราะโค้ชคนก่อนทำทีมรั้งที่ 4 ซึ่งถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานทีมลุ้นแชมป์ทุกฤดูกาลอย่างคลับบรูจจ์ แม้จะมีเส้นทางสดใสในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่เข้ารอบน็อกเอาต์ไปแบบสบายเท้าก็ตาม

แต่เหมือนว่านี่อาจจะเป็นวาสนาทิ้งท้ายที่พระเจ้ามอบให้กับเขา เพราะชัยชนะเหนือ ซูลเต้ วาเรเกม 2-1 และชนะ เคเอเอ เกนท์ 2-0 คือชัยชนะ 2 แมตช์ของเขากับคลับบรูจจ์ และที่ทำให้โดนไล่ออก อยากที่ทราบกัน นั่นคือตกรอบถ้วยสโมสรยุโรป โดยการแพ้ เบนฟิก้า 1-5 (สกอร์รวม 1-7)

"ผมรู้ว่าทุกคนแคลงใจในตัวผม และผมก็ไม่ได้โง่ที่จะไม่รับรู้สิ่งนั้น แต่ผมอยากบอกว่าผมเต็มที่แล้ว และอยากจะกลับมาชนะอีกครั้ง" สกอตต์ กล่าวหลังจบเกมดังกล่าว

ทั้งนี้ ด้วยวัย 42 ปี ของเขา ถือได้ว่าอนาคตทางฟุตบอลยังอีกยาวไกล ไม่แน่ว่าเขาอาจสลัดจุดเด่นที่เน้นหนักไปที่เรื่องของวาสนา แล้วเกิดใหม่อีกครั้งในฐานะกุนซือที่มีจุดเด่นในด้านใดด้านหนึ่ง และพาทีมที่คุมประสบความสำเร็จอีกครั้ง

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.theguardian.com/football/2023/mar/08/club-brugge-sack-scott-parker-champions-league-thrashing 
https://breakingthelines.com/tactical-analysis/how-bournemouth-returned-to-the-premier-league-under-scott-parker/ 
https://www.thetimes.co.uk/article/scott-parker-driven-to-succeed-at-fulham-pmf0qpljn 
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-8605737/HOT-NOT-Scott-Parker-come-age-guiding-Fulham-Premier-League.html 
https://www.dorset.live/sport/football/football-news/comparing-scott-parkers-championship-fulham-6740391 
https://themastermindsite.com/2021/02/19/scott-parker-fulham-tactical-analysis-2020-21/ 

Author

วิศรุต หล่าสกุล

หน้าตา 4KINGS ฟังเพลง 4EVE

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

ภราดร ภราดร

อยากจะทำให้ดี ไม่ใช่แค่อยากจะทำให้เป็น