Feature

บิ๊กแมตช์ที่เคยเดือด : “เอล กลาซิโกเมืองไทย” ในวันที่สิ้นมนต์ขลัง ? | Ball Thai Stand

ลูกหนังไทยลีกยุคเฟื่องฟู เกมระหว่าง “ชลบุรี” พบ “เมืองทอง ยูไนเต็ด” ได้รับความสนใจจากแฟนบอลอย่างล้นหลาม กลายเป็น “บิ๊กแมตช์” ที่ถูกขนานนามว่าเป็นศึก “เอล กลาซิโกเมืองไทย”

 

แต่วันนี้ศึก “เอล กลาซิโกเมืองไทย” ไม่ได้มีมนต์ขลังเหมือนอดีต ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ไปติดตามได้กับ BallThaiStand 


ฉลามภูธร ถูกท้าทายจากเจ้าบุญทุ่มใหม่

บิดเข็มนาฬิกากลับไปเมื่อฤดูกาล 2007 ชลบุรี ที่มีขุมกำลังหลักเป็นนักเตะลูกหม้อผลผลิตจากโรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา และ จุฬาภรณราชวิทยาลัย ทำผลงานสะเทือนลูกหนังแดนสยาม ผงาดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมาครองอย่างยิ่งใหญ่ 

พวกเขาสร้างประวัติศาสตร์เป็นเป็นทีมแรกจากภูธรที่สามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศไทย เนื่องจากก่อนหน้านี้แชมป์ไทยลีกล้วนเป็นทีมจากหน่วยงานรัฐบาล, รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานเอกชนที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพและปริมณฑล เท่านั้น 

จากนั้น “ชลบุรี” ได้กลายเป็นแม่แบบให้สโมสรในต่างจังหวัดพัฒนาและยกระดับตัวเองสู่ความเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพอย่างเต็มตัว 

ต่อมาฤดูกาล 2008 ทัพลูกหนังจากลุ่มน้ำเค็มพลาดโอกาสป้องกันแชมป์ไทยลีก ได้เพียงสวมบทพระรอง ปล่อยให้ “การไฟฟ้า PEA” คว้าแชมป์ไทยลีกไปครอง 

นั่นทำให้ปี 2009 พลพรรค “ฉลามชล” หวังทวงบัลลังก์แชมป์ลีกสูงสุดกลับมาอีกครั้ง
ซึ่งพวกเขาถูกยกให้เป็นเต็งแชมป์อย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากมีขุมกำลังสุดแกร่ง อัดแน่นไปด้วยแข้งดีกรีทีมชาติไทย 

อาทิ สินทวีชัย หทัยรัตนกุล, เกียรติประวุฒิ สายแวว, สุรีย์ สุขะ, อดุล หละโสะ, อาทิตย์ สุนธรพิธ และ พิภพ อ่อนโม้ ซึ่งตอนนั้นจัดเป็นแข้งระดับเกรด เอ ของเมืองไทย

นอกจากนี้ยังมีดาวเตะต่างชาติฝีเท้าฉกาจ อย่าง “ไมเคิล เบิร์น” และ “โคเน โมฮาเหม็ด” ข้างสนามมีกุนซือหนุ่มอย่าง เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุมบังเหียน 

แต่ปีเดียวกันนั้น “เมืองทอง หนองจอก ยูไนเต็ด” ที่เลื่อนชั้นแบบ 2 ปีรวดได้ก้าวขึ้นมาบนอยู่บนลีกสูงสุด และกลายเป็นทีมที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยภาพลักษณ์ของความเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพเช่นกัน โดยมีสื่อกีฬายักษ์ใหญ่ของไทยอย่าง “สยามสปอร์ต” เป็นกองหนุน

ด้วยประสบการณ์ทำงานอย่างโชกโชนในต่างประเทศของผู้สื่อข่าวสยามสปอร์ต ได้มีการเอาวัฒนธรรมการสร้างทีมฟุตบอลในอังกฤษมาปรับเข้ากับทีม 

สร้างกลิ่นอายการเชียร์ฟุตบอลให้คล้ายคลึงกับต่างประเทศ มีกองเชียร์อุลตร้าส่งเสียงกระตุ้นนักเตะอย่างดุดัน มีเพลงประจำสโมสร ซึ่งถือเป็นสีสันใหม่ของวงการฟุตบอลไทยยุคนั้น 

พลพรรค “กิเลนผยอง” ใช้เวลา 2 ปี เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดด้วยการ คว้าแชมป์ระดับดิวิชั่น 2 ปี 2007 และ ดิวิชั่น 1 ปี 2008 พร้อมก้าวขึ้นมาเล่นบนลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในปี 2009 

เป้าหมายของพวกเขาคือการสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์ 3 ระดับติดต่อกัน ทำให้ “เมืองทอง” สวมบทเจ้าบุญทุ่มทีมใหม่ของไทยลีก ด้วยทุ่มเงินคว้าผู้เล่นฝีเท้าดีมาเสริมทัพ 

แม้จะเป็นทีมน้องใหม่ของไทยลีก แต่กลับอัดแน่นไปด้วยแข้งซูเปอร์สตาร์ฝีเท้าระดับอ๋อง บวกกับนักเตะสายเลือดใหม่ อาทิ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์, เจษฎา จิตสวัสดิ์, พิชิตพงษ์ เฉยฉิว, ธีรเทพ วิโนทัย, ดัสกร ทองเหลา และ ธีรศิลป์ แดงดา 

นอกจากนี้ยังไปสอยกองหลังตัวกลั่นของ ชลบุรี อย่าง “ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์” มาร่วมทัพชนิดช็อคแฟนบอล “ฉลามชล”

ส่วนแข้งต่างชาติมี “ดานโญ่ เซียก้า” และ “ซูมาโฮโร ยาย่า” เป็นตัวชูโรง แถมมีกุนซือสมองเพชร “อรรถพล ปุษปาคม” คุมทัพ

นั่นทำให้พวกเขาถูกสื่อมวลชนสายบอลไทย ยกให้เป็นอีกหนึ่งในทีมที่มีโอกาสคว้าแชมป์ไทยลีกมาครอง นั่นทำให้ภารกิจทวงแชมป์ไทยลีกของ “ชลบุรี” ยากขึ้นไปอีก


จุดเริ่มต้นของ “เอล กลาซิโก เมืองไทย”

ส่วนการเจอกันครั้งแรกบนลีกสูงสุดครั้งแรกเกิดขึ้นในเกมไทยลีกนัดที่ 12 ของฤดูกาล 2009 ที่สนามเทศบาลเมืองหนองปรือ เนื่องจากสนามสิรินธร โรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา รังเหย้าของ “ชลบุรี” ในตอนนั้นน้ำท่วม สนามไม่พร้อมใช้งาน 

ส่วนสถานการณ์บนตารางคะแนนทั้งคู่ยังเกาะกลุ่มหัวตาราง ทำให้ “ชลบุรี” หวังเผด็จศึก “เมืองทอง” ด้วยการจัดทัพใหญ่ลงสนาม และหวังต้อนรับน้องใหม่ให้รับรู้ถึงนรกไทยลีก 

แข้งดีกรีทีมชาติอย่าง สินทวี หทัยรัตนกุล, สุรีย์ สุขะ, ชลทิตย์ จันทคาม, เกียรติประวุฒิ สายแวว, ณัฐพงษ์ สมณะ, เอกพันธ์ อินทเสน, ภานุวัฒน์ จินตะ, สุรัตน์ สุขะ, อาทิตย์ สุนทรพิธ และ พิภพ อ่อนโม้ ถูกส่งลงสนามครบครัน

ส่วน “กิเลนผยอง” ไม่น้อยหน้า นำทัพโดย กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์, ปกาศิต แสนสุข, เจษฎา จิตสวัสดิ์, ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์, ปิยะชาติ ถามะพันธ์,ดานโญ เซียกา, หัตฐพร สุวรรณ และพิชิตพงษ์ เฉยฉิว นำทัพ 


ด้วยประสบการณ์และความได้เปรียบที่ได้เล่นในถิ่นตัวเอง มีแฟนบอลเข้ามาเชียร์อย่างออกรส เป็นพลังหนุนให้ “ฉลามชล” ออกสตาร์ทอย่างคึกคักด้วยการนำห่าง 2-0 ในช่วงครึ่งชั่วโมงแรกของเกม จากการยิงของ “อาทิตย์ สุนทรพิธ” และ “โคเน โมฮาเหม็ด” 

มันจบแล้วครับนาย คงเป็นประโยคเด็ดที่แฟน “ฉลามชล” คิดอยู่ในใจ เพราะมองมุมไหน “เมืองทอง” คงรอดยาก 


สงครามยังไม่จบ ยังพึ่งนับศพทหาร คงเป็นประโชคเด็ด ที่แฟนบอล “กิเลนผยอง” หยิบมาใช้บ้าง

ใครจะไปเชื่อว่าพวกเขาจะกลับสู่เกม และพลิกกลับมายิงแซง 5 ประตูรวด จากการยิงของ ดานโญ่ เซียก้า ที่เหมาคนเดียวสองประตู ทำให้สกอร์ในครึ่งแรกเสมอ 2-2

ทว่าครึ่งหลัง ณัฐพร พันธ์ฤทธิ์ มาโขกประตูทีมเก่าได้ยังกับพล็อตเรื่องที่ถูกขีดเขียนไว้จากใครสักคน 

เกมโต้กลับ “กิเลนผยอง” ยังเป็นไพ่เด็ดให้ พิเชษฐ์ อินทร์บาง และ หัตฐพร สุวรรณ ยิงคนละประตู พา “กิเลนผยอง” บุกมาลูบคม “ฉลามชล” ถึงถิ่น ด้วยสกอร์ 5-2 พร้อมขยับขึ้นไปรั้งจ่าฝูงของตารางคะแนน

ด้วยอุณหภูมิลูกหนังในสนามสุดเดือดดาล เกมพลิกไปมาชนิดยากที่จะคาดเดา ขุมกำลังของทั้ง 2 ทีมเต็มไปด้วยนักเตะซูเปอร์สตาร์แห่งยุค มีแฟนบอลเข้ามาชมเกมกว่า 16,000 คน ทำให้เกมนี้ถูกยกย่องให้เป็นเกมบิ๊กแมตช์ของไทยลีก

การพบกันของทั้งคู่ในเลก 2 ที่สนามธันเดอร์โดม บรรยากาศยังอบอวลด้วยความคึกคัก แถมองศาลูกหนังเดือดกว่าเดิม เพราะทั้งคู่ขึ้นมาเป็นคู่แข่งเบียดแย่งแชมป์ไทยลีกเต็มตัว

แฟนบอลต่างต้องการชมเกมนี้อย่างมาก จนตั๋วผีราคาพุ่งไปแตะหลัก 5 พันบาทเลยทีเดียว แม้การสู้กันในสนามอันเผ็ดร้อน 90 นาที จะจบลงด้วยผลเสมอ 1-1 

แต่บรรยากาศในวันนั้นยังตราตรึงแฟนบอลในสนาม ราวกับว่าได้ชมเกมฟุตบอลในต่างประเทศ ทำให้สื่อมวลชนได้เอาเกมนี้ไปเปรียบเทียบกับศึก “เอล กลาซิโก” ของลาลีกา สเปน ระหว่าง เรอัล มาดริด พบกับ บาร์เซโลนา

“โอ๊ต” ณัฐพร พันธ์ฤทธิ์ อดีตกองหลังระดับตำนานของ ชลบุรี และ เมืองทอง ได้ย้อนความหลัง ถึงจุดเริ่มต้นของบิ๊กแมตช์ระดับประเทศ ที่ถูกยกไปเปรียบเทียบกับเกมลูกหนังระดับโลกว่า

“ตอนนั้น ชลบุรี ถือเป็นทีมที่มีแฟนบอลหนาแน่น สร้างทีมแบบมืออาชีพ เป็นต้นแบบให้หลายสโมสรนำไปใช้ ขณะที่ เมืองทอง อยู่ๆ พุ่งพรวดขึ้นมา และสร้างฐานแฟนคลับได้เยอะเหมือนกัน”​ 

“ในสนามผู้เล่นไม่มีใครยอมกัน ต่างฝ่ายต่างต้องการชัยชนะ หวังโชว์ศักยภาพและประกาศความเป็น 1 ของวงการฟุตบอลไทย ทำให้มันเกิดบรรยากาศที่ยอดเยี่ยมกลายเป็นเกม เอล กลาซิโก เมืองไทย” 

“นักเตะทุกคนรู้จักกัน สนิทสนมกันดีมาก ผู้บริหารทีมก็รู้จักกันดี แต่เมื่ออยู่ในสนามทุกคนสู้กันอย่างเต็มที่ชนิดไม่มีใครยอมกัน แต่หลังจบเกมทุกคนยังคงมิตรภาพไว้เสมอ” ณัฐพร ย้อนถึงอุณหภูมิที่ดุเดือด 


สถานะเปลี่ยน ดีกรีความร้อนระอุลดลง 

ในวันที่ฟุตบอลไทยลีกไม่ได้รับความนิยมเหมือนในอดีต แฟนบอลเข้าไปชมเกมในสนามน้อยลง ทำให้บรรยากาศไม่ได้คึกคักเหมือนวันวานยังหวานอยู่ 

ส่วนสถานะของทั้ง ชลบุรี และ เมืองทอง ไม่ได้เป็นคู่ปรับแย่งแชมป์เหมือนในอดีต กลายเป็น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ครองเจ้ายุทธภพลูกหนังไทยอย่างสมบูรณ์แบบ ปล่อยให้ ลีโอ เชียงราย หรือ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด แอบคว้าแชมป์ไทยลีกในบางฤดูกาล

ขณะที่ประเด็นนอกสนามที่เคยถูกพูดถึงเสมอในยุค “บังยี” วรวีร์​ มะกูดี นั่งบัลลังก์ประมุขฟุตบอลไทย แบบที่ว่า ชลบุรี และ เมืองทอง ยูไนเต็ด อยู่กันคนละฝั่งอย่างชัดเจนก็กลายเป็นอดีตไปหมดแล้ว เพราะในยุคที่ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เข้ามาเป็นนายกสมาคมฯ ดูเหมือนทั้งสองทีมจะเปลี่ยนสถานะกลายมาเป็น “พันธมิตร” กันไปแล้ว 

นี่คือจุดสำคัญอย่างหนึ่งที่ส่งผลทำให้เกม “เอล กลาซิโก” ของเมืองไทยถูกลดความเดือดลงไปอย่างมาก เพราะสมัยก่อนไม่ใช่แค่เดือดในสนาม แต่นอกสนามอุณภูมิระอุปรอทแตกไม่แพ้กัน

อย่างไรก็ตามด้วยความเป็นทีมใหญ่ทั้งคู่และเป็นทีมเก่าแก่ของเมืองไทย เมื่อเจอกัน นักเตะยังคงสู้กันเต็มที่ เพื่อคว้าชัยชนะให้ได้ ทว่าบรรยากาศไม่ได้คึกคักเหมือนในอดีตเท่านั้นเอง

กฤษดา กาแมน กองกลางกัปตันลูกหม้อของ ชลบุรี ที่ติดตามการแข่งขันเกม “เอล กลาซิโกเมืองไทย”​ ตั้งแต่เป็นเด็ก จนได้โอกาสก้าวมาเป็นนักเตะในอคาเดมีและขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่ พร้อมกลายเป็นกัปตันทีมชลบุรีในปัจจุบัน ยอมรับว่าเกมการแข่งขันมันไม่ได้เต็มไปด้วยความเข้มข้นเหมือนเดิม แต่ด้วยศักดิ์ศรีของความเป็น ชลบุรี หรือ เมืองทอง ผู้เล่นทั้ง 2 ทีมต่างไม่ยอมกันง่ายๆ 

“ผมชมการแข่งขันเกม เอล กลาซิโกเมืองไทย มาตั้งแต่เด็ก บรรยากาศตอนนี้มันสุดยอดมาก ขนาดดูในโทรทัศน์ยังรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ ผมอยากมีโอกาสสัมผัสเกมแบบนี้สักครั้ง” กฤษดา กล่าว

“พอมาเป็นนักเตะพอจะเจอกับ เมืองทอง เราก็มีการกระตุ้นกันเหมือนเดิม เหมือนกับการเจอทีมใหญ่ทั่วไป แม้บรรยากาศแฟนบอลในสนามจะไม่เหมือนอดีต แต่ผมคิดว่าด้วยศักดิ์ศรีนักเตะทั้ง 2 ทีมก็สู้กันเต็มที่เพื่อเก็บ 3 แต้มให้ได้”


จากเกมระดับ 5 ดาว สู่บิ๊กแมตช์ธรรมดา

เวลาผ่านไปอะไรก็เปลี่ยนแปลง ไม่ต่างจากสถานะของทีม ชลบุรี ห่างเหินการคว้าแชมป์ไทยลีก ตั้งแต่ปี 2007 

แต่ในฤดูกาลนี้พวกเขายืนระยะได้โดยใช้ผู้เล่นพลังหนุ่มผสมผสานกับนักเตะตัวเก๋าอย่าลงตัว จนขึ้นมาติดท็อปไฟว์ของตารางได้สำเร็จ ส่วนโอกาสการเป็นแชมป์ยังถือว่ายาก 

ส่วน “เมืองทอง” ได้แชมป์ไทยลีก ครั้งสุดท้าย ปี 2016 ตอนนี้พวกเขากลายเป็นทีมกลางตารางเรียบร้อยแล้ว แถมฟอร์มการเล่นในช่วงหลังยังไม่สม่ำเสมอ ดังนั้นการเจอกันของ 2 ทีมบรรยากาศจึงไม่ได้เข้มข้นเหมือนเดิม

กฤษดา กล่าวว่า การเจอ เมืองทอง ตอนนี้เหมือนการเจอทีมอื่นๆ ทั่วไป แม้จะเป็นเกมใหญ่ก็ตาม เรามองว่าเกมนี้เป็นการวัดคุณภาพของทีมเท่านั้น

“ชลบุรี กำลังสร้างทีมใหม่ การที่จะขึ้นไปสู้กับ บุรีรัมย์ หรือทีมใหญ่ ต้องอาศัยเกมแบบนี้ วัดคุณภาพ ด้วยการเอาชนะให้ได้ หาก ชลบุรี และ เมืองทอง กลับไปอยู่ในจุดเดิม ยังแย่งแชมป์กัน เชื่อว่าบรรยากาศเกมแข่งขันจะกลับมาเหมือนเดิม”

ขณะที่ ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ กล่าวเสริมว่า ตอนนี้มีสโมสรดีๆ ยกระดับตัวเองขึ้นมาอยู่แถวหน้าเยอะ ทำให้ความสำคัญของ เอล กลาซิโก มันลดความเดือด และไม่ได้ขลังเหมือนแต่ก่อน

“ผมว่าแฟนบอลจะไปโฟกัส เกมอย่าง เชียงราย กับ บุรีรัมย์ มากกว่า เพราะทั้งคู่มีประเด็นทั้งในและนอกสนาม ในการเจอกันช่วงหลังก็ใส่กันไม่ยั้ง”

“ขณะที่ เมืองทอง กับ บุรีรัมย์ ยังคงมีกลิ่นอายความเดือดอยู่ แต่มันไม่ก็ไม่สุดเหมือนเมื่อก่อน ที่ทั้งคู่ต่างเป็นคู่แข่งแย่งแชมป์กันโดยตรง” 

แม้ความขลังของเกม “เอล กลาซิโกเมืองไทย” จะลดดีกรีความเดือดจะลดลงไปจากอดีต แต่ด้วยศักดิ์ศรีของอดีตทีมแชมป์ไทยลีก คงใส่กันเต็ม 100 เหมือนเดิม 

หวังว่าในอนาคตภาพบรรยากาศเก่าๆ ของแมตช์สุดคลาสสิก จะกลับมาคึกคักเหมือนอดีตอีกครั้ง

Author

ศุภฤกษ์ สีทองเขียว

หนุ่มแดนหมอแคน ผู้คลั่งไคล้ในฟุตบอล