Feature

เริ่มต้นเพื่อความยั่งยืน : ถึงเวลาหรือยังที่บอลไทยจะนำกฎ Financial Fair Play มาใช้ | Ball Thai Stand

หนึ่งในปัญหาของวงการฟุตบอลไทยคือความยั่งยืนของสโมสร ท่ามกลางการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลายสโมสรฟุตบอลติดกับดักความสำเร็จทุ่มเงินเกินตัวหวังล่าแชมป์ในระยะสั้น แต่เมื่อล้มเหลว ผลลัพท์ของทีมกลับไปไม่รอด บางทีมยุบสโมสร บางทีมย้ายถิ่นฐานออกจากท้องถิ่น

 

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่แค่สโมสรไทยที่เจอปัญหาแบบนี้ แต่ฟุตบอลยุโรปก็เจอปัญหาเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามที่ยุโรปได้พยายามนำกฎการควบคุมทางการเงินอย่าง Financial Fair Play มาใช้ ซึ่งวางรากฐานที่ดีต่อการสร้างความยั่งยืนให้กับทีมฟุตบอล 

#BallThaiStand จึงขอชวนทุกท่านมาลองคิดตามดูว่า ถึงเวลาที่วงการฟุตบอลไทยจะต้องเริ่มใช้กฎ Financial Fair Play หรือยัง และจะมีโอกาสเกิดขึ้นแค่ไหนในประเทศไทย

ส่องกล้องมองต่างแดน 

แฟนบอลหลายคนอาจติดภาพว่า FFP เป็นกฎที่ล้มเหลว เพราะไม่สามารถลงโทษสโมสรฟุตบอลบางทีมที่อาจจะมีปัญหาใช้เงินตัวได้ อย่างเช่น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง แต่ในความเป็นจริงแล้วกฎควบคุมการเงินมีประโยชน์มากกว่าแค่ลงโทษแบนทีมในตลาดซื้อขาย หรือยึดสิทธิ์เล่นฟุตบอลถ้วยยุโรป

 

เพราะหากย้อนไปดูเป้าหมายของการตั้งกฎ FFP สิ่งสำคัญคือความพยายามลดหนี้สะสมของสโมสร เพราะถ้าไม่มีหนี้ทีมก็เดินต่อไปได้ไม่มีปัญหา ซึ่งวิธีป้องกันการไม่เป็นหนี้ของทีมฟุตบอลได้ดีที่สุดคือการควบคุมรายจ่ายของสโมสร

สำหรับกฎ Financial Fair Play ที่ยูฟ่านำมาใช้กับวงการฟุตบอลยุโรป บังคับไม่ให้สโมสรขาดทุนเกิน 5 ล้านยูโรจากบัญชีการเงิน 3 ฤดูกาลหลังสุด ซึ่งหากทำไม่สำเร็จก็จะมีสิทธิ์ถูกลงโทษได้จากการเล่นฟุตบอลยุโรป

ถึงแม้ว่าเราจะยังได้เห็นสโมสรฟุตบอลในยุโรปอัดฉีดใช้เงินจำนวนมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วกฎ FFP ช่วยลดปริมาณการขาดทุนของทีมฟุตบอลได้เป็นอย่างดี

ในปี 2019 สโมสรฟุตบอลยุโรปมียอดรวมของการบริหารทีมคิดเป็นขาดทุน 125 ล้านยูโรเท่านั้น ซึ่งย้อนไปปี 2009 หรือก่อนจะมีกฎ FFP ในเวลานั้นทีมลูกหนังในยุโรปขาดทุนสูงถึง 1,562 ล้านยูโร (คิดเป็นอัตราเงินในปี 2019) หรือเรียกได้ว่า FFP ช่วยลดเปอร์เซนต์การขาดทุนของสโมสรฟุตบอลได้สูงถึง 92 เปอร์เซนต์

สิ่งหนึ่งที่ FFP เข้ามาช่วยเปลี่ยนแปลงวงการฟุตบอลยุโรปคือ หากทีมไหนคิดจะใช้เงินมหาศาลซื้อนักเตะ ก็ต้องรู้จักหารายได้เข้ามาทดแทนรายจ่ายที่เสียไป 

ผลลัพธ์ที่ตามมาคือสโมสรยักษ์ใหญ่ระดับโลกเดินหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจ แต่ล่ะสโมสรเลือกเดินทางไปอุ่นเครื่องต่างแดน เดินหน้าเซ็นสัญญาสปอนเซอร์รายใหม่ ๆ นับไม่ถ้วน 

ยกตัวอย่างเช่นเชลซี ก่อนจะมีกฎ FFP ในทศวรรษที่ 2000s พวกเขาทำกำไรได้เพียง 94 ล้านปอนด์ หรือ 111 ล้านยูโร แต่ในทศวรรษล่าสุด 2010s ทัพสิงโตน้ำเงินครามกวาดกำไรไปถึง 623 ล้านปอนด์ หรือ 740 ล้านยูโร 

ทั้งหมดก็เป็นอิทธิพลปรับตัวจากกฎ FFP ซึ่งช่วยให้ทีมฟุตบอลชั้นนำสามารถยืนด้วยลำแข้งได้อย่างแข็งแกร่งในปัจจุบัน แม้จะเจอภาวะปัญหาทางการเงินจากช่วยโรคระบาด COVID-19 แต่สโมสรฟุตบอลยุโรปชั้นนำก็ผ่านช่วงเวลายากลำบากมาได้ทุกทีม

ขณะที่ทีมขนาดเล็กอาจดูเสียเปรียบหากอยากขึ้นไปสู้กับสโมสรยักษ์ใหญ่ระดับโลก ยกตัวอย่างเช่น หลายๆทีมที่เงินไม่หนาไม่สามารถทุ่มเงินล่าความสำเร็จในระดับเดียวกับที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ปารีส แซงต์ แชร์กแมง เพราะกฎ FFP ห้ามไม่ให้ทำแบบนั้นได้ แต่ในระยะยาวช่วยให้สโมสรฟุตบอลไม่ต้องทุ่มเงินเกินตัวจนทีมพังเหมือนที่เกิดขึ้นในอดีต ไม่ว่าจะเป็นแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส หรือลีดส์ ยูไนเต็ด 

แน่นอนว่า FFP ถูกบ่นเรื่องทำให้เกิดการผูกขาดในการแข่งขันฟุตบอล ทีมหน้าใหม่ ๆ ขึ้นมาสู้กับทีมหัวตารางยากเพราะสู้ทุ่มซื้อด้วยเงินมหาศาลไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้น FFP แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าช่วยควบคุมเรื่องเงินของทีมฟุตบอล ทำให้หลายสโมสรมีรายได้เพิ่มขึ้นได้จริง ดังนั้นการมีกฎการเงินอย่างไรก็ช่วยให้สโมสรสามารถยืนได้ด้วยลำแข้งตัวเอง 

กฎการเงินควรเกิดในประเทศไทย

สำหรับกฎควบคุมทางการเงินต้องบอกว่าสามารถทำได้กับทุกลีกบนโลกขอแค่มีกฎที่ชัดเจน และการตรวจสอบทางการเงินอย่างเข้มข้นตรงไปตรงมา การเริ่มต้นสร้างกฎ Financial Fair Play สามารถเริ่มต้นขึ้นในประเทศได้อย่างแน่นอน

การตรวจสอบงบการเงินของสโมสรฟุตบอลไทยสามารถทำได้อย่างแน่นอน เพราะทีมฟุตบอลไทยถูกบังคับให้จดทะเบียนบริษัทในลักษณะนิติบุคคลอยู่แล้ว ซึ่งทุกปีต้องส่งงบรายรับและรายจ่ายให้กับกระทรวงพาณิชย์เป็นประจำทุกปี 

อ้างอิงข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าถึงข้อมูลงบการเงินปี 2564 ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ามีหลายสโมสรในไทยที่บริหารทีมได้ดีสามารถสร้างกำไรได้ ไม่ว่าจะเป็นบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่สร้างกำไรไป 23,158,637 บาท, การท่าเรือ เอฟซี มีกำไรที่ 12,090,956 บาท หรือบีจี ปทุม ยูไนเต็ด มีกำไรที่ 4,755,520 บาท

แต่หลายสโมสรก็มียังคงขาดทุนกับการทำธุรกิจฟุตบอล ทั้งเมืองทอง ยูไนเต็ด ซึ่งในปี 2564 ขาดทุนไป 15,097,346 บาท ส่วนชลบุรี เอฟซี ขาดทุนไป 1,510,358 บาท และทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ขาดทุนสูงถึง 225,225,629 บาท

งบขาดทุนตรงนี้ถือว่าน่ากังวลไม่น้อย สำหรับชลบุรีกับเมืองทองอาจจะขาดทุนไม่มาก แต่กับทีมที่ไม่ได้มีเจ้าของทีมทุนหนาเงินถุงเงินถัง การขาดทุนย่อมไม่ใช่เรื่องดีของสโมสร ขณะที่ทรู แบงค็อก ถึงจะมีเจ้าของเป็นบริษัทที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย แต่การทำทีมฟุตบอลแล้วขาดทุนถึง 200 ล้านบาท ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ทีมยังไม่สามารถยืนอยู่ได้หากปราศจากเงินทุนจากบริษัทหนุนหลังอย่างแน่นอน

แต่สถานการณ์ของทีมระดับชั้นนำของประเทศไทยยังไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับทีมระดับล่างที่หลายสโมสร ยังคงเจอปัญหาขาดทุนในการทำทีม ไม่ว่าจะเป็น ขอนแก่น เอฟซี ขาดทุน 7,692,801 บาท, พิษณุโลก เอฟซี ขาดทุน 6,171,416 บาท และลำพูน วอร์ริเออร์ส ขาดทุน 27,463,432 บาท จากงบการเงินปี 2564 ที่ผ่านมา

สโมสรระดับล่างส่วนใหญ่คือทีมท้องถิ่นระดับรากหญ้าซึ่งไม่ได้มีรายได้สูงจากสปอนเซอร์ หรือเงินเข้ามาเสริมจากส่วนต่าง ๆ ส่วนใหญ่ใช้เงินจากนักการเมืองหรือนักธุรกิจท้องถิ่น ซึ่งถึงแม้ว่าจะไล่ล่าความสำเร็จแต่การขาดทุนไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสำหรับทีมระดับล่าง เพราะหากนักลงทุนถอดใจก็หมายความทีมจะถูกทิ้งไว้กลางทาง และกลายเป็นจุดจบของสโมสรได้ในทันที

ยิ่งเป็นทีมประจำท้องถิ่นแล้ว ความยั่งยืนของสโมสรยิ่งจ้องคำนึงเป็นสิ่งสำคัญ จริงอยู่ว่าการควบคุมงบทางการเงินจะทำให้ทีมเล็ก ๆ ก้าวขึ้นไปสู้กับทีมชั้นนำที่มีความมั่นคงทางการเงินได้ยาก แต่อย่างน้อยมันคือการรับประกันว่าทีมจะอยู่คู่กับท้องถิ่นตลอดไป ไม่เจอปัญหายุบทีม ไม่ต้องต้องมานั่งลุ้นแบบปีต่อปีว่าทีมจะอยู่หรือไป

อย่างน้อยหากมีกฎควบคุมทางการเงินช่วยเข้ามารัดเข็มขัดสโมสรฟุตบอลให้ห้ามขาดทุน หรือขาดทุนได้ไม่เกิน 1 ล้าน ก็จะเป็นเครื่องรับประกันชั้นดีว่าสโมสรฟุตบอลไทยจะมีความยั่งยืน สามารถแก้ปัญหาเรื้อรังอันยาวนานของฟุตบอลไทยได้

ปัญหาว่าด้วยเรื่องฉบับเอเชีย

ในขณะที่ฟุตบอลยุโรปให้ความสำคัญกับการควบคุมทางการเงินอย่างมาก แต่สำหรับวงการลูกหนังเอเชียเรื่องของกฎการเงินเรียกได้ว่าไม่มีบทบาท แตกต่างจากฝั่งตะวันตกอย่างสิ้นเชิง 

ยกตัวอย่างลีกฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอย่าง เจลีกของประเทศญี่ปุ่น เลือกที่จะไม่ใช้กฎการเงินเข้ามาควบคุมสโมสรฟุตบอล เพราะมองว่าการมีกฎการเงินจะส่งผลให้การเติบโตของฟุตบอลลีกช้าลง

ญี่ปุ่นเชื่อว่าแม้ลีกในประเทศจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน แต่จนถึงตอนนี้ทีมฟุตบอลก็ยังไม่สามารถยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ต้องการเงินอัดฉีดจากบริษัทเจ้าของสโมสรอยู่ หากจะให้หมุนเวียนรายรับรายจ่ายในสโมสรก็อาจจะอยู่ไม่รอด จึงจำเป็นต้องปล่อยอิสระทางการเงิน เพื่อให้เจ้าของสโมสรสามารถอัดฉีดเงินเข้ามาได้เต็มที่

อย่างไรก็ตาม วงการฟุตบอลญี่ปุ่นได้หาวิธีอื่นเข้ามาทดแทน นั่นคือหากมีการเปลี่ยนมือเจ้าของทีมในสโมสรสมาชิกของเจลีก จะต้องได้รับการยินยอมจากเพื่อนร่วมลีก หากมีแผนการที่ไม่ได้แสดงถึงความยั่งยืนของทีม ซึ่งต้องมาพร้อมกับการพัฒนาเยาวชน และสร้างประโยชน์ให้กับท้องถิ่น เจลีกสามารถปัดตกการเทคโอเวอร์ของสโมสรนั้น ๆ ได้

ย้อนกลับมามองที่วงการลูกหนังไทยในปัจจุบันซึ่งต้องยอมรับว่า ความมั่นคงของธุรกิจนี้ยังคงมีน้อย และด้วยระบบที่สร้างขึ้นมาไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ทีมฟุตบอลไทยต้องพึ่งเงินอัดฉีดหนุนหลังจากเจ้าของทีมจำนวนมาก น้อยทีมที่จะยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง หากจะให้สโมสรหมุนเงินรายรับรายจ่ายด้วยตัวเอง วงการฟุตบอลไทยก็อาจจะไปไม่รอด 

นอกจากนี้ยังเคยมีการศึกษาทางวิชาการว่า ฟุตบอลในทวีปเอเชียมีปัจจัยแวดล้อมที่ต่างจากฟุตบอลยุโรปอยู่มาก ทุกอย่างที่มีประโยชน์ในยุโรปอาจไม่ได้ส่งผลดีกับฟุตบอลเอเชีย ซึ่งกฎควบคุมการเงินในรูปแบบของ Financial Fair Play ก็สามารถเป็นหนึ่งในนั้นได้เช่นกัน

เช่นเดียวกับที่เจลีกมอง เราปฏิเสธไม่ได้ว่า การมีเจ้าของทีมทุนหนาเข้ามาอัดฉีดเงินให้กับสโมสรฟุตบอล ส่งผลให้วงการฟุตบอลไทยเติบโตเร็วขึ้น มีมูลค่าสูงขึ้น ฟุตบอลไทยพัฒนาเป็นมืออาชีพมากกว่าเดิม ดังนั้นด้วยรากฐานที่ไม่แข็งแรงวงฟุตบอลไทย (และอีกหลายชาติในเอเชีย) การเอากฎควบคุมทางการเงินมาใช้อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของลีกทั้งทางฟุตบอล และธุรกิจอย่างน่าเสียดาย

แต่สุดท้ายแล้ว วงการฟุตบอลไทยก็จำเป็นจะต้องหาวิธีที่จะเข้ามาควบคุมการใช้จ่ายของสโมสรฟุตบอล หาทางที่จะการันตีความยั่งยืนของทีมบอลไทยให้ได้ เหมือนอย่างที่ญี่ปุ่นต้องมีการตรวจสอบคุณสมบัติ และแผนการของนักลงทุนแต่ละรายก่อนเข้ามาเป็นเจ้าของทีม ไม่ใช่แค่มีเงินก็เดินเข้ามาทำได้หมดเหมือนที่เกิดขึ้นในวงการฟุตบอลไทยปัจจุบัน

วิธีการของญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งแนวทางที่น่าสนใจ สมาคมฟุตบอลไทยสามารถตั้งหน่วยงานเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติของการเปลี่ยนมือเจ้าของฟุตบอลทุกครั้ง ต้องมีหลักประกันว่าคนที่จะเข้ามาทำทีมจะไม่ทิ้งสโมสรฟุตบอลไปกลางคันเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 10 ปี ไม่ว่าผลงานจะเป็นอย่างไร หรือมีแผนการชัดเจนว่าจะเข้ามาพัฒนาทีมฟุตบอลควบคู่ไปกับการคืนประโยชน์ให้กับท้องถิ่นอย่างไร ในแนวทางเดียวกับที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น 

รวมถึงมีการเสนอว่าวิธีสร้างความยั่งยืนที่ดีให้กับสโมสรฟุตบอลในเอเชีย คือการออกกฎที่เข้มแข็ง และชัดเจน เช่น การห้ามย้ายสโมสรฟุตบอลออกจากเมืองที่ตั้ง ซึ่งในปัจจุบันเป็นกฎที่วงการฟุตบอลเกาหลีใต้ พยายามจะนำมาใช้กับเคลีก เนื่องจากต้องการให้ทีมฟุตบอลมีความผูกพันกับท้องถิ่นมากยิ่งขึ้นเพื่อดึงดูดแฟนบอลเข้าสนาม เพื่อเริ่มสร้างความยั่งยืนให้สโมสร 

สุดท้ายแล้วปัญหาของทีมฟุตบอลในเอเชียที่ต้องรับเงินสนับสนุนจากเจ้าของทีม หรือบริษัทแม่ที่ถือครองสโมสรเป็นหลัก ก็ทำให้การดึงกฎ Financial Fair Play แบบทางยุโรปมาใช้เกิดขึ้นได้ยาก แต่จะเห็นได้ว่าลีกระดับแถวหน้าก็มีความพยายามจะหาวิธีสร้างความยั่งยืนให้กับทีมฟุตบอล ซึ่งก็ประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดีกับการใช้วิธีสไตล์เอเชียเหมือนที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น

วงการฟุตบอลไทยก็ไม่ต่างกัน ถึงแม้ว่าในตอนนี้หลายทีมจะต้องพึ่งเงินจากเจ้าของสโมสร แต่ในอีก 10-20 ปีข้างหน้าทีมบอลไทยควรจะยืนได้ด้วยตัวเองมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราต้องออกกฎบางอย่างที่เหมาะสมกับลีกเพื่อสร้างความยั่งยืนของฟุตบอลลีกไทยให้เกิดขึ้นจริง ไม่เช่นนั้นเราจะได้เห็นการล้มหายตายจากของสโมสรฟุตบอลไทยไปอีกยาวนานหลายสิบปี

แหล่งอ้างอิง

หนังสือ The Sports Business in The Pacific Rim: Economics and Policy
https://theconversation.com/ten-years-of-financial-fair-play-has-it-been-good-for-european-football-171021
https://futbol.si.com/news/uefa-outline-new-financial-regulations-to-reform-ffp#:~:text=What%20were%20the%20old%20FFP,payment%20from%20the%20club's%20owners.
https://japanfootballlabo.com/ownership-rule-in-j-league/203/
https://japanfootballlabo.com/ownership-rule-in-j-league/203/
https://datawarehouse.dbd.go.th/company/profile/5/0205551023671
https://datawarehouse.dbd.go.th/company/profile/5/0105553090813
https://datawarehouse.dbd.go.th/company/profile/5/0105551064530
https://datawarehouse.dbd.go.th/company/profile/5/0105551101168
https://datawarehouse.dbd.go.th/company/profile/5/0105557174906
https://datawarehouse.dbd.go.th/company/profile/5/0105555046536
https://datawarehouse.dbd.go.th/company/profile/5/0105559177368
https://datawarehouse.dbd.go.th/company/profile/5/0655557001454
https://datawarehouse.dbd.go.th/company/profile/5/0515553000331

 

 

 

Author

Main Stand

Stand ForAll สื่อกีฬาที่เข้าถึงทุกคน