ฟุตบอลโลก 1998 เป็นอีกหนึ่งทัวร์นาเมนต์รอบสุดท้ายที่เปี่ยมไปด้วยสีสัน และองศาความเดือดที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกสนาม ท้ายสุดความสำเร็จของศึก "ฟรองซ์ 98" ไปจบตรงที่การเป็นแชมป์ของเจ้าภาพอย่าง ฝรั่งเศส โดยผลการแข่งขันเป็นทีมตราไก่เอาชนะ บราซิล ไปด้วยสกอร์ขาดลอยถึง 3-0
เหตุผลหลักประการหนึ่งที่ทำให้ขุนพลเซเลเซาพ่ายแบบพังพาบ คือการที่ โรนัลโด้ กองหน้าระดับซูเปอร์สตาร์ ของทีมเล่นไม่ออก และไปเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่าง ๆ นานาก่อนลงแข่งขัน โดยมีรายงานว่า "R9" เกือบจะไม่มีชื่อลงสนามอยู่แล้ว
ทว่าทีมโค้ชกลับตัดสินใจในช่วงก่อนแข่งไม่กี่อึดใจ และเลือกส่งเขาลงสนาม จนถึงขั้นมีทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) โยงถึงความเป็นไปได้ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับโรนัลโด้กันแน่
และไม่ว่าคุณจะเคยได้ยินหรือรับรู้เรื่องราวเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน Main Stand ขอพาทุกคนย้อนไทม์ไลน์ไปสู่เหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นไปพร้อม ๆ กัน
ฟอร์มระดับเทพก่อนมาเวิลด์คัพ
หากเอ่ยถึงชื่อของ โรนัลโด้ หลุยส์ นาซาริโอ เดอ ลิมา หรือ "โรนัลโด้" แฟนฟุตบอลโดยเฉพาะคนที่ติดตามฟุตบอลมาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 90s ย่อมไม่มีใครไม่รู้จักเขา
แข้งฉายา "R9" เฉิดฉายในเส้นทางลูกหนังมาตั้งแต่สมัยเป็นดาวรุ่ง เห็นได้ชัดที่สุดคือการถูกเรียกตัวติดทีมชาติบราซิลไปลุยฟุตบอลโลก 1994 ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นอายุได้เพียง 17 ปี
โดยความเก่งกาจในตอนนั้นก็หนีไม่พ้นผลงานพา ครูไซโร ทีมอาชีพทีมแรกของเขา ผงาดแชมป์โคปา เดอ บราซิล ทั้งยังเคยโชว์โหดยิงคนเดียว 5 ประตูในหนึ่งเกมในลีกอาชีพที่บราซิล
แม้ว่าในทัวร์นาเมนต์นั้นที่จัดแข่งที่สหรัฐอเมริกา โรนัลโด้จะยังไม่ได้โอกาสลงเล่นแม้แต่วินาทีเดียว แต่นั่นคือจุดเบิกทางสู่ความยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา
โรนัลโด้ย้ายมาค้าแข้งในยุโรปช่วงฤดูกาล 1994-95 กับ สโมสรพีเอสวี ไอนด์โฮเฟน ต่อเนื่องกับ บาร์เซโลน่า และ อินเตอร์ มิลาน และสโมสรจากอิตาลีนี่เองคือทีมที่เขาลงค้าแข้งให้เป็นฤดูกาลแรก ก่อนถูกเรียกตัวติดทีมชาติบราซิลไปลุยฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย หนที่สองของตัวเอง ในปี 1998
แน่นอนว่าด้วยอายุอานามที่พร้อมจรัสแสง (21 ย่าง 22) แถมพกสถิติโหดก่อนไปลุยศึก "ฟรองซ์ 98" จากการซัลโว 34 ประตูในฤดูกาลเปิดตัวกับทัพ "เนรัซซูรี่" พาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ ได้ตั้งแต่ปีแรก หรือจะนับฤดูกาลก่อนหน้ากับบาร์เซโลน่า กับสถิติกด 47 ตุงในฤดูกาล 1996-97 แถมยังได้รางวัลแข้งยอดเยี่ยมแห่งปี อย่าง "บัลลงดอร์" มาครองด้วย
โรนัลโด้มีทั้งความแข็งแกร่งในการกระชากบอลฝ่าเกมรับ อันตรายยามได้ง้างเท้าซัด ตลอดจนลีลาลูกหนังแซมบ้าอันเลื่องชื่อ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเครื่องการันตีอนาคตที่สดใส
และเขาก็ไม่ทำให้แฟน ๆ แซมบ้าต้องผิดหวังกับฟอร์มการเล่นของตัวเองในฟรองซ์ 98 เมื่อเขาจารึกสถิติยิงไปถึง 4 ประตู กับอีก 3 แอสซิสต์
แม้เกมรอบแบ่งกลุ่มจะดูทุลักทุเลไปบ้าง (บราซิลชนะ 2 แพ้ 1) แต่ก็ยังดีพอที่จะช่วยให้บราซิลกรุยทางมาถึงเกมนัดชิงชนะเลิศ ทั้งยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีมชาติในทัวร์นาเมนต์ และตอนนั้นโอกาสป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกดูสดใสมากทีเดียว
แต่แล้วกลับมาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในช่วงระหว่างเตรียมแข่งนัดชิงชนะเลิศกับเจ้าภาพอย่างฝรั่งเศส ว่ากันว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำเอาสื่อมวลชนถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก หลังปรากฏข่าวว่าเขามีอาการป่วยหนักและไม่น่าจะได้ลงเล่นเกมตัดสินแชมป์
ทว่าทุกอย่างกลับตาลปัตรไม่นานก่อนเสียงนกหวีดเป่าเริ่มเกม เมื่อจู่ ๆ โรนัลโด้ก็มีชื่อลงสนามหน้าตาเฉย
เหตุการณ์ในตอนนั้น
12 กรกฎาคม 1998 คือวันแข่งขันนัดชิงชนะเลิศของฟุตบอลโลก ในช่วงกลางวันเหตุการณ์ถือว่ายังเป็นปกติทั่วไป พลพรรคบราซิลเลียนรับประทานอาหารร่วมกัน ก่อนเข้าพักผ่อนอีกเล็กน้อยเพื่อเตรียมการก่อนศึกสำคัญในช่วงสามทุ่มตรงตามเวลาท้องถิ่น … แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็มาเกิดขึ้น
"โรนัลโด้กลัวกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเขา เขาเผชิญความกดดัน และเขาหยุดร้องไห้ไม่ได้" โรแบร์โต้ คาร์ลอส ผู้ซึ่งเป็นรูมเมตของโรนัลโด้เผยอาการเพื่อน ผ่าน BBC
จากนั้นในเวลาประมาณสี่โมงเย็น กองหน้าอินเตอร์ มิลาน ในขณะนั้นเริ่มมีอาการชักเกร็ง คุมสติตัวเองไม่ได้ เริ่มมีน้ำลายฟูมปาก นั่นทำให้โรแบร์โต้ คาร์ลอส เรียกร้องขอความช่วยเหลือ
"มันแย่ลงตอนประมาณสี่โมงเย็น เขาเริ่มป่วย ผมโทรหาแพทย์ประจำทีมและบอกให้เขามาที่ห้องเราให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้" ตำนานแบ็กซ้ายบราซิล กล่าวต่อ
เซซาร์ ซัมปาโย และ เอ็ดมุนโด้ สองเพื่อนร่วมทีมชาติได้เข้ามาช่วยเหลือเป็นคนแรก ๆ โดยเฉพาะรายหลังได้ช่วยให้โรนัลโด้ไม่กัดลิ้นตัวเอง ท้ายสุดก็ถึงมือแพทย์ประจำทีมได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ และส่งต่อไปที่โรงพยาบาล
เมื่อถึงขั้นนำตัวส่งโรงพยาบาล ปฏิเสธไม่ได้ว่าโอกาสลงสนามของโรนัลโด้นั้นดูริบหรี่ไปแล้ว และเรื่องนี้รู้กันแค่วงใน รู้เฉพาะผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทีมชาติบราซิลเท่านั้น
นั่นทำให้ช่วงเวลา 1-2 ชั่วโมงก่อนเกมจะคิกออฟ การแจกใบรายชื่อของทั้งสองทีมให้สื่อมวลชนกลายเป็นคำถามที่ทุกคนต้องสงสัย เมื่อรายชื่อแผงเกมรุกบราซิลกลับเป็นเอ็ดมุนโด้ที่ลงตัวจริง ส่วนดาวซัลโวของชาติมีชื่อเป็นตัวสำรอง
"เอกสารถูกส่งไปตามปกติ แต่พอดูแล้วชื่อของโรนัลโด้ไม่ได้อยู่ที่นั่น และทุกคนที่ดูใบรายชื่อของทีมก็มีปฏิกิริยาแบบเดียวกัน มีคนยกมือถามว่าเกิดอะไรขึ้น ? เรานั่งงงกับเรื่องนี้เป็นเวลานานทีเดียว" จอห์น มอตสัน นักข่าวและผู้บรรยายกีฬา BBC บอกกับ CNN Sport
เรื่องนี้ทำเอาสื่อมวลชนอยากหาคำตอบกันจ้าละหวั่น กระทั่งมีข่าวจาก มาริโอ ซากัลโล่ กุนซือในเวลานั้นว่า "R9" มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อยจากเกมรอบรองชนะเลิศที่บราซิลลงห้ำหั่นกับเนเธอร์แลนด์ไปจนถึงช่วงการดวลจุดโทษตัดสิน
ใกล้ได้เวลาแข่งขัน โดยปกติแล้วเมื่อนักเตะเดินทางมาถึงสนามก็จะมีการอบอุ่นร่างกายโค้งสุดท้ายก่อนลงทำศึก และสำหรับบราซิลครั้งนี้ พวกเขาไม่ได้ลงวอร์มร่างกาย
"ผมจำได้แม่นเลย เพราะมันไม่ใช่เรื่องปกติที่ทีมไม่ได้ออกมาวอร์มร่างกาย เห็นได้ชัดว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในห้องแต่งตัวของบราซิล บางสิ่งที่พวกเราไม่รู้ว่าคืออะไร" มอตสัน ว่าต่อ
แต่จู่ ๆ ก็มีเหตุการณ์สำคัญชวนจับจ้องอีก เมื่อชื่อของเอ็ดมุนโด้ถูกตีกลับไปนั่งบนม้านั่งสำรอง แผนเดิมที่วางไว้ถูกปรับเปลี่ยนใหม่อีกครั้ง กระทั่งการปรากฏตัวเดินลงสนามในฐานะนักเตะ 11 ตัวจริงของโรนัลโด้ก็เกิดขึ้น นั่นหมายความว่าจากที่มีข่าวว่าบาดเจ็บก่อนหน้านี้ โรนัลโด้กลับมาออกสตาร์ทให้ทีมแซมบ้าได้
ในเกมการแข่งขัน R9 ลงสนามได้ก็จริง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสร้างพิษสงใด ๆ ให้บราซิลแทบไม่ได้เลย โรนัลโด้ได้ลุ้นจบสกอร์ในกรอบจากการกดด้วยขวาเน้น ๆ แต่ก็ยังไม่ผ่านมือ ฟาเบียง บาร์กเตซ ผู้รักษาประตูฝรั่งเศสเพียงแค่จังหวะเดียวเท่านั้น
นอกจากนั้นก็ไม่มีโมเมนต์ใด ๆ ชวนให้จดจำ และผลการแข่งขันก็เป็นเจ้าภาพที่ทำได้ดีกว่า พร้อมอาศัยเสียงเชียร์จากแฟน ๆ ที่สตาด เดอ ฟรองซ์ เอาชนะไป 3-0 กลายเป็นแชมป์โลกสมัยแรก
ทฤษฎีสมคบคิด และความในใจจากเจ้าตัว
เมื่อผลการแข่งขันจบลงไป โลกได้คำตอบสำหรับทีมแชมป์โลกไปแล้ว ทว่าคำตอบและคำถามที่ค้างคาใจจากกรณีของโรนัลโด้ยังคงไม่มีข้อสรุปว่าสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร
จนเกิดเป็นกระแสต่าง ๆ นานา เกิดเป็นทฤษฎีสมคบคิดเชื่อมโยงถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดจากเหตุการณ์นี้ว่าทำไมโรนัลโด้ถึงล้มป่วยแบบปริศนา ขณะเดียวกันทำไมเขาถึงกลับมาลงตัวจริงได้ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกมีชื่อเป็นตัวสำรอง
ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) คือการคาดเดาสาเหตุของการเกิดขึ้นของเหตุการณ์หนึ่ง หรืออาจเป็นประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นในสังคมที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและเป็นสิ่งที่คนในสังคมไม่สามารถหาคำอธิบายถึงคำตอบได้โดยทันที
และด้วยความรู้สึกนึกคิดที่ไม่ได้ถูกควบคุม ทำให้คนในสังคมเลือกจับแพะชนแกะโยงกันจนเป็นเรื่องราว โดยที่บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ใด ๆ เพิ่มเติม
กับกรณีของโรนัลโด้ก็เช่นกัน ไล่ตั้งแต่ช่วงป่วยปริศนาไปจนถึงการกลับมาลงสนามเป็นตัวจริงได้ มีทฤษฎีสมคบคิดเกิดขึ้นมากมายที่จะใช้เพื่ออธิบายสิ่งที่เป็นอยู่
อย่างเช่นตั้งแต่ช่วงป่วย มีประเด็นว่าโรนัลโด้เผชิญภาวะการเจ็บป่วยทางจิตใจและอารมณ์ หรือเชื่อมโยงว่าเจ้าตัวอาจเกิดภาวะกดดันเป็นตัวหลักของบราซิลก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศด้วยวัย 20 ต้น ๆ จนทำให้รู้สึกประหม่า
หรือแม้แต่การถูกเชื่อมโยงกับยาระงับอาการเจ็บปวดที่หัวเข่า เพราะโรนัลโด้เคยเจ็บที่หัวเข่ามาตั้งแต่เกมรอบแบ่งกลุ่มจึงมีความเป็นไปได้ว่าการใช้ยาระงับอาการปวดอาจส่งผลต่อร่างกาย ฯลฯ
มีทฤษฎีหนึ่งเกี่ยวข้องกับการลงเป็นตัวจริงทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้ามีอาการป่วย มีประเด็นว่าทางผลิตภัณฑ์กีฬา ไนกี้ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของโรนัลโด้และทีมชาติบราซิล กดดันสหพันธ์ฟุตบอลบราซิล หรือ CBF ว่าต้องส่งดาวยิงเบอร์ 9 ลงตัวจริงให้ได้ มิเช่นนั้นอาจมีผลกระทบต่อเรื่องการสนับสนุนด้วยเม็ดเงินมหาศาล เป็นต้น
ท่ามกลางประเด็นเชื่อมโยงต่าง ๆ นานา ในมุมของโรนัลโด้นั้น เจ้าตัวยอมรับว่ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเขาจริง แต่ด้วยใบรับรองจากแพทย์ที่แจ้งว่าไม่ได้เป็นอะไรหนัก ทำให้เขาพร้อมทำหน้าที่เพื่อทีมชาติ ดังบทสัมภาษณ์บางส่วนของเจ้าตัวกับ FourFourTwo ใน 22 ปีให้หลัง
"ผมตัดสินใจพักผ่อนหลังอาหารกลางวัน และสิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้คือเข้านอน จากนั้นผมก็มีอาการชัก ผมถูกห้อมล้อมไปด้วยเพื่อนนักเตะ และหมอ ลิดิโอ โทเลโด (แพทย์ประจำทีม) ผู้ล่วงลับก็อยู่ที่นั่นด้วย พวกเขาไม่อยากบอกผมว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นผมบอกทุกคนว่าช่วยออกไปคุยกันที่อื่นได้ไหม เพราะผมอยากนอนพัก"
"แต่การตรวจสุขภาพที่จำเป็นทั้งหมดไม่ได้แสดงถึงอาการผิดปกติ – มันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้นเราก็ไปที่สนามพร้อมกับข้อความจากซากัลโล่ (โค้ช) ที่บอกว่าผมจะไม่ได้ลงเล่น แต่ผมมีผลตรวจอยู่ในมือแล้ว – หมอโทเลโดก็อนุญาต ผมเลยเข้าไปหาซากัลโล่ในสนามแล้วพูดว่า: 'ผมสบายดี ผมไม่รู้สึกอะไรแล้ว นี่คือผลการตรวจ พวกเขาบอกว่าผมสบายดี ผมอยากลงเล่น'"
"ผมไม่ได้ให้ทางเลือกเขานะ เขาไม่มีทางเลือกและยอมรับการตัดสินใจของผม จากนั้นผมก็ลงไปเล่นและบางทีตัวผมอาจส่งผลกระทบต่อทั้งทีมด้วย เพราะอาการชักเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก มันไม่ใช่เรื่องที่คุณเห็นทุกวัน แต่ไม่ว่าในกรณีใดผมก็มีหน้าที่ต่อประเทศของผมและผมก็ไม่อยากพลาด ผมรู้สึกเป็นเกียรติและรู้สึกว่าผมสามารถลงเล่นได้ จริงอยู่ว่ามันไม่ใช่แมตช์ที่ดีที่สุดในอาชีพของผม แต่นั่นคือสิ่งที่ผมเป็น ผมไปอยู่ในจุดนั้นเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จ"
ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1998 โรนัลโด้เจอทั้งผลการแข่งขันที่น่าผิดหวัง และรับรู้ตัวเองดีว่าเขายังทำหน้าที่เพื่อทีมได้ไม่มากพอ
อย่างไรก็ตามใน 4 ปีให้หลังกับฟุตบอลโลก 2002 เขาเดินหน้าสานฝันของตัวเองและทีมชาติบราซิลจนเป็นผลสำเร็จ
เพราะในทัวร์นาเมนต์ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วม บราซิลผงาดเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 5 และกลายเป็นชาติที่คว้าแชมป์โลกได้มากที่สุดมาจนปัจจุบัน ส่วนผลงานส่วนตัวของสตาร์ที่มีอีกชื่อเรียกจากสื่อมวลชนว่า "โล้นทองคำ" ก็โดดเด่นสุด ๆ เพราะเขาเป็นดาวซัลโวของทัวร์นาเมนต์จากผลงาน 8 ประตู
แหล่งอ้างอิง
https://bleacherreport.com/articles/1887294-1998-world-cup-final-conspiracy-theories
https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/brazil-ronaldo-documentary-world-cup-28246444
https://www.fourfourtwo.com/features/what-really-happened-ronaldo-1998-world-cup-final-his-own-words
http://news.bbc.co.uk/sport3/worldcup2002/hi/history/newsid_1749000/1749324.stm https://youtu.be/PhC1JqGRx_w
https://www.theguardian.com/football/blog/2014/may/08/world-cup-stunning-moments-25-ronaldo-france
https://blog.cofact.org/think-piece-sep1/
https://edition.cnn.com/2020/07/12/football/ronaldo-brazil-world-cup-final-1998-cmd-spt-intl/index.html
https://en.wikipedia.org/wiki/Brazil_at_the_1998_FIFA_World_Cup