Feature

จุดเริ่มต้นที่บิดพลิ้ว: ว่าด้วยการขาดอัตลักษณ์ 'เชิงอุดมการณ์' ขับเคลื่อนทีมของสโมสรฟุตบอลไทย | Main Stand

มนต์ขลังของเกมฟุตบอลไม่ได้มีแค่เรื่องของการแข่งขันในสนาม แต่มันรวมไปถึงเรื่องราวของสโมสรที่ถูกสร้างขึ้นผ่านอัตลักษณ์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่รวมเข้าเป็นสโมสรฟุตบอลจนมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละทีม ซึ่งตัวตนเหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่ผูกมัดให้แฟนบอลแน่นแฟ้นกับสโมสร และไม่เคยคิดทอดทิ้งทีมแม้ผลงานไม่สู้ดี

 


ฟุตบอลลีกต่างประเทศ อุดมการณ์ (Ideology) เป็นมนต์ขลังอย่างหนึ่งในการสร้างสตอรี่ เป็นฐานขับเคลื่อนความขัดแย้งกันของแต่ละสโมสร และช่วยเพิ่มอรรถรสการปะทะประชันบนสนามแข่งขันได้อย่างดี
    
สโมสรที่เป็นคู่ขัดแย้งกันก็มักจะมีแรงขับเคลื่อนมาจากอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกันทั้งนั้น อาทิ โรม่า ปะทะ ลาซิโอ ในฟุตบอลอิตาลี ที่ในยุคแรกเริ่มของทั้งสองทีมเป็นการปะทะกันของ อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ กับ เผด็จการฟาสซิสม์, แอธเลติก บิลเบา ปะทะ เรอัล โซเซียดัด ในฟุตบอลสเปนที่เป็นตัวแทนของ ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ปะทะ ฝ่ายหัวก้าวหน้า ประจำแคว้นบาสก์ หรือ กลาสโกว์ เซลติก และ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ที่เป็นความขัดแย้งบนอุดมการณ์หลากหลายรูปแบบจากทั้งเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา และการเมือง 

แต่เมื่อมองย้อนกลับมาที่ฟุตบอลไทย เรากลับแทบไม่เห็นอัตลักษณ์ที่ชัดเจนของสโมสรฟุตบอล ตัวตนของทีมฟุตบอลไทยนั้นว่างเปล่า หรือพูดแบบตรงไปตรงมาคือถ้าไม่มีมีถ้วยแชมป์เป็นตัวดึงดูดเหล่าสโมสรฟุตบอลไทยหลายทีมก็ไร้แฟนสนับสนุน เพราะไม่มีอัตลักษณ์ตัวตนที่มาคอยยึดเหนี่ยวแฟนบอลเอาไว้ 

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ? ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับเรา

 

เชิดชูตัวบุคคลเหนือสิ่งอื่นใด

ประเทศไทยนั้นเต็มไปด้วยแนวคิดเรื่อง “การเชิดชูตัวบุคคล (Cult of personality)” เป็นสำคัญ ที่เห็นได้ชัดนั่นคือเรื่องการเมืองที่เวลาเกิดปัญหาในพื้นที่สิ่งที่นึกถึงเป็นอันดับแรกไม่ใช่พรรคการเมือง ไม่ใช่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือแม้แต่มองปัญหาเชิงโครงสร้าง แต่เป็นการหวังพึ่ง “ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่” ด้วยความคิดว่าคนเหล่านี้จะสามารถแก้ไขปัญหาได้โป๊ะเช๊ะ รวดเร็ว ดั่งใจปรารถนา 

ตามต่างจังหวัดมักจะปรากฏบรรดาเจ้าพ่อในการเมืองไทยทั้งหลายแหล่ อาทิ กำนันเป๊าะ - สมชาย คุณปลื้ม แห่งชลบุรี, บรรหาร ศิลปอาชา แห่งสุพรรณบุรี หรือสุเทพ เทือกสุบรรณ แห่งสุราษฏร์ธานี 

ไม่เว้นแม้แต่การเมืองระดับชาติที่เวลามีปัญหาทีไรก็มักจะเรียกร้อง “คนเก่ง” ไม่ก็ “คนดี” หรือทั้งสองอย่างให้เข้ามาแก้ไขแบบทันควัน ในสมัยก่อนอย่าง อานันท์ ปันยารชุน หรือในตอนนี้ก็อาจจะเป็น ทิม - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

ซึ่งสิ่งดังกล่าวส่งผลโดยตรงมายังสโมสรฟุตบอลในไทยด้วย เพราะส่วนมากผู้มีส่วนสำคัญในการก่อร่างสโมสรจะมาจาก “ประธานสโมสร” ด้วยกันทั้งนั้น หากพูดถึงสโมสรหน้าของประธานก็จะเด้งขึ้นมาในหัวอัตโนมัติ 

อาทิ เมื่อนึกถึง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็จะนึกถึง เนวิน ชิดชอบ นึกถึง ราชบุรี เอฟซี ก็นึกถึง เสี่ยฟลุ๊ค - ธนวัฒน์ นิติกาญจนา หรือนึกถึง การท่าเรือ ก็นึกถึง มาดามแป้ง - นวลพรรณ ล่ำซำ

ด้วยแนวความคิดนี้ทำให้วงการฟุตบอลไทยไม่ต่างจากการเมือง นั่นคือมีประธานสโมสรเป็นพ่อพระมาโปรด เป็นคนเก่ง คนดี ที่จะช่วยให้สโมสรเติบโต มีพัฒนาการ ต่อกรกับคู่แข่งได้สมน้ำสมเนื้อ และสร้างชื่อเสียงให้สโมสร หรือในรายทีมต่างจังหวัดก็จะทำให้จังหวัดของตนไม่อายใครหน้าไหนในประเทศไทย ทั้งยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวจนมีเม็ดเงินไหลเข้าสู่จังหวัดได้อีกทางหนึ่ง

ซึ่งมันก็ส่งผลให้แฟนบอลพร้อมใจกัน “เฮไหนเฮนั่น” ไปกับประธาน ไม่ว่าประธานจะทำอะไร มีไดเร็กชั่นอะไร แฟนบอลก็พร้อมจะปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไขเสมอ อะไรที่ว่าดีแฟนบอลก็ว่าดี อะไรที่ว่าไม่ดีแฟนบอลก็พร้อมท้าชนให้เลยทีเดียว

ฉะนั้นอุดมการณ์จึงไม่มีทางสำคัญไปกว่าการทำตาม “ผู้นำ” เป็นที่ตั้ง

 

ไม่มีอุดมการณ์ประจำทีมตน

ผลที่ตามมาจากการบูชาตัวบุคคลนั้นทำให้สโมสรฟุตบอลไทยไม่ได้มีการก่อรูปในด้านของ “ฐานคิด” ของแต่ละสโมสรที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

เป็นการก่อร่างสโมสรจาก "บนลงล่าง" แทนที่จะเป็น “ล่างขึ้นบน” แบบเดียวกับสโมสรฟุตบอลของชาติตะวันตก ทำให้การพัฒนาอุดมการณ์นั้นไม่ได้มีความสำคัญ หากแต่เป็นประธานสโมสรหรือในระดับผู้บริหารทีมต่างหากที่สำคัญ 

อาทิ หากประธานหรือผู้บริหารมีความขัดแย้งกับใคร แฟนบอลก็พร้อมที่จะตามไปเป็นกองหนุน เป็นอริ เป็นศัตรูโดยไม่มีเงื่อนไข

ผลที่ตามมาคือการปะทะกันของฟุตบอลไทยที่เดือดพล่านนั้นส่วนมากปมขัดแย้งก็มาจากคนระดับสูง ๆ อย่าง เมืองทอง ยูไนเต็ด ปะทะ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด หรือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ปะทะ เชียงราย ยูไนเต็ด

หรือไม่ก็เป็นเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุดมการณ์เพียงเล็กน้อยมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของอุดมการณ์เพียว ๆ 

อาทิ การให้น้ำหนักเรื่องการปลดปล่อยความรุนแรงในเกมระหว่าง เมืองทอง ยูไนเต็ด กับ การท่าเรือ ไม่ก็ความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ เหมือนกับอีกคู่ที่ขัดแย้งในฐานะคู่แข่งตั้งแต่สมัยไทยลีกตั้งไข่ อย่าง เมืองทอง ยูไนเต็ด ปะทะ ชลบุรี เอฟซี

แต่การที่จะบอกว่านี่เป็นทีมของพวกอนุรักษ์นิยม นั่นเป็นทีมของพวกหัวก้าวหน้า ฉันเป็นทีมตัวแทนของคอมมิวนิสต์ พวกนั้นเป็นพวกทีมเสรีนิยม กลับระบุไม่ได้เลย

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ในต่างประเทศฟุตบอลก็สามารถสร้างอุดมการณ์จากฐานแฟนบอลได้ เอฟซี ซังค์ เพาลี มีแฟนบอลเป็นลำดับต้น ๆ ของเยอรมันด้วยอัตลักษณ์อุดมการณ์ทางการเมืองและสังคมแบบฝ่ายซ้าย อูนิโอน เบอร์ลิน เป็นสโมสรอันดับสองของเบอร์ลินด้วยการสมาทานตัวเองเป็นสโมสรของชนชั้นแรงงานที่ชูประเด็นสังคมนิยม หรือ ไบตา เยรูซาเล็ม แห่งอิสราเอล ก็มีความเป็นอนุรักษ์นิยมและเกี่ยวข้องกับการเคร่งศาสนายิวอีกด้วย

แต่ความโงนเงนทางอุดมการณ์มาตั้งแต่ต้นของไทยทำให้ในหมู่แฟนบอลเองก็มีความแตกต่างกันไปในด้านอุดมการณ์ส่วนตัว อาทิ บางคนอาจจะมีวิธีคิดแบบเสรีนิยม คอมมิวนิสต์ หรือชาตินิยม ก่อนที่จะมาเลือกเชียร์ทีมฟุตบอลเดียวกันไปเสียอย่างนั้น

แต่ในข้อเสียนี้ก็มีข้อดีแฝงอยู่ เพราะด้วยการที่ไม่มีอุดมการณ์จากเบื้องล่างมาเกี่ยวข้องจึงทำให้ปมขัดแย้ง การปะทะ และความไม่ลงรอยระหว่างแฟนบอลสโมสรเดียวกันเองไม่มีตามไปด้วย นั่นจึงทำให้เกิด “ความเป็นเนื้อเดียวกัน” ที่มาจากเบื้องบน ไปอย่างหน้าตาเฉย

เว้นเสียแต่ว่ามีบางอย่างที่ทำให้เกิดเกิดความแตกแยกในเรื่องอุดมการณ์จริง ๆ ในไทย 

 

ขาดความเข้าใจและใช้แบบผิด ๆ

หลายครั้งที่ตัวบุคคลหรือกลุ่มบุคคลมักจะตีฆ้องร้องป่าวฉอด ๆ ว่า ตนเป็นคนมีอุดมการณ์แบบนั้นแบบนี้ ที่เห็นได้บ่อยก็คือการบอกว่าตนเป็นพวกที่มี อุดมการณ์ชาตินิยม (Nationalism) ที่รักชาติยิ่งกว่าสิ่งใด หรือบางครั้งก็บอกว่าตนนั้นเป็น หัวก้าวหน้า (Progressivism) หัวทันสมัยที่จะไม่มีใครมาครอบงำได้ง่าย ๆ 

ซึ่งการทำเช่นนี้ก็ได้ผลักไสให้คนที่เห็นต่างกลายไปเป็น “พวกชังชาติ (Anti-nationalism)” และ “พวกรักเจ้าสุดโต่ง (Ultra-royalism)” หรือ “พวกดักดานอยู่ในกะลา (Ultra-conservative)” ไปเสียหมด

ที่น่าคิดคือ พวกที่บอกเช่นนี้เข้าใจคำว่าอุดมการณ์อย่างถึงแก่นและใช้ได้อย่างที่ถูกที่ควรจริง ๆ หรือไม่ ? 

ตรงนี้ ไมเคิล ฟรีเดน (Michael Freeden) อดีตศาสตราภิชานแห่งวิทยาลัยมานสฟีลด์ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ได้กล่าวถึง “สัณฐานวิทยา (Morphology)” ของอุดมการณ์ เพื่อแก้ไขปัญหาความมั่วซั่วเรื่องความเข้าใจอุดมการณ์ให้ดียิ่งขึ้น

กล่าวโดยสรุปก็คือ ไม่ว่าตัวอุดมการณ์นั้นจะไปศัลยกรรมจากหมอที่ไหนมา หรือไปศัลยกรรมมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ก็ยังทราบได้ว่าอุดมการณ์นั้นยังคงเป็นอุดมการณ์นั้นอยู่วันยังค่ำ 

ซึ่งทำให้ตัวอุดมการณ์มี “แกน (Core)” บางอย่างที่ไม่ทำให้อุดมการณ์หนึ่ง ๆ เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น หรือเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

อาทิ เสรีนิยม ก็มี “เสรีภาพ (Freedom)” เป็นแกน มาร์กซิสต์ก็มี “ความขัดแย้งทางชนชั้น (Class Conflict)” เป็นแกน สังคมนิยม ก็มี “การรวมกลุ่มก้อน (Groups)” เป็นแกน หรือ เฟมินิสต์ ก็มี “บทบาทสตรี (Role of women)” เป็นแกน

กระนั้นก็ใช่ว่าทุกอุดมการณ์จะมีแกนเป็นของตัวเองไปทั้งหมด บางอุดมการณ์ก็มาจาก “ส่วนรอบ ๆ (Peripheral)” ที่จำเป็นต้องอาศัยแกนของอุดมการณ์อื่น ๆ เข้ามาอธิบายตัวเองเพื่อให้มีความหมายขึ้นมา

อาทิ ชาตินิยม ก็จำเป็นต้องมีเรื่องเสรีนิยม อนุรักษ์นิยม หรือฟาสซิสต์ เข้ามาเกี่ยวข้อง เห็นได้จากชาตินิยมในแต่ละประเทศหรือแต่ละภูมิภาคที่มีความแตกต่างกัน เช่น การแสดงออกว่าเป็นชาตินิยมในไทยไม่ได้หมายความว่าทั้งโลกจะแสดงออกต่อเรื่องชาตินิยมแบบที่ไทยกำลังทำ

ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดการผลักไสพวกรักเจ้าสุดโต่งหรือพวกดักดานอยู่ในกะลาออกไปด้วยเช่นกัน เพราะการจะไปบอกว่าคนนู้นคนนี้เป็นนู่นเป็นนี่โดยที่หลักของอุดมการณ์ที่ตนยึดถือของตนเองก็ยังไม่คงที่แบบนี้ ก็อาจเป็นปัญหาได้

แต่การที่ประเทศไทยประสบปัญหาเรื่องอุดมการณ์เช่นนี้อยู่ ศ.ดร. เกษียร เตชะพีระ กีรตยาจารย์แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เขียนวิเคราะห์ลงในบทความ การเมืองวัฒนธรรมว่าด้วยประชาธิปไตย: บทนำเปรียบเทียบเชิงทฤษฎี ไว้ 3 ข้อ ดังนี้ 

อย่างแรก เมื่อตัวอุดมการณ์ได้กระจายไปทั่วโลก ย่อมยากที่จะคงนิยามความหมายของตัวมันเองไว้ได้ ความหมายของอุดมการณ์นั้น ๆ จึงล่องลอยไม่มีแก่นสารไปเรื่อย ๆ และเมื่อรับเข้ามาในประเทศไทยก็ได้มีการให้ความหมายใหม่ที่ต่างจากของเดิมไปจนจำไม่ได้

อย่างที่สอง ด้วยการกระจายไปทั่วโลก อุดมการณ์เองก็ย่อมมีความหลากหลายในตัวเอง ต่างถิ่นก็ต่างนิยามกันไป ความหมายของอุดมการณ์หนึ่ง ๆ ในไทยก็ไม่มีทางเหมือนกับในที่อื่น ๆ 

และอย่างสุดท้าย เมื่ออุดมการณ์มีหลายความหมายย่อมเกิดการใช้แทนกันได้ บางทีก็เข้าใจปะปนกันระหว่างอุดมการณ์หนึ่งกับอีกอุดมการณ์หนึ่งไปหมดจนแทบจะแยกกันไม่ออกเลยทีเดียว

 เมื่อยังเกิดความสับสนในเรื่องอุดมการณ์ในระดับบุคคลเช่นนี้ นับประสาอะไรกับการสร้างอุดมการณ์ระดับสโมสรฟุตบอลที่ต้องอาศัยความเข้าใจร่วมกันระดับสเกลใหญ่เป็นหมู่คณะ

 

สโมสรร่วมบอนไซ

แต่ที่สำคัญที่สุดคือบรรดาผู้บริหารสโมสรได้ทำการ "บอนไซ" ไม่ให้เกิดการกำหนดและนิยามอัตลักษณ์เชิงอุดมการณ์ของสโมสรของตน

เพราะอย่าลืมว่าหากสโมสรปล่อยให้เกิดการนิยามอุดมการณ์ของตัวสโมสรเองก็เท่ากับว่าประธานและผู้บริหารสโมสรจะสูญเสียอำนาจในการกำกับควบคุมไดเร็กชั่นของสโมสรตามไปด้วย

หากจะเทียบให้เห็นชัดก็เหมือนเรื่องของอำนาจในการเมืองระดับชาติ เมื่อได้ครอบครองครั้งหนึ่งแล้ว อำนาจย่อมหอมหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าที่ยากที่จะแบ่งหรือกระจายไปให้แก่ผู้อื่นผู้ใด

อีกส่วนก็มีที่มาจากพัฒนาการของฟุตบอลไทยที่เริ่มต้นมาไม่ถึง 10 ปี ทำให้การกำหนดอุดมการณ์ยังไม่ทันเริ่มต้น และถึงจะมีการร่วมกันกำหนดก็อาจจะยังอยู่ในขั้นถกเถียงหรือยังไม่เข้าที่เข้าทางด้วยส่วนหนึ่ง 

อีกอย่างการเริ่มต้นนั้นก็เริ่มในยุคที่โลกเข้าสู่เศรษฐกิจแบบ “เสรีนิยมใหม่” ที่ความสำคัญของตลาดและการแข่งขันมาก่อนเรื่องอื่น ๆ ไปโดยปริยาย 

ไม่เหมือนกับในโลกตะวันตกที่กว่าแฟนบอลหรือสโมสรจะร่วมกันกำหนดอุดมการณ์ของตนได้ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวเห็นพัฒนาการของอุดมการณ์ต่าง ๆ ทั้งข้อดี ข้อเสีย เห็นความเหมาะสม ไม่เหมาะสม กันมามากมายหลายยุคหลายสมัย กว่าจะเลือกสรรมาประกอบสร้างเป็นส่วนหนึ่งของตนและสโมสรได้

ที่เห็นได้ชัดอย่าง สโมสรฟุตบอลในเกาะอังกฤษ ที่มีพัฒนาการด้านอุดมการณ์มายาวนาน คนที่ต้องการซื้อสโมสรก็ไม่ได้เลือกซื้อเพียงแค่ความดัง ความสำเร็จ หรือโอกาสในการทำกำไร แต่ยังเหมือนได้ซื้ออุดมการณ์ของสโมสรไปพร้อมกัน และโลกธุรกิจก็ดำเนินไปหากแต่ต้องไม่ขัดกับอุดมการณ์ของสโมสร ถ้าทำได้ตามนั้นแฟนบอลก็พร้อมจะสนับสนุนเจ้าของทีม

แต่ในโลกเสรีนิยมใหม่ที่สนใจแต่ตลาดและการแข่งขันทางธุรกิจนี้ การจะมามัวสนใจแต่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์และอุดมการณ์ในการก่อรูปก่อร่างสโมสร ก็จะทำให้ไม่ต้องทำอะไรกันเลย และบางครั้งยิ่งไม่พูดถึงได้ยิ่งดี เพราะความสำคัญแทบไม่มีให้เห็น

ทั้งแฟนบอลและประธานสโมสรไม่สามารถรอได้ ต่างฝ่ายต่างอยากพุ่งชนความสำเร็จแบบทันทีทันด่วน ยิ่งทำให้เกิดทางลัดสู่ความสำเร็จได้ก็จะยิ่งเป็นที่น่าพอใจ

เมื่อเป็นแบบนี้ก็ยิ่งเข้าทางบรรดาประธานสโมสรและทีมบริหาร หากจับพลัดจับผลูทำทีมประสบความสำเร็จขึ้นมา ขี้คร้านแฟนบอลจะสรรเสริญ ยกยอปอปั้น อวยกันระนาว จนเรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง

เพราะหากชักช้าแม้เพียงก้าวเดียวทีมคู่แข่งก็จะพากันแซงหน้าทิ้งทีมเราไว้ข้างหลัง ชนะเท่ากับเสมอตัว แต่หากแพ้ก็แทบจะไม่มีที่ยืน หรือเคราะห์ร้ายตกชั้นพวกเขาก็จะหายไปตามกาลเวลาโดยไม่มีใครหวนนึกถึง

ดังนั้นสิ่งนี้จึงเหมือนเป็นการ “ตัดตอน” ขั้นตอนของการสร้างอุดมการณ์ไปโดยปริยาย เพราะฟุตบอลไทยอาจไม่จำเป็นต้องมีมัน ขอแค่มีแชมป์มีถ้วยก็เพียงพอแล้ว

 

เอกสารอ้างอิง

หนังสือ Ideology: A Very Short Introduction
หนังสือ Liberalism: A Very Short Introduction
หนังสือ Ideologies and Political Theories: A Conceptual Approach 
บทความ Political Concepts and Ideological Morphology
บทความ Is Nationalism a Distinct Ideology? 
หนังสือ Commodifying Marxism: The Formation of Modern Thai Radical Culture, 1927-1958
บทความ การเมืองวัฒนธรรมว่าด้วยประชาธิปไตย: บทนำเปรียบเทียบเชิงทฤษฎี
รายงานวิจัย “การเมืองคนดี”: ความคิด ปฏิบัตการ และอัตลักษณ์ทางการเมืองของผู้สนับสนุน “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” 
https://waymagazine.org/thai_godfather/ 

Author

วิศรุต หล่าสกุล

หน้าตา 4KINGS ฟังเพลง 4EVE

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ