คนเราแข่งพายเรือกันได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนานั้นมันยากเกินที่จะอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์
นี่คือเรื่องราวของ 1 ในยอดนักเตะที่อับโชคที่สุดของวงการฟุตบอล ในวันที่พีกที่สุดเขาคือสมบัติล้ำค่าของทีมชาติเยอรมัน และเป็นตัวเลือกแรกเสมอ
อย่างไรก็ตามในวันที่เขาดีที่สุด ร่างกายของเขาก็ทรยศความฝันในนามทีมชาติของเขาแทบทุกครั้งไป … เช่นเดียวกับฟุตบอลโลก 2022 ที่ไร้ชื่อของเขากับทีมชาติเยอรมนี
ติดตามเรื่องราวความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าของ มาร์โก รอยส์ ได้ที่นี่กับ Main Stand
ชายผู้พยายามเอาชนะโชคชะตา
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า มาร์โก รอยส์ คือนักเตะคุณภาพตั้งแต่วันแรกที่เขาแจ้งเกิดจนถึงตอนนี้ เรื่องราวของรอยส์ไม่ต่างจากยอดนักเตะหลาย ๆ คนที่ค่อย ๆ ไต่เต้าจากความผิดหวังในวัยเด็กจนกลายเป็นนักเตะที่หลายคนให้การยอมรับในทุกวันนี้
รอยส์เล่นฟุตบอลมาตั้งแต่จำความได้ โดยมีสโมสรให้สังกัดตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เขาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องฟุตบอลตลอดเวลา โดยรอยส์เล่าให้ฟังว่าแต่เดิมพ่อแม่ของเขาก็ไม่ได้สนับสนุนเรื่องนี้มากนัก แต่พอเห็นถึงความคลั่งไคล้ของเขาแล้วทุกคนก็ยอมใจและมอบโอกาสส่งเขาเข้าเรียนในอคาเดมีของสโมสรโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
"ผมอยู่ที่บ้านและใช้ผลส้มกับแอปเปิลเป็นลูกฟุตบอล ผมไล่เตะมันทั้งวัน ซึ่งความซนนี้เองที่ทำให้พ่อแม่ของผมตัดสินใจส่งผมเข้าทีมดอร์ทมุนด์" รอยส์ กล่าว
อย่างไรก็ตามในระดับอคาเดมีของทีมระดับโลกนั้นแค่ความคลั่งไคล้ไม่เคยพอ รอยส์ถูกสโมสรคัดออกจากระบบเยาวชนในปี 1996 โดยให้เหตุผลว่าเขามีร่างกายที่บอบบางเกินไป และเรื่องนี้จะเป็นปัญหาสำหรับการเปลี่ยนระดับจากนักเตะเยาวชนสู่การเป็นนักเตะอาชีพจึงทำให้รอยส์ถูกยกเลิกสัญญา และนั่นคือบทเรียนความผิดหวังครั้งแรกในโลกของฟุตบอล
"ไม่มีอะไรจะเจ็บปวดเท่านี้อีกเเล้วในเวลานั้น คุณอยู่กับทีม ๆ หนึ่งมาแทบทั้งชีวิตโดยใช้เวลาตลอดช่วงที่คุณยังเป็นเด็กจนถึงวัยรุ่น ผมฝันถึงการเป็นผู้เล่นของดอร์ทมุนด์อยู่ทุกวัน และนี่คือความฝันของเด็กที่เกิดมาเป็นแฟนบอลของทีม ๆ นี้ตั้งแต่จำความได้" รอยส์ เล่าย้อน
รอยส์ย้ายไปอยู่กับทีมระดับนอกลีกที่ชื่อว่า รอต-ไวส์ อาเลน เพื่อหาโอกาสลงเล่นเป็นประจำ ก่อนที่นั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ให้เขาขยับขยายก้าวหน้าในอาชีพ เพราะรอยส์มีพัฒนาการอย่างมากในช่วงที่เล่นให้กับอาเลน และข่าวก็ดังจนทีมในระดับบุนเดสลีกาต้องส่งแมวมองมาดูเขาเล่นในเกมระดับนอกลีก
สุดท้าย โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ก็คว้าตัวเขาไปร่วมทัพด้วยราคา 1 ล้านยูโร และนั่นเป็นวินาทีแรกที่ มาร์โก รอยส์ ประกาศให้โลกรู้ว่าในตำแหน่งตัวรุกในบุนเดสลีกาเขาสามารถวัดได้ทุกคน และเริ่มมีคนจับตามองเขาถึงขั้นการก้าวขึ้นไปติดทีมชาติชุดใหญ่
แต่เดิมรอยส์ไม่เคยผ่านประสบการณ์ทีมชาติชุดเยาวชนเลยก่อนที่เขาจะอายุ 20 ปี การย้ายไปกลัดบัคทำให้เขาได้ติดทีมชาติชุดยู-21 และจากนั้นไม่นาน โยอาคิม เลิฟ กุนซือทีมชาติเยอรมันชุดใหญ่ก็ให้โอกาสเขามีส่วนร่วมกับทีมเป็นครั้งแรก
"ช่วงที่เล่นให้กลัดบัค รอยส์ไม่ได้มีตำแหน่งตายตัว เขาเล่นในเกมรุกหลังกองหน้าซ้ายหรือขวาก็ได้ อิสระของเขาถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะมันทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นหัวใจเกมรุกของกลัดบัค เขากลายเป็นคนที่ทำแอสซิสต์ได้ 9 ลูกในซีซั่น 2010-11 และสามารถโชว์ศักยภาพการยิงประตูได้ทุกรูปแบบทั้งการวอลเลย์ ยิงไกล หรือจบสกอร์ในกรอบเขตโทษเหมือนกับกองหน้าอาชีพ นอกจากนี้ยังมีเซนส์เรื่องการวิ่งยามไม่มีบอลและการจ่ายบอลด้วย" คลาร์ก วิทนีย์ นักข่าวของ Bleacher Report พูดถึงรอยส์เอาไว้ในปี 2012
รอยส์เอาชนะโชคชะตาที่เกือบผลักเขาออกจากฟุตบอลระดับสูงได้สำเร็จด้วยฝีเท้าที่ถูกยอมรับว่าเข้าขั้นนักเตะระดับโลกในช่วงเวลาที่เขาพีกที่สุด ... อย่างไรก็ตามความผิดหวังยังคงเดินหน้ามาเยี่ยมเยียนเขาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ผิดหวังครั้งเเล้วครั้งเล่า
รอยส์ติดทีมยอดเยี่ยมของบุนเดสลีกาในฤดูกาล 2011-12 ก่อนที่เขาจะถูกดอร์ทมุนด์ทีมเก่าดึงตัวกลับมาร่วมทีมอีกครั้งในปี 2012-13 ช่วงเวลานั้นถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้
ที่ดอร์ทมุนด์ตอนนั้นเขามีเพื่อนร่วมทีมที่แข็งแกร่ง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี และ มาริโอ เกิตเซ่ ร่วมเป็น 3 ประสานในแนวรุก ทีมชุดนั้นของดอร์ทมุนด์ถือเป็นทีมที่เล่นได้น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดทีมหนึ่งในยุโรปภายใต้การคุมทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ ฟอร์มของ 3 ตัวรุกที่กล่าวมาอยู่ในฟอร์มระดับโลกอย่างพร้อมเพรียง เรียกได้ว่าหากทีมชุดนี้จะทำให้ดอร์ทมุนด์คว้าเเชมป์ลีกและแชมป์ยุโรปก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝัน
อย่างไรก็ตามอย่างที่คุณรู้กัน ดอร์ทมุนด์ชุดนั้นมีทุกอย่างพร้อมที่จะเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จ ทว่า "ระดับของสโมสร" คือเรื่องที่ยากจะเข้าใจ ที่เยอรมัน บาเยิร์น มิวนิค คือทีมที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร นักเตะแทบทุกคนในลีกนี้ล้วนอยากจะมีโอกาสสักครั้งที่จะได้เป็นนักเตะของ บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งเรื่องนี้เองที่ทำให้ทีมดอร์ทมุนด์ชุดดังกล่าวทำได้แค่ "ใกล้เคียง" กับฝันที่พวกเขาวางไว้
ทีมไม่เคยได้เเชมป์ลีกเลยเพราะมี บาเยิร์น มิวนิค เหมาความยิ่งใหญ่แบบปีที่ต่อปี หนำซ้ำการเข้าชิงถ้วยยุโรปในปี 2012-13 ดอร์ทมุนด์ ก็ยังต้องแพ้ให้กับ บาเยิร์น มิวนิค อีก
เรื่องดังกล่าวทำให้นักเตะในทีมชุดนั้นของดอร์ทมุนด์เริ่มมองไปที่ความสำเร็จในอาชีพของพวกเขาเเล้ว มัตส์ ฮุมเมิลส์, เกิตเซ่ และ เลวานดอฟสกี ต่างก็สละความฝันที่เคยตั้งไว้ร่วมกับดอร์ทมุนด์ เปลี่ยนขั้วไปยังอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค แทน เหลือแต่ รอยส์ คนเดียวเท่านั้นที่อยู่กับทีมมาในทุก ๆ ช่วงของการผลัดใบ ทั้งในส่วนของนักเตะและผู้จัดการทีม
ไม่ว่าคุณจะมองว่าเขาเสียสละเพื่อทีมหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เป็นความจริงที่ผู้เล่นระดับโลกอย่างรอยส์คู่ควรกับความสำเร็จที่มากกว่านี้อย่างแน่นอน หลายคนอาจจะยกย่องในความรักที่เขามีต่อดอร์ทมุนด์ แต่ปีแล้วปีเล่ารอยส์ก็ยิ่งห่างไกลจากความสำเร็จในระดับสโมสรไปเรื่อย ๆ เพราะดอร์ทมุนด์นั้นเสียตัวหลักของทีมออกไปอยู่เป็นประจำ
และเมื่อหันไปมองกลุ่มนักเตะที่ย้ายออกไปอย่าง เกิตเซ่, เลวานดอฟสกี และ ฮุมเมิลส์ ที่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและไม่ต้องเสียดายกับเวลาที่ผ่านไปแต่ละปี และนักเตะดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างมากกับบาเยิร์น
ในความผิดหวัง รอยส์ได้แต่ยิ้มและยอมรับอย่างเต็มใจว่า อย่างน้อยที่สุดเขาก็ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองเลือก เขาฝันมาตลอดชีวิตว่าจะได้เล่นให้กับดอร์ทมุนด์ และตอนนี้เขาก็ได้ทำมันเเล้ว แม้จะไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างใครเขา แต่อย่างน้อย ๆ มันก็สร้างความภูมิใจให้กับตัวเขาเสมอ ส่วนความสำเร็จในอนาคตใช่ว่าเขาจะไม่มีสิทธิ์ได้แตะต้องมันเสียเมื่อไหร่ อย่างน้อย ๆ ถ้ากับดอร์ทมุนด์ทำไม่ได้ กับทีมชาติเยอรมันเขาก็ยังคงมีโอกาสไม่น้อย เพราะเขาถือเป็นหนึ่งในคนโปรดของเลิฟมาโดยตลอด
รอยส์ติดทีมชาติครั้งแรกในปี 2011 และเริ่มพีกขึ้นมาเรื่อย ๆ เมื่อบวกกับนักเตะคนอื่นในทีมชาติเยอรมันที่ถูกเรียกว่า "โกลเดน เจเนอเรชั่น" จะแชมป์ระดับยูโรหรือระดับฟุตบอลโลกก็ทำให้เขายังมีหวัง ... รอยส์คิดแบบนั้น แต่ความจริงคือโชคร้ายยังคงมาเยือนเขาไม่มีพัก โดยเฉพาะทุก ๆ ครั้งเมื่อทัวร์นาเมนต์ที่นักเตะฟุตบอลอาชีพทุกคนฝันถึงเวียนมาบรรจบ
ทำไมเป็นผมทุกที
ฟุตบอลโลก 2014 คือฟุตบอลโลกครั้งแรกที่รอยส์มีลุ้นอย่างเต็มตัว หลังได้เล่นเกมทีมชาติรายการใหญ่ครั้งแรกกับศึก ยูโร 2012 ณ เวลานั้น เขาอยู่ในช่วงเวลาที่ฟอร์มดีที่สุดในชีวิตและได้รับการชื่นชมจากเลิฟ พร้อมทั้งถูกวางให้เป็นตัวรุกตัวสำคัญมาโดยตลอด
เรียกได้ว่าเขามาพีกถูกช่วงก็คงไม่ผิดนัก นักเตะเยอรมันชุดนั้นเต็มไปด้วยคนหนุ่มฝีเท้าดีที่ขยับตัวเองขึ้นมาเป็นนักเตะแถวหน้าของโลกพร้อม ๆ กัน ตั้งแต่ผู้รักษาประตูไปจนถึงกองหน้า สามารถใช้คำว่า "แกร่งทั่วแผ่น" ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ตัวของรอยส์เองอยู่ในสภาพที่แบเบอร์พร้อมไปเล่นฟุตบอลโลกที่บราซิลแบบสุด ๆ ฤดูกาล 2013-14 เขายิงไป 16 ประตู กับ 14 แอสซิสต์ จาก 30 เกมในบุนเดสลีกา ทว่าก่อนทัวร์นาเม้นต์จะเริ่มไม่กี่วัน เลิฟส่งเขาลงเล่นในเกมอุ่นเครื่องกับ อาร์เมเนีย แม้ในเกมนั้น เยอรมัน จะชนะ 6-1 แต่ รอยส์ คือคนที่ดวงแตก
เขาได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าอย่างรุนแรงและต้องถอนตัวจากทีมชาติเยอรมันชุดที่ดีที่สุดในรอบหลายปี สำหรับฟุตบอลโลก 2014 ... และสุดท้าย เยอรมัน ก็คว้าเเชมป์โลกสมัยที่ 4 ได้จริง ๆ ในฟุตบอลโลกครั้งนั้น
แม้ในวันที่รับแชมป์หลังจากเอาชนะ อาร์เจนตินา 1-0 มาริโอ เกิตเซ่ ผู้ยิงประตูชัย จะนำเสื้อแข่งทีมชาติเยอรมันหมายเลข 21 ที่ปักชื่อ มาร์โก รอยส์ ลงไปรับถ้วยด้วย ทว่าสำหรับรอยส์นั้นมันยากที่จะรับมือ แม้แต่ช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในฐานะนักเตะทีมชาติเยอรมันเขาก็ไม่มีสิทธิ์ได้รู้สึกถึงช่วงเวลานั้น มันทำให้เขาเจ็บปวดไปพร้อม ๆ กับความยินดีที่ได้เห็นเยอรมันขึ้นชูถ้วยเเชมป์โลก
"สำหรับผมมันคือฝันที่สลาย มันเจ็บปวดมากและยิ่งเจ็บแปลบขึ้นมาเป็นสองเท่าเมื่อเห็นทีมคว้าแชมป์โดยที่ผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น" รอยส์ เล่าประสบการณ์
อาการบาดเจ็บก่อนฟุตบอลโลก 2014 ครั้งนั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นของอาการบาดเจ็บอีกมากมายหลายครั้งที่ตามมา รอยส์เล่าว่าเมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการทำใจและเดินหน้าต่อไปในเส้นทางแบบฉบับของเขา
"แน่นอนมันยากขึ้นในทุกๆ ครั้ง เราไม่ต้องไปพูดถึงมันเลย มันจะทำให้พัฒนาการของคุณต้องชะงักไปเสมอไม่ว่าคุณจะบาดเจ็บแบบไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามันเป็นอะไรที่เรื้อรัง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งคุณก็ต้องปรับความคิดของคุณและมองอะไรในแง่บวกบ้าง" รอยส์ เล่า
จากฟุตบอลโลก 2014 อีก 2 ปีต่อมาในยูโร 2016 รอยส์ก็ฉายหนังม้วนเดิมซํ้า ปีนั้นเขาเล่นได้อย่างสุดยอดมาก ๆ จากการยิงไป 20 ประตูในลีก ช่วยให้ทีมจบรองเเชมป์บุนเดสลีกา ทว่าหลังจากบอลลีกปิดฉากไม่กี่วันรอยส์ก็เจ็บที่ขาหนีบอย่างหนัก จนทำให้เขาพลาดการร่วมทีมชาติเยอรมันชุดยูโร 2016 อีกครั้ง
เป็นอีกครั้งที่รอยส์อกหัก และนั่นรวมไปถึงเลิฟด้วยที่ออกมาให้สัมภาษณ์แบบให้ความหวังรอยส์จนถึงนาทีสุดท้ายว่า "เราจะทำการรักษาและฟื้นฟูเขาให้ถึงที่สุดเพื่อลงเล่นในทัวร์นาเมนต์นี้ คุณไม่สามารถสงสัยในคุณภาพของเขาได้เลย เพราะวันที่เขาฟิตเต็มที่เขาคือสมบัติอันล้ำค่าของทีมชาติเยอรมัน"
จากนั้นอีก 2 ปีในฟุตบอลโลกปี 2018 รอยส์กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติเยอรมันในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ได้สำเร็จ น่าเสียดายที่ตอนนั้นตัวของเขาก็ไมได้อยู่ในช่วงพีกสุด ๆ เหมือน 2 ทัวร์นาเมนต์ที่ผ่านมา อีกทั้งขุมกำลังทีมชาติเยอรมันชุดนั้นก็เริ่มอ่อนแอลง และกลายเป็นว่าฟุตบอลโลกครั้งแรกของรอยส์จบลงด้วยการที่เยอรมันตกรอบแบ่งกลุ่มแบบหมดสภาพแชมป์เก่าอย่างน่าเหลือเชื่อ
น่าแปลกที่ความผิดหวังยังคงมาเยือนเขาเป็นประจำ ในฟุตบอลโลกยูโร 2020 รอยส์ก็ประกาศถอนตัวจากทีมชาติเยอรมัน อีกครั้ง เพราะตัวของเขายืนยันเองว่าสภาพร่างกายของเขาไม่เต็มร้อยหลังจากแบกเกมกับดอร์ทมุนด์ในช่วงคาบเกี่ยวกับการระบาดของ COVID-19 อย่างหนัก รอยส์ลงเล่นมากกว่า 50 เกมส์ และเขาเชื่อว่าต่อให้เขาได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดนั้นเขาก็ไม่น่าช่วยทีมได้มากนัก หากไปด้วยสภาพที่ไม่เต็ม 100 แบบนั้น
"การตัดสินใจครั้งนี้เป็นเรื่องยากมากสำหรับผม เพราะผมภูมิใจเสมอเมื่อได้เล่นให้กับประเทศของผม แต่หลังจากปีที่เข้มข้นมากและบรรลุเป้าหมายที่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ตั้งใจไว้ ผมจึงมีเหตุผลส่วนตัวในการตัดสินใจให้เวลาร่างกายได้พักฟื้นตัว"
"ผมจะใช้เวลาช่วงพักอย่างคุ้มค่าเพื่อให้สามารถเริ่มฤดูกาลใหม่ได้อย่างดีที่สุด ผมขอให้ โยกี้ (โยอาคิม เลิฟ) และทีมงานของเราประสบความสำเร็จในการแข่งขันชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป และในฐานะแฟนบอลผมจะขอเชียร์ทีมอย่างสุดใจ ขอแสดงความนับถือ มาร์โก" รอยส์ ในวัย 31 ปี กล่าว
และอย่างที่คุณรู้กัน ในฟุตบอลโลก 2022 ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ มาร์โก รอยส์ ต้องรับบทดาวพระศุกร์อีกครั้ง จังหวะและเวลาไม่เคยเป็นใจให้กับเขาเสียที ทั้ง ๆ ที่เขาทำผลงานกับสโมสรได้ดีมาก ๆ ในซีซั่น 2021-22 และควรต้องติดทีมชาติไปฟุตบอลโลกแล้ว ทว่าฟุตบอลโลกครั้งนี้กลับเป็นปรากฏการณ์พิเศษ เพราะการแข่งขันที่ประเทศกาตาร์ถูกย้ายเวลาการแข่งขันจากซัมเมอร์มาเป็นช่วงหน้าหนาว นั่นทำให้ช่วงที่รอยส์ฟิตเปรี๊ยะและไม่มีการบาดเจ็บรบกวน ฟุตบอลโลกก็กลับถูกเลื่อนไปอีก 6 เดือน ... ครั้นพยายามจะรักษาฟอร์มรักษาความฟิตเพื่อฟุตบอลโลกที่น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของเขา ก็มีคำถามกลับมาอีกครั้ง
หนนี้รอยส์กลับมาเจ็บที่ข้อเท้าอีกครั้งในเกมบุนเดสลีกาที่ ดอร์ทมุนด์ ชนะ ชาลเก้ 1-0 เมื่อวันเสาร์ที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา ก่อนโปรเเกรมอุ่นเครื่องครั้งสุดท้ายก่อนฟุตบอลโลก 2022 จะเริ่มขึ้นด้วยอาการเดียวกับสมัยฟุตบอลโลก 2014 เป๊ะ ๆ
หลายคนกังวลว่าอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าครั้งนี้อาจจะทำให้เขาต้องพักยาว และมีโอกาสที่เขาจะต้องทำใจยอมรับว่าจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในทีมชาติเยอรมันในฟุตบอลโลก 2022 ภายใต้การคุมทีมของ ฮันซี ฟลิค ที่ว่ากันว่าเป็นทีมชาติเยอรมันชุดที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ฟุตบอลโลกปี 2014
"สำหรับผมมันเหมือนฝันพังทลาย ในสองสามวันแรกมันแย่มาก โชคดีที่ผมมีครอบครัวและเพื่อน ๆ อยู่รอบข้าง" รอยส์ กล่าวถึงอาการบาดเจ็บของเขา และไม่มีการให้สัมภาษณ์ที่มากกว่านี้
ในวัย 33 ปี รอยส์คว้าเเชมป์ระดับเมเจอร์ได้เพียงแค่ 2 หนเท่านั้นคือรายการ เดเอฟเบ โพคาล ในฤดูกาล 2016-17 และ 2020-21 ... หากเทียบกับฝีเท้าของเขาที่แสดงออกมาตลอดในช่วงเวลาที่ดีที่สุด คงต้องยอมรับแต่โดยดีว่าเขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่อับโชคที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้
แม้ เซบาสเตียน เคห์ล ผู้อำนวยการกีฬาของทีมเสือเหลืองจะออกมาบอกข่าวดีว่าอาการบาดเจ็บครั้งนี้ของเขาไม่ร้ายแรงนัก แค่ 3-4 สัปดาห์ก็พร้อมกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง แต่ท้ายที่สุด มาร์โก รอยส์ ในวัย 33 ปี ก็ไม่มีชื่อไปเล่นฟุตบอลโลกอีกครั้ง
แม้โอกาสที่จะลุ้นฟุตบอลโลกอีกสักครั้งในปี 2026 ดูยากเหลือเกิน เพราะเมื่อนับถึงตอนนั้น เจ้าตัวจะมีอายุ 37 ปี แต่เชื่อว่าแฟนบอลทุกคน ล้วนส่งกำลังใจให้เขา อย่างน้อย ๆ ก็ขอให้เขาได้กลับมาเล่นฟุตบอลในระดับสูงต่อไป
เพราะแฟน ๆ ของดอร์ทมุนด์ รวมถึงแฟนบอลของทีมอื่น ๆ ก็ยังอยากเห็นความยอดเยี่ยมและความอัจฉริยะของ มาร์โก รอยส์ จนกว่าเขาจะประกาศแขวนสตั๊ดอย่างแน่นอน
แหล่งอ้างอิง
https://www.bundesliga.com/en/news/Bundesliga/marco-reus-borussia-dortmund-star-ten-things-you-might-not-know-446535.jsp
https://en.wikipedia.org/wiki/Marco_Reus
https://www.bundesliga.com/en/news/Bundesliga/the-story-of-marco-reus-borussia-dortmund-comeback-kid-445692.jsp
https://bleacherreport.com/articles/1630991-the-evolution-of-marco-reus-from-dortmund-outcast-to-bvb-h
https://www.thesun.co.uk/sport/football/19838119/marco-reus-germany-world-cup-dortmund-injury-schalke/
https://theathletic.com/3604100/2022/09/18/marco-reus-injury-germany/
https://www.goal.com/th/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%81-%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%AA---%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%87-bvb-%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%A5-%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%84/58d77cfgsna1sipg10tff504
https://www.goal.com/th/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87-%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%A3-2020-%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99/1inmy341tjga212dmurbjp5qla