ชื่อของ ราฟาเอล เลเอา กลายเป็นชื่อที่ดังพรวดพราดภายในเวลาสั้น ๆ ไม่กี่ปี
นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่ถูกยกย่องให้เป็น “ผลผลิตที่ดีที่สุดของ สปอร์ติง ลิสบอน” เหนือกว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ หลุยส์ นานี่
ทว่าพรสวรรค์มักมาพร้อมกับปัญหา และเลเอาก็ประสบกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง จนกระทั่งวันหนึ่งการเปลี่ยนแปลงก็มาถึง เพราะมีคนปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์
ติดตามเรื่องราวของจอมขี้เกียจที่กลายเป็น MVP ของ เซเรีย อา ได้ที่ Main Stand
ครอบครัวผู้อพยพ
ราฟาเอล เลเอา มีต้นตระกูลมาจากชาวแอฟริกัน พ่อของเขาเป็นผู้อพยพมาจากประเทศแองโกลา ส่วนแม่ของเขาเป็นชาวกินี ทั้งคู่มาพบกันที่ประเทศโปรตุเกสและตัดสินใจสร้างครอบครัวร่วมกันที่เมืองอัลมาดา พวกเขามีลูกด้วยกัน 4 คน แต่คนที่ไม่เหมือนใครและแตกต่างที่สุดคือลูกชายคนโตของพวกเขา "ราฟาเอล เลเอา"
แม้ครอบครัวเขาจะเริ่มต้นชีวิตในโปรตุเกสแบบครอบครัวผู้อพยพ แต่พ่อและแม่ของเขาก็ทำงานหนักเพื่อดูแลลูก ๆ เป็นอย่างดี ครอบครัวราฟาเอลไม่ได้ยากจนแต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยนัก พวกเขาอยู่ในแฟลตสวัสดิการของรัฐ พ่อของเขาเป็นข้าราชการ ขณะที่แม่ของเขาเปิดร้านทำผมเป็นของตัวเอง
ทั้งสองรู้ดีถึงการเอาตัวรอดในฐานะผู้อพยพเป็นอย่างดี อาชีพที่ดีมาพร้อมกับงานและการเงินที่มั่นคง เขาอยากให้ราฟาเอลตั้งใจเรียนหนังสือเพื่อได้เข้าไปทำงานในระบบราชการ ทว่าราฟาเอลไม่ต้องการแบบนั้น เขาฝืนคำสั่งพ่อและแม่และเลือกที่จะเอาเวลาไปเตะฟุตบอลมากกว่าที่จะตั้งใจเรียนหนังสือ และนั่นทำให้ครอบครัวของเขาต้องปวดหัวกับลูกคนนี้ยิ่งกว่าใคร
ราฟาเอลคิดไปไกลยิ่งกว่านั้น ขณะที่พ่อและแม่ของเขาคิดว่าสิ่งที่เป็นอยู่คือเซฟโซน แต่ราฟาเอลกลับคิดว่าแฟลตสวัสดิการของรัฐไม่ใช่ที่ที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัว และเชื่อว่าเขายังไปได้ไกลกว่านี้ เขาเชื่อมั่นว่าฟุตบอลจะพาเขาไปยังจุดที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของทั้งครอบครัวของเขา
"ผมเติบโตมาที่แฟลตนี้ มันอาจจะเป็นแฟลตที่ขนาดเล็กเท่ารูหนู แต่หนูอย่างผมนี่แหละที่จะกลายเป็นสิงโต" ราฟาเอล เลเอา เล่าย้อนความ
"ตอนเด็ก ๆ ผมเล่นฟุตบอลทุกวันแบบไม่มีพัก ผมไม่สนด้วยว่าจะโดนทำโทษด้วยการไม่ได้กินข้าวกลางวันหรือของว่าง ผมออกจากบ้านแต่เช้าและกลับมาถึงบ้านตอนเย็นพร้อมกับกางเกงขาสั้นที่เปรอะไปด้วยคราบสกปรก รองเท้าผ้าใบที่พ่อซื้อให้ใหม่ก็กลายเป็นรองเท้าที่ขะมุกขะมอมไปโดยปริยาย"
"ผมไม่สามารถจดจ่อกับการเรียนได้เพราะผมมีความฝันที่ชัดเจน ผมอยากออกไปฝึกซ้อมฟุตบอลมากกว่า ผมจึงบอกได้เลยว่าผมมีช่วงวัยเรียนที่แตกต่างกับคนส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก"
การไม่สนใจเรียนอาจจะเป็นเรื่องแย่ แต่มันก็เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต ตอนที่ราฟาเอลอายุได้สัก 7-8 ขวบ เขาและเพื่อน ๆ มักจะมาเตะบอลใต้แฟลตอยู่เป็นประจำ และบังเอิญว่าในแฟลตนั้นดันเป็นที่พักของประธานสโมสรท้องถิ่นที่ชื่อว่า Amora FC. ลีลาของราฟาเอลในวันนั้นโดนใจเขาอย่างแรง
"ตอน 7-8 ขวบ ผมเลี้ยงบอลหลบเพื่อน ๆ หลายคนได้ และมีชายคนหนึ่งมองเห็นสิ่งที่ผมทำผ่านหน้าต่าง เขาคือเจ้าของทีม Amora เขาเดินมาหาผมหลังจากนั้นและถามว่าผมอยากจะเข้ามาเป็นสมาชิกของทีมไหม ? ... ผมไปที่นั่นด้วยความยินดี ตามคำเชิญของเขา และที่ Amora มันเปิดโลกใหม่ให้ผมเป็นอย่างมากเลยทีเดียว" เลเอา กล่าว
เลเอาพบว่าฟุตบอลที่ต้องเล่นกันเป็นระบบนั้นแตกต่างจากสตรีทฟุตบอลที่เขาเล่นมาตลอดมาก อย่างไรก็ตามถ้าหนูตัวนี้อยากจะเป็นราชสีห์ เขาต้องปรับตัวให้ไว เลเอามาซ้อมกับทีมทุกวันไม่เคยขาด และหลังจากที่อยู่กับทีมได้แค่ 3 สัปดาห์ Amora ก็เริ่มเดินสายแข่งไปทั่วประเทศ เขาได้เจอทีมเด็กของสโมสรดัง ๆ ในโปรตุเกสมากมาย ซึ่งลีลาของเลเอาก็เกิดประทับใจแมวมองของ เบนฟิกา และ สปอร์ติง ลิสบอน ที่อยากจะได้เขาไปเข้าร่วมทีมอคาเดมี
ทว่าปัญหาคือการเข้าไปสู่อคาเดมีของเบนฟิกานั้น เลเอาจะต้องออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด ซึ่งพ่อและแม่ของเขาไมได้มีเงินถุงเงินถังมากพอที่จะทำอย่างนั้น ตัวของเลเอาก็เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาทำใจปฏิเสธข้อเสนอจากเบนฟิกา และจากนั้นไม่นานนักทองแท้อย่างเขาก็เปล่งประกาย สโมสร สปอร์ติง ลิสบอน เห็นแววของเขา และไม่ต้องการพลาดเหมือนที่เบนฟิกาทำ ที่ สปอร์ติงเลเอาได้สิทธิ์เรียนฟรีและเข้าสู่ศูนย์ฝึกแบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลยแม้แต่ยูโรเดียว
เรื่องดังกล่าวถูกเปิดเผยโดย ติอาโก เฟอร์นันเดส โค้ชระดับเยาวชนของทีม ที่หลังจากได้ทดสอบฝีเท้าของเลเอาแล้ว เขาก็มั่นใจเป็นอย่างมากว่าเด็กคนนี้มีศักยภาพที่จะไปได้ไกล เฟอร์นันเดสจึงพยายามโน้มน้าวให้สโมสรมอบสิทธิพิเศษให้กับเลเอา ซึ่งที่สุดเเล้วเลเอาก็ตกลงเข้าสู่ 1 ในอคาเดมีฟุตบอลที่ดีที่สุดในประเทศโปรตุเกส
เวลาผ่านไปอึดใจเดียว เลเอาไม่ได้ทำให้ติอาโกที่หนุนหลังเขาเต็มกำลังผิดหวัง เลเอากลายเป็นเด็กนรกที่แบกอายุเล่นตั้งแต่ 10 ขวบจนถึง 14 ปี ติอาโกได้พูดถึงเลเอาผ่านการให้สัมภาษณ์กับ ฟรองซ์ฟุตบอล ว่า "ผมไม่เคยเห็นเด็กอายุเท่าเลเอาทำอะไรกับลูกฟุตบอลได้มากมายขนาดนี้ นี่คือเรื่องจริง อคาเดมีของเราสร้างยอดนักเตะมาหลายคนทั้ง หลุยส์ ฟิโก้, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ หลุยส์ นานี่ แต่ เลเอา มีศักยภาพยิ่งกว่านั้น ผมกล้าพูดเลยว่าเขาจะเป็นผลผลิตที่ดีที่สุดเท่าที่อคาเดมีของสปอร์ติงเคยมีมา"
เด็กระเบิดแห่งลิสบอน
หลุยส์ มาร์ตินส์ คืออีกคนที่เห็นดีเห็นงามกับติอาโกมาโดยตลอดเรื่องของเลเอา โดยมาร์ตินส์นั้นเป็นหัวหน้าทีมอคาเดมีของ สปอร์ติง และมามั่นใจเอาสุด ๆ ก็ตอนที่เลเอาก้าวขึ้นมาเล่นในรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ซี่งช่วงอายุขนาดนี้เป็นช่วงเวลาที่คุณเริ่มจะมองออกว่าเด็กคนไหนมีศักยภาพที่จะไปต่อได้
"ราฟาเอล เลเอา เก่งขึ้นแทบทุกวัน ในช่วงแรก ๆ ที่เขาก้าวขึ้นมาอยู่ในทีมชุดยู-17 เขาอาจจะแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่พอเขาเริ่มปรับสไตล์ให้เหมาะกับการเล่นกับนักเตะที่อายุเยอะกว่าได้ พวกเราก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคือคนที่พิเศษ" มาร์ตินส์ กล่าว
"ที่สถาบันแห่งนี้เราได้สร้างนักเตะอย่าง โรนัลโด้ หรือ ฟิโก้ ขึ้นมา ดังนั้นการได้มองเห็น ราฟาเอล เลเอา ทำให้เรามั่นใจได้ว่าเด็กคนนี้จะไปไกลแน่นอน ผมพูดแบบไม่อวยกันนะ ราฟาเอล เลเอา เก่งกว่าโรนัลโด้ตอนอายุเท่ากันเสียอีก"
"ตัวของผมทำงานกับทั้ง เลเอา และ โรนัลโด้ มาทั้งคู่ ดังนั้นสิ่งที่ผมพอจะบอกได้คือทั้งคู่เป็นนักเตะที่แตกต่างกัน ถ้าจะให้เปรียบก็คือ คริสเตียโน่นั้นมีความอุตสาหะเป็นที่ 1 เขามาฝึกก่อนใครและเลิกเป็นคนสุดท้ายเป็นประจำ แต่เลเอาจะแตกต่างออกไป ... เลเอาเป็นคนที่ไม่ได้มีความสมบูรณ์แบบเรื่องความเป็นมืออาชีพเท่าคริสเตียโน่ แต่เขาก็มีวิธีในแบบของเขา เขาไม่ใช่คนขยัน แต่เขาก็สามารถหาทางทำให้สำเร็จได้เหมือนกัน"
เลเอาเติบโตขึ้นในฐานะดาวรุ่งที่หลายคนจับตามอง ไม่ว่าจะในช่วงอายุรุ่นยู-17 หรือยู-19 เขาก็ยังแสดงออกถึงความแตกต่างกับเด็ก ๆ รุ่นเดียวกันได้เสมอ สปอร์ติงมีความตั้งใจจะโปรโมตเขาขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เต็มตัวตั้งแต่ตอนที่เขาอายุ 18 ปีด้วยซ้ำ
ทว่าสถานการณ์ของทีมในเวลานั้นเป็นไปอย่างย่ำแย่ เจ้าของทีมมีปัญหากับแฟนบอลอย่างรุนแรง และเรื่องลุกลามมายังนักเตะภายในทีม จนกระทั่งมีแฟนบอลเข้ามาทำร้ายนักเตะในแคมป์ฝึกซ้อม เรื่องดังกล่าวทำให้นักเตะในทีมหลายคนใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายยกเลิกสัญญากับทีม โดยมีนักเตะดังที่ออกไปจากทีมชุดนั้นอย่าง เกลสัน มาร์ตินส์, วิลเลียม คาร์วัลโญ่, รุย ปาตริซิโอ และ ดาเนียล โปเดนซ์ ซึ่งทั้งหมดมีดีกรีเป็นนักเตะทีมชาติโปรตุเกสทั้งสิ้น
สิ่งที่ข่าวไม่ได้เสนอในตอนนั้นคือ ราฟาเอล เลเอา ก็เป็นอีกคนที่ใช้สิทธิ์ประกาศยกเลิกสัญญากับสโมสรด้วย ... แต่ด้วยความที่เขายังเด็กมากและไม่ได้ดังในวงกว้าง เรื่องราวของเขาจึงไม่ได้ใหญ่โตเท่ากับผู้เล่นเบอร์ใหญ่คนอื่น ๆ มากนัก
การย้ายทีมของเลเอาครั้งนี้ส่งผลต่อสปอร์ติงเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาตั้งใจจะปั้นเลเอาให้ขึ้นสู่ชุดใหญ่และเป็นกำลังหลักของทีมในอนาคต ทว่าตัวนักเตะและเอเยนต์ได้เลือกไปเซ็นสัญญากับ ลีลล์ ทีมจากฝรั่งเศสด้วยสัญญา 5 ปี เรื่องนี้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษบนชั้นศาลเพื่อให้ลีลล์ต้องจ่ายค่าฉีกสัญญานักเตะที่ราคา 45 ล้านยูโร
การต่อสู้บนชั้นศาลจบลงด้วยการที่ฝั่งลีลล์จะต้องจ่ายค่าตัวเลเอาเป็นราคา 16.5 ล้านยูโรให้กับสปอร์ติง ซึ่งเรื่องดังกล่าวได้รับการผลักดันโดย ฮอร์เก้ เมนเดส ซูเปอร์เอเยนต์ชาวโปรตุกีส ที่ไกล่เกลี่ยเรื่องนี้และหาทางออกให้กับทั้งสองฝ่ายในท้ายที่สุด
เลเอามาเล่นให้ลีลล์ได้แค่ฤดูกาลเดียวก็ไปโดนตาโดนใจทีมแมวมองของ เอซี มิลาน สโมสรดังจากอิตาลี ที่ ณ ตอนนั้นมี เปาโล มัลดินี่ เป็นผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร เนื่องจากมิลานไม่ได้มีงบประมาณที่มากมายนักในเวลานั้น ทำให้พวกเขาต้องเล็งไปที่ดาวรุ่งที่มีศักยภาพ และท้ายที่สุดสายตาอันเฉียบเเหลมของมัลดินี่ก็กล่อมสโมสรให้ยอมจ่าย 35 ล้านยูโรเพื่อเอาตัวเลเอามาร่วมทีมได้สำเร็จ ในฤดูกาล 2019-20
ไปอยู่ที่ไหนมา ?
สเตฟาโน่ ปิโอลี่ กุนซือของมิลาน คือคนที่ทำงานกับ มัลดินี่ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดีลของเลเอา ตัวของปิโอลี่เชื่อมั่นในศักยภาพของดาวรุ่งชาวโปรตุกีสรายนี้เป็นอย่างมาก เพราะเลเอาเป็นนักเตะที่ตรงตามตำราเกมรุกยุคใหม่ทุกข้อ นั่นคือคือสูงใหญ่ ร่างกายแข็งแรงไม่เคยมีประวัติการบาดเจ็บที่น่ากังวล มีความคล่องตัวและทักษะสูง ซึ่งตัวของปิโอลี่ก็สรุปความถึงเลเอาง่าย ๆ ว่า "เขาทำให้ผมนึกถึง เธียร์รี่ อองรี เป็นอย่างมาก"
เลเอาเองก็ไม่ได้มีช่วงเวลาที่ง่ายนักในช่วงออกสตาร์ท เพราะการมาของเขาทำให้ทีมต้องเลือกขาย แพทริก ครูโตเน่ กองหน้าเด็กปั้นสโมสรที่เป็นขวัญใจของแฟนบอลให้กับ วูล์ฟสแฮมป์ตัน ขณะที่ปิโอลี่ที่เข้ามารับงานในช่วงเดือนตุลาคมก็โดนแฟนบอลโจมตีจากผลงานที่ย่ำแย่ จนถึงขั้นมีแฮชแท็ก #Pioliout ในทวิตเตอร์อยู่หลายเดือน
ปิโอลี พยายามปั้น เลเอา ให้ได้ลงสนามมากขึ้น แต่ตัวของนักเตะก็ยังไม่ได้แสดงศักยภาพที่ดีเท่ากับตอนที่พวกเขาเคยเห็น แฟนบอลของมิลานเริ่มบ่นกัน รวมถึงมัลดินี่ที่เป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ เพราะการซื้อนักเตะอายุ 19 ปีด้วยราคา 35 ล้านยูโร แต่เมื่อเล่นจริงกลับยิงได้แค่ 6 ประตูจาก 33 เกมคือผลงานที่น่าผิดหวัง
เขาจบฤดูกาลแรก (2019-20) แบบไม่ค่อยดีนัก เช่นเดียวกับฤดูกาล 2020-21 ที่แม้ทีมจะทำผลงานได้ดีขึ้นบ้าง แต่ตัวของเลเอาก็ยิงได้แค่ 7 ลูกจากทุกรายการ
"เลเอาต้องพัฒนาอีกมากเลยสำหรับบทบาทกองหน้า เขามีทักษะในการโหม่งบอลไม่ค่อยดีนัก รวมถึงการหันหลังเล่นก็ด้วย เวลาเขาถูกคู่แข่งประกบติดความเร็วของเขาจะมีปัญหาทันที เขาต้องแก้มันให้ได้ และผมเชื่อว่าเขาต้องทำได้แน่" หลุยส์ มาร์ตินส์ ให้สัมภาษณ์ถึงอดีตนักเตะของเขาที่โดนมองในแง่ลบในช่วง 2-3 ปีก่อน
สิ่งที่มาร์ตินส์สรุปค่อนข้างตรงกับความจริง และหลังจากนั้นก็เป็นโอกาสดีที่เลเอาจะได้เจอกับนักเตะที่โหม่งเก่งและใช้วิธีหันหลังเล่นได้ดีที่สุดคนหนึ่งในโลกฟุตบอล เขาคือ "ซลาตัน อิบราฮิโมวิช" ที่ย้ายกลับมาเล่นให้กับมิลานในช่วงครึ่งหลังของซีซั่น 2020-21
ซลาตันมีความโดดเด่นในแง่ความเป็นผู้นำ เขารวมทีมมิลานให้เป็นหนึ่งได้ โดยเฉพาะในส่วนของเลเอาที่เป็นนักเตะสายขี้เกียจและไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก เลเอาเล่าว่าหลังจากซลาตันเข้ามาเขาก็สนิทสนมกับซลาตันมากกว่าใคร และยกให้ซลาตันเป็นพี่ใหญ่ของเขา
บางครั้งคนเราก็เลือกจะฟังในสิ่งที่อยากฟัง ... น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้มีแต่คนขอร้องให้เลเอาเลิกขี้เกียจและมุ่งมั่นกว่าเดิมเพื่อตัวของเขาเองและเขาก็ไม่สนใจ แต่เมื่อคนที่ให้คำเตือนในประโยคเดียวกันนั้นเป็น ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เลเอาก็เชื่อฟังและยอมปรับตัวตาม ซึ่งนั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นของ "เลเอา ร่างทอง" เลยก็ว่าได้
"ตั้งแต่ซลาตันมาถึง เขาก็เข้ามาคุยกับผมก่อนเลย เขามาแนะนำและสอนให้ผมปรับปรุงตัวในหลาย ๆ เรื่องทั้งในและนอกสนาม เขาเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม และผมต้องการเรียนรู้จากเขาให้ได้มากที่สุด" เลเอา ตาเป็นประกายเมื่อได้ใช้ห้องแต่งตัวร่วมกับ 1 ในกองหน้าที่ดีที่สุดในโลก
แค่คิดที่จะเริ่มก็ไม่มีคำว่าสายเกินไป ซลาตันคือคนที่มีส่วนสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงตัวเองของเลเอาเป็นอย่างมาก ตัวของ ซลาตันพยายามถ่ายทอดประสบการณ์และสิ่งที่เขาเจอในโลกฟุตบอลจนเขาอายุ 40 ปีให้กับเลเอา เลเอาเหมือนกับเด็กน้อยตาใสที่ได้ฟังเรื่องเล่าจากคุณปู่ มันเป็นนิทานสอนใจ ซลาตันยกเอาเรื่องราวของนักเตะพรสวรรค์สูงแต่กลับไม่ประสบความสำเร็จในโลกฟุตบอลเนื่องจากเหตุผลด้านทัศนคติมายกตัวอย่าง
ยิ่งอยู่ด้วยกันมากเท่าไหร่ เลเอาก็เข้าใจว่าแท้จริงแล้วคำชื่นชมในอดีตไม่ได้มีค่ามากไปกว่าการพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเป็นคนที่ดีกว่า
"เลโอเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้วหลังจากซัมเมอร์นี้เป็นต้นไป พวกคุณจะได้เห็นเอง เขารู้แล้วว่าเขาต้องทำอะไรบ้างหลังจากนี้ ... ผมและปิโอลี่มั่นใจแบบนั้น" ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กล่าว
เรื่องราวมันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ หลังซัมเมอร์ปี 2021 จบลงเข้าสู่ฤดูกาล 2021-22 ราฟาเอล เลเอา ก็กลายเป็นคนละคน จากคนที่ไม่มีเพื่อนฝูงในทีมก็เปิดใจและรับฟังคำติเตียนจากผู้คนรอบข้าง จากคนที่ไม่เคยจริงจังตอนซ้อมก็กลายเป็นคนที่ทำงานหนักมากขึ้นเพื่อตัวของเขาเอง
"ผมได้รับรู้ความจริงบางอย่าง พระเจ้ามอบพรสวรรค์ให้ผมแบบที่ไม่มีใครมีได้เเล้ว แต่ผมต้องเพิ่มบางอย่างเข้าไปด้วย ซึ่งตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันคือการเสียสละตัวเองให้พร้อมที่จะทำงานหนักแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ผมจะแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าผมมีความสามารถและพร้อมจะฝึกฝนให้ดีกว่าที่เคยเป็น ตอนนี้ผมไม่ได้เล่นฟุตบอลคนเดียวอีกต่อไปแล้ว และผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นที่ เอซี มิลาน นี่แหละ" เลเอา กล่าว
เเค่คิดจะเปลี่ยน หลายสิ่งก็กลับตาลปัตร เลเอาทุ่มเทในสนามซ้อมและเข้าโรงยิมมากขึ้นจนทำให้เขากลายเป็น เลเอา ร่างทอง จนได้ "แข็งแกร่ง รวดเร็ว และเฉลียวฉลาด" นี่คือสิ่งที่เขาฝากผลงานไว้ให้ทุกคนได้เห็นในซีซั่น 2021-22 ที่ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "นี่มัน เธียร์รี่ อองรี ชัด ๆ"
คนที่ยืนยันคำนั้นคือ นิโคล่า อโมรูโซ่ และ อเลสซิโอ ทัคคินาร์ดี้ อดีตนักเตะของยูเวนตุส ที่เคยร่วมงานกับอองรีสมัยเล่นในเซเรีย อา โดยทั้งคู่นั้นเป็นกูรูฟุตบอลของช่องโทรทัศน์ และเมื่อพวกเขาได้เห็นวิธีการเล่นของเลเอาที่เปลี่ยนไป นอกจากร่างกายจะแข็งแรงขึ้นแล้ว จังหวะชี้เป็นชี้ตายก็ดีขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ
"อองรีตอนอายุน้อย ๆ ก็คือเลเอาในตอนนี้เลย ... ทั้งสองคนมีลักษณะเหมือนกันเป๊ะ พวกเขาเป็นนักเตะที่มีความเร็วระดับดวลตัวต่อตัวและกลายเป็นฝันร้ายของกองหลัง .... เอาล่ะ ผมเปรียบเทียบแบบนี้มันเสี่ยงต่อการทัวร์ลงมาก ๆ เลยนะ แต่ผมไม่รู้จะอธิบายแบบไหนให้เห็นภาพได้ดีกว่านี้อีกเเล้ว ... เลเอาและอองรีเหมือนกัน ผมขอยืนยันคำเดิมแบบนี้ก็แล้วกัน" ทัคคินาร์ดี้ กล่าวกับตุตโต้สปอร์ต
หลังจากซัมเมอร์แห่งการค้นพบความหมายของชีวิตนักฟุตบอลอาชีพ เลเอาก็กลายเป็นคนละคนอย่างแท้จริง เขาก้าวขึ้นมาเป็นกองหน้ากึ่งปีกที่อันตรายที่สุดในเซเรีย อา นอกจากจะลุยเดี่ยวได้แล้ว ทัศนคติในการเล่นเป็นทีมก็ดีขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบุกแบบตีคู่ร่วมกับ เตโอ เอร์นันเดซ แบ็กซ้ายของทีม ยิ่งเป็นการเล่นที่เพลินตาจนได้รับคำชมจากทุกสารทิศ
ไม่ใช่แค่ความสวยงามเท่าน้ั้น ประสิทธิภาพยังเป็นสิ่งที่เลเอาพัฒนาขึ้นด้วย ในฤดูกาล 2021-22 เขายิงไป 14 ประตู ซึ่งเป็นครั้งแรกในอาชีพที่เขายิงประตูได้ถึงเลข 2 หลัก นอกจากนี้เขายังทำไปอีก 8 แอสซิสต์ และยังเป็นนักเตะที่เลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งได้มากที่สุดในเซเรีย อา อีกด้วย และแน่นอนที่สุดผลงานที่ยอดเยี่ยมย่อมการันตีด้วยถ้วยรางวัล เอซี มิลาน ในยุคที่รวมทีมเป็น 1 เดียวที่ทุกคนมีทัศนคติตรงกันก็หักปากกาเซียนด้วยการคว้าเเชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา ครั้งแรกในรอบ 10 ปีได้สำเร็จ
ตอนนี้เลเอาพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นตัวรุกที่อันตรายที่สุดในเซเรีย อา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ราคาค่างวดของเขาในตอนนี้ว่ากันว่าอาจจะเเพงระยับถึงระดับ 150 ล้านยูโรด้วยซ้ำ สถานการณ์ของเขาเปลี่ยนไปอย่างมากภายในช่วงเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมา หากถามว่าอะไรคือต้นเหตุที่ทำให้เกิดการพัฒนาแบบก้าวกระโดดครั้งนี้ คำตอบไม่ใช่แค่ ซลาตัน หรือ ปิโอลี่ ที่คอยพร่ำสอนคนจนปากเปียกปากเเฉะ แต่มันคือการรับรู้ของเขาเองว่าตัวของเขานั้นมีศักยภาพซ่อนอยู่มากขนาดไหน...
ปิโอลี่ปิดท้ายถึงเลเอาที่เปลี่ยนจากลูกชังสู่ขวัญใจของแฟนบอลมิลาน ณ เวลานี้ว่า "ผมคิดว่าเขานี่แหละคือส่วนสำคัญของเรื่องทั้งหมด เขาโชคดีที่หาตัวเองเจอและโน้มน้าวให้ตัวเองเปลี่ยนทัศนคติได้ เขาพยายามมากขึ้นและทะเยอทะยานมากยิ่งขึ้น ... ผมมั่นใจว่าตอนนี้เขารับรู้ได้ด้วยสัญชาติญาณแล้วว่า การที่จะก้าวไปถึงจุดที่สูงสุดของโลกใบนี้แค่พรสวรรค์ไม่มีทางพอ เขาต้องทำงานหนักอย่างรากเลือดทั้งในแง่ความสำเร็จส่วนตัว รวมถึงการทำงานร่วมกับผู้อื่น"
ตอนนี้เส้นทางของ ราฟาเอล เลเอา มีแต่เดินไปข้างหน้าเท่านั้น นับวันเขายิ่งอันตรายมากขึ้น เช่นเดียวกับชื่อเสียงที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว … เขากำลังเดินทางไปสู่ก้าวต่อไป ก้าวที่เขาต้องรับมือกับชื่อเสียงเงินทองหลังจากนี้ ซึ่งนี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญไม่แพ้ช่วงเวลาไหน
แต่เชื่อเถอะว่าคนที่เคยพลาดมาแล้วนั้นได้เปรียบกว่า เลเอาเคยได้รับบทเรียนจากความหยิ่งทะนงและความขี้เกียจมาแล้ว … อย่างน้อยที่สุดตอนนี้เขาก็ได้เห็นค่าของความพยายามอย่างชัดเจน มันทำให้เขารู้ว่าความพยายามนี่แหละที่จะส่งเขาขึ้นสูงไปสู่ระดับต่อ ๆ ไป จนถึงเบอร์ 1 ของโลกแบบที่เขาคาดหวังไว้มาตลอดชีวิต
แหล่งอ้างอิง
https://firsttimefinish.co.uk/2021/03/12/rafael-leao-sporting-lisbon-milan-inside-story
https://lifebogger.com/rafael-leao-childhood-biography-story-facts/
https://www.espn.com/soccer/english-premier-league/story/4738539/rafael-leao-the-king-of-milan-vinicius-all-class-var-spoils-premier-league-weekend-review
https://sempremilan.com/rise-rafael-leao-choppy-waters-henry-comparisons
https://www.90min.com/th/posts/6423766-ac-milan-confirm-signing-of-rafael-leao-from-lille-on-five-year-deal
https://sempremilan.com/abola-leao-19m-sporting-milan-renewal
https://www.goal.com/en/news/rafael-leao-new-henry-ibrahimovic-little-brother-shining/blte66fa6811776f2ba
https://onefootball.com/en/news/cm-pioli-holds-one-to-one-meeting-with-leao-over-his-future-role-27652198