"จวง เจ๋อตง ไม่ได้เป็นแค่นักปิงปองที่เก่งมากเท่านั้น แต่ยังเป็นทูตที่ดีอีกด้วย" เหมา เจ๋อตุง อดีตประธานาธิบดีจีน กล่าว
แม้ว่า สหรัฐอเมริกา และ จีน จะเป็นไม้เบื่อไม้เบากันมาตลอด ทว่าในปี 2022 ความสัมพันธ์ของพวกเขาถือว่าย่ำแย่สุดขีด หลังนักการเมืองสหรัฐฯ พาเหรดกันไปเยือนไต้หวัน ที่แดนมังกรมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา
อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติอยู่ในระดับวิกฤต เพราะย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีก่อน ในยุคสงครามเย็น พวกเขาก็ขัดแย้งกันในระดับที่ต่างฝ่ายต่างมองว่าฝั่งตรงข้ามเป็นศัตรู
ทว่าในช่วงเวลานั้นกลับมีกีฬาหนึ่งที่ช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้กลับคืนมา นั่นคือ ปิงปอง หรือ เทเบิลเทนนิส เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น ติดตามไปพร้อมกับ Main Stand
ศัตรูต่างอุดมการณ์
สงครามโลกครั้งที่ 2 อาจจะเป็นจุดสิ้นสุดของการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นของ "สงครามเย็น" ระหว่างสองชาติที่ร่วมกันปราบนาซีเยอรมนีอย่าง สหรัฐอเมริกา กับ สหภาพโซเวียต ซึ่งขัดแย้งกันในเชิงอุดมการณ์
มันทำให้โลกถูกแบ่งออกเป็นสองค่าย นั่นคือฝั่งเสรีประชาธิปไตย ที่มีสหรัฐฯ เป็นหัวหอก และ คอมมิวนิสต์ นำโดยสหภาพโซเวียต และต่างฝ่ายต่างฟาดฟันกันผ่านสงครามตัวแทนในแบบที่ไม่มีใครยอมใคร
สำหรับจีน หลังพรรคคอมมิวนิสต์เอาชนะพรรคชาตินิยมของ เจียงไคเช็ก จนต้องหนีไปที่เกาะไต้หวันในปี 1949 พวกเขาก็เลือกที่จะอยู่ตรงข้ามกับสหรัฐฯ เนื่องจากพญาอินทรีให้การสนับสนุนไต้หวัน แถมยังรับรองว่าเป็นรัฐบาลอย่างเป็นทางการของจีน
จากนั้นทั้งสองชาติก็กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมาและปะทะกันอยู่เนือง ๆ ทั้งผ่านสงครามตัวแทน เช่น สงครามเกาหลี ในปี 1950 และสงครามจีน-ไต้หวัน ในปี 1958 หรือนโยบายกีดกันทางการค้า จนทำให้ทั้งคู่ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน
นอกจากนี้พวกเขายังปลูกฝังให้เกลียดชังกัน รวมถึงมองว่าเป็นภัยคุกคามผ่านโฆษณาชวนเชื่อ โดยเฉพาะจีนที่นอกจะห้ามชาวอเมริกันเข้าประเทศแล้ว ตามตึกรามบ้านช่องของพวกเขายังเต็มไปด้วยข้อความต่อต้านสหรัฐฯ อย่าง "หยุดพวกแยงกี้กดขี่ และสุนัขรับใช้ของพวกมัน" หรือ "หยุดจักรวรรดินิยมอเมริกัน"
อย่างไรก็ดี มันกลับเปลี่ยนไปเพราะปิงปอง
ขึ้นรถศัตรู
ในช่วงทศวรรษที่ 1970s ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังไม่ดีขึ้น นักกีฬาเทเบิลเทนนิสของพวกเขาก็มีเหตุต้องโคจรมาพบกันในศึกเทเบิลเทนนิสชิงแชมป์โลกครั้งที่ 31 ในปี 1971 ที่เมืองนาโกยา ประเทศญี่ปุ่น
รายการดังกล่าว สหรัฐฯ เข้ามาในฐานะทีมรับเชิญ ส่วน จีน พวกเขาเป็นทีมเต็งอยู่แล้ว แต่ต้องหายหน้าไปจากการแข่งขันนับตั้งแต่เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมในปี 1966 ที่รัฐบาลปักกิ่งสั่งแบนการออกไปเล่นในต่างประเทศ เนื่องจากกลัวว่าจะโดนปลูกฝังแนวคิดแบบทุนนิยม
มันดูเหมือนจะเป็นทัวร์นาเมนต์ธรรมดา ทว่าวันหนึ่งในขณะการซ้อม เกลน โคแวน เด็กหนุ่มวัย 19 ปีของสหรัฐฯ ดันฟิตจัด ซ้อมแข่งกับ เหลียง เก๋อหลิง ของทีมชาติจีนจนลืมดูเวลา และทำให้เขาต้องพลาดรถบัสกลับโรงแรมของทีม
เขาไม่รู้จะทำอย่างไรจึงตัดสินใจกระโดดขึ้นรถบัสของทีมชาติจีน และทันทีที่เขาก้าวขาขึ้นไปทั้งคันก็พากันนิ่งเงียบ จากรูปลักษณ์ที่แปลกตา ทั้งความสูงโปร่งและผมยาวสลวยของโคแวน
นอกจากนี้ แม้ว่าทีมชาติจีนจะได้รับอนุญาตให้ออกมาแข่งในต่างประเทศหรือซ้อมกับชาติอื่นได้ แต่พวกเขาต่างถูกห้ามพูดหรือทักทายกับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวอเมริกัน ศัตรูเบอร์หนึ่งของพวกเขา
อย่างไรก็ดี ทั้งที่มีกฎแบบนั้น แต่ จวง เจ๋อตง แชมป์โลก 3 สมัยของจีน กลับเข้าไปทักทายเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนฮิปปี้ อย่างเป็นมิตร เขาเริ่มด้วยการจับมือ ก่อนจะพูดคุยกันผ่านล่าม ทำลายบรรยากาศอันตึงเครียดลงในเวลาไม่กี่นาที
"ช่วงเวลาบนรถบัสมันประมาณ 15 นาที และผมก็ลังเลอยู่ 10 นาที ผมโตขึ้นมากับคำขวัญว่า 'หยุดพวกจักรวรรดิอเมริกัน'" จวง เจ๋อตง ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อปี 2002
"ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม การต่อสู้ทางชนชั้นก็แน่นแฟ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ผมจึงถามตัวเองว่า 'มันโอเคมั้ยที่จะทำอะไรกับศัตรูหมายเลข 1'"
นอกจากนั้นจวงยังเอาผ้าไหมลายเทือกเขาหวงซานให้โคแวนแล้วบอกว่าเป็นของขวัญ ส่วนโคแวนแม้ว่าเขาอยากจะให้ของขวัญคืน แต่เมื่อควานหาในกระเป๋ากลับเจอแค่หวี จึงขอติดเอาไว้ก่อน
"ผมไม่อยากเอาหวีให้คุณ ผมหวังว่าผมจะหาอะไรสักอย่างให้คุณแต่มันไม่มี" โคแวนบอกกับจวง
และเมื่อทั้งสองคนลงจากรถก็ถูกถ่ายภาพร่วมกัน ก่อนที่หลังจากวันนั้นโคแวนจะเอาของขวัญมาให้จวง โดยเป็นเสื้อยืดที่มีสัญลักษณ์ของสันติภาพและข้อความที่เป็นชื่อเพลงของ เดอะ บีเทิลส์ ชื่อเพลง "Let it be" จนกลายเป็นข่าวพาดหัวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์
และเหตุการณ์นั้นยังเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติ
การทูตด้วยปิงปอง
"แม้ว่ารัฐบาลอเมริกันจะไม่เป็นมิตรกับจีน แต่ชาวอเมริกันเป็นเพื่อนกับคนจีน ผมให้สิ่งนั้นในฐานะเครื่องหมายของมิตรภาพของชาวจีนที่มีต่อคนอเมริกัน" จวง กล่าวกับ Reuters
อย่างไรก็ดีของขวัญจากจวงไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่โคแวนได้รับ เมื่อไม่กี่วันหลังจากนั้นเขาต้องช็อกกว่าเดิม หลัง เหมา เจ๋อตุง ประธานาธิบดีจีนในตอนนั้น ส่งเทียบเชิญให้ทีมเทเบิลเทนนิสของสหรัฐฯ ไปเที่ยวที่จีน โดยจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
ตอนแรกเหล่าผู้เล่นก็รู้สึกอึ้งและไม่รู้ว่าพวกเขาควรไปหรือเปล่า และที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาจะปลอดภัยหรือไม่กับการไปเหยียบดินแดนที่ไม่เคยมีชาวอเมริกันคนไหนได้ไปเยือนมาหลายสิบปี แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง
"ฉันอยากจะไปจริง ๆ" โจดี โบเชนสกี หรือชื่อเดิม โจดี ฮอร์ฟรอสต์ สมาชิกอายุน้อยที่สุดในทีมชุดนั้นกล่าวกับ Washington Post
"ฉันรู้ว่ามันเป็นดีลที่ใหญ่มาก ฉันรู้ว่าจีนเป็นประเทศที่โดดเดี่ยวมาก ฉันรู้ว่าพวกเขาอยู่ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ ฉันรู้ว่ามันมีคำถามว่าพวกเราจะปลอดภัยหรือเปล่า"
"ฉันรู้สึกว่า 'แน่นอน พวกเราต้องปลอดภัย' เราได้รับคำเชิญจากทีมจีนและรัฐบาลของพวกเขา พวกเขาคงไม่เชิญเราไปเพื่อปฏิบัติไม่ดีต่อเราหรอก"
10 เมษายน 1971 โจดีและสมาชิกของทีมเทเบิลเทนนิสสหรัฐฯ ทั้งสิ้น 15 คนรวมถึง เกลนน์ โคแวน ได้เป็นชาวอเมริกันกลุ่มแรกที่ได้เดินทางเข้าประเทศจีนนับตั้งแต่เปลี่ยนการปกครองมาเป็นคอมมิวนิสต์ โดยเริ่มจากการนั่งเครื่องบินมาที่เกาะฮ่องกง ต่อด้วยรถไฟ แล้วข้ามสะพานไป
"นั่นเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่สำหรับฉันจริง ๆ กับการเดินข้ามสะพาน" ฮอร์ฟรอสต์ ที่ตอนนั้นอายุเพียง 15 ปีกล่าวกับ NPR
"มีเพลงบรรเลงคลอไปด้วย และมันก็เร้าใจมาก ๆ มันเหมือนกับอยู่ในภาพยนตร์เลย มันน่าทึ่งมาก"
คณะผู้แทนได้รับการต้อนรับจากเจ้าภาพเป็นอย่างดี ทั้งพาไปเลี้ยงอาหารดินเนอร์หรู ไปจนถึงการพาไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังทั้งในปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ รวมถึงพาไปเยือนกำแพงเมืองจีน สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่พวกเขาภาคภูมิใจ
"จีนมีภาพและกลิ่นที่ต่างออกไป" ฮอร์ฟรอสต์ กล่าวกับ Washington Post
"ผู้ชายและผู้หญิงต่างสวมชุดที่คนอเมริกันเรียกว่าชุดเหมา กางเกงและเสื้อนอกโป่ง ๆ และล้วนเป็นสีเทาหม่นหรือน้ำตาลหม่น ในสายตาของพวกเราดูเหมือนว่าพวกเขาแต่งตัวเหมือนกัน"
อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่ได้แค่ไปเที่ยวเท่านั้น
มิตรภาพมาก่อน การแข่งขันมาทีหลัง
นอกจากได้ทัวร์ในจีนแล้ว เหล่าคณะผู้แทนยังมีโอกาสได้แข่งเทเบิลเทนนิสกระชับมิตรกับทีมชาติจีน และสามารถเอาชนะไปได้อย่างไม่ยากเย็น ในแบบที่นักเทเบิลเทนนิสสหรัฐฯ บอกว่าพวกเขา "ได้รับอนุญาตให้ชนะ" ต่อหน้าผู้ชมมากถึง 18,000 คน
"ฉันเล่นไปทั้งหมดสี่เกม และชนะไป 3 คน คุณสามารถใส่คำว่า 'ชนะ' ในอัญประกาศได้" ฮอร์ฟรอสต์ ย้อนความหลังกับ Washington Post
เพราะในตอนนั้นทีมชาติสหรัฐอเมริการั้งอยู่ในอันดับ 25 ของโลก ขณะที่จีนคือระดับท็อปของโลกเทเบิลเทนนิส มันจึงเป็นการแข่งขันที่เน้นกระชับความสัมพันธ์ เหมือนที่นักเทเบิลเทนนิสชาวจีนออกมายอมรับว่ามันคือการแข่งขันที่ "มิตรภาพมาก่อน การแข่งขันมาทีหลัง"
"ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้ไปที่นั่นเพื่อเล่นเท่านั้น" เจิ้ง หมินจี้ คู่แข่งของทีมชาติสหรัฐฯ ในวันนั้นกล่าวกับ New York Times
"แต่มันสำคัญกว่านั้น เพื่อให้ได้สิ่งที่ไม่สามารถทำได้ผ่านช่องทางการทูตแบบปกติ"
ก่อนที่การเดินทางของพวกเขาจะปิดท้ายด้วยการพบกับ โจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีของจีน ที่หอประชุมแห่งชาติกรุงปักกิ่ง ในวันที่ 14 เมษายน 1971 พร้อมกับบอกว่านี่คือ "บทใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างชาวอเมริกันและชาวจีน"
และดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น เมื่อหลังจากคณะผู้แทนกลับจากจีน ในปีต่อมา ริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ก็ไปเยือนจีนบ้าง และทำให้เขากลายเป็นผู้นำอเมริกาคนแรกในประวัติศาสตร์หลังสงครามโลกที่ไปเหยียบแดนมังกร
ในช่วงที่นิกสันเรียกว่า "สัปดาห์แห่งการเปลี่ยนแปลง" เขาได้พบกับ โจว และ เหมา พร้อมทั้งได้พูดคุยเรื่องการปรับความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติมาอยู่ในระดับปกติภายใต้แถลงการณ์เซี่ยงไฮ้ และนำไปสู่การได้เข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ รวมถึงคณะมนตรีความมั่นคงของจีนในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ในปีเดียวกันนิกสันยังเชิญนักกีฬาเทเบิลเทนนิสของจีนไปเยือนทำเนียบขาว โดยมีจวงเป็นหัวหน้าคณะผู้แทน รวมถึงได้ลงแข่งกระชับมิตรกับทีมของมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์
"ผู้นำจีนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้ผมระลึกว่าการแลกเปลี่ยนของทีมปิงปองได้ก่อให้เกิดความก้าวหน้าในความสัมพันธ์ของเรา" นิกสัน กล่าวในวันต้อนรับนักเทเบิลเทนนิสจากจีน
จนกระทั่งในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 สหรัฐฯ และจีนก็ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าไปสนับสนุนจีนของอเมริกา จนทำให้เศรษฐกิจแดนมังกรเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
อย่างไรก็ดีทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญจริงหรือ ?
ไม่ใช่แต่ก็ไม่เชิง
แม้ว่าเหตุการณ์ระหว่าง จวง และ โคแวน จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับจีนในช่วงสงครามเย็นดีขึ้นจริง แต่จากหลักฐานหลายอย่างทำให้เห็นว่ามันถูกเตรียมการไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว
เพราะอันที่จริงก่อนปี 1971 ทั้ง เหมา และ นิกสัน กำลังหาวิธีที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติอยู่แล้ว ฝั่งนิกสันพยายามที่จะใช้ความสำเร็จในการต่างประเทศมาหันเหความสนใจจากความล้มเหลวในสงครามเวียดนาม ก่อนที่เขาจะลงเลือกตั้งอีกครั้งในปี 1972
ขณะที่เหมาก็กำลังมองหาลู่ทางที่จะพาจีนกลับไปสู่เวทีระดับนานาชาติ บวกกับจากความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียต ที่กำลังย่ำแย่ และเกิดการปะทะจนนองเลือดหลายครั้งบริเวณชายแดน ทำให้เขามองว่าการกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ อาจจะทำให้เพื่อนบ้านเกรงใจ
ทั้งนี้มีรายงานว่า สหรัฐฯ และ จีน ได้จัดตั้งช่องทางลับเพื่อสื่อสารกันมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้น โดย โรเบิร์ต ดัลเลค ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Nixon and Kissinger - Partners in Power ที่บอกว่านิกสันมีแผนจะไปเยือนปักกิ่งมาตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 1971 อ้างรายงานจากสถานทูตโรมาเนีย
ยิ่งไปกว่านั้นก่อนศึกเทเบิลเทนนิสชิงแชมป์โลก 1971 จะเริ่มขึ้น เหมายังได้ปรึกษากับ รอย อีแวนส์ ประธานสหพันธ์เทเบิลเทนนิสโลก ว่าจีนควรทำอย่างไรจึงจะมีพื้นที่ในวงการเทเบิลเทนนิสโลก ซึ่งอีแวนส์ได้แนะนำให้เชิญนักเทเบิลเทนนิสระดับโลกมาที่จีน
แต่สิ่งที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาคือคำสัมภาษณ์ของโคแวนหลังเหตุการณ์บนรถบัส ที่ยอมรับว่าตัวเขาเองก็อยากไปเที่ยวจีนสักครั้ง
"ผมอยากจะไปดูประเทศที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย จีน ประเทศอะไรก็ได้ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน" โคแวน ตอบนักข่าว ก่อนจะถูกถามต่อว่าอยากไปจีนมั้ย
"ครับ แน่นอนครับ"
นอกจากนี้ตัวนิกสันเองก็ยังเคยกล่าวว่าพอรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ซึ่งเขาเองก็รู้สึกดีใจแต่ก็ยืนยันว่าไม่คาดคิดว่ามันจะมาในรูปแบบของปิงปอง
"พวกเขาได้บอกใบ้มาบ้างแล้วผ่านสถานทูตหลายแห่ง เรารออยู่หลายเดือนกว่าที่มันจะผ่อนคลาย" นิกสัน กล่าว อ้างอิงจากบันทึกของทำเนียบขาว
แต่ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมการไว้ก่อนหรือเป็นความบังเอิญ ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ "วิน-วิน" ทั้งสองฝ่าย เหมือนที่ แจ็ค โฮเวิร์ด กัปตันทีมของสหรัฐฯ ในตอนนั้นกล่าวเอาไว้ในตอนที่กลับไปเยือนจีนอีกครั้งใน 35 ปีต่อมา
"เราไม่เคยเข้าใจว่ามันสำคัญอย่างไร แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันช่วยปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาจริง ๆ " โฮเวิร์ด กล่าวกับ NPR เมื่อปี 2006
"นั่นคือสิ่งสำคัญและยั่งยืน ผมมีความสุขมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น"
มิตรภาพที่จางหาย
หลังเหตุการณ์ "การทูตปิงปอง" โคแวนได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และเรียบจบออกมาเป็นครูระดับชั้นประถม ก่อนจะได้รับการวินิจฉัยว่ามีปัญหาทางจิต และเสียชีวิตไปด้วยวัยเพียง 52 ในปี 2004
ส่วน จวง แม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะเป็นที่ชื่นชมของ เจียง ชิง ภรรยาของเหมา แต่หลังการล่มสลายของแก๊งสี่คนในปี 1976 ก็ทำให้เขาถูกจับขังคุก หลังถูกส่งไปเป็นโค้ชที่เมืองชานซี ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
เขาได้รับอนุญาตให้กลับมาปักกิ่งอีกครั้งในปี 1985 และเลี้ยงชีพด้วยอาชีพโค้ชเทเบิลเทนนิส ก่อนเสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อปี 2013 ด้วยวัย 72 ปี
แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง และครั้งนี้มันเต็มไปด้วยความตึงเครียด โดยเฉพาะหลัง แนนซี เพโลซี ประธานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ไปเยือนไต้หวัน และทำให้เกิดแรงกระเพื่อมไปทั่วทั้งภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งตรงข้ามจากที่ จวง เจ๋อตง และ เกลน โคแวน ตั้งใจเอาไว้ และคงจะเป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นการทูตด้วยปิงปองเหมือนเมื่อ 50 ปีก่อน ไม่ว่าจะกับกีฬาอะไรก็ตาม
แหล่งอ้างอิง
https://www.washingtonpost.com/history/2021/04/10/ping-pong-diplomacy-50-years-ago/
https://www.insidethegames.biz/articles/1119807/ping-pong-diplomacy-1971-nixon-mao-china
https://www.history.com/news/ping-pong-diplomacy
https://www.npr.org/2021/04/10/985803697/50-years-later-the-legacy-of-u-s-china-pingpong-diplomacy-faces-challenges
https://www.historytoday.com/miscellanies/myths-and-realities-ping-pong-diplomacy
https://www.si.com/more-sports/2008/06/11/opening-volley0616