การย้ายจาก ลิเวอร์พูล ไปยัง เชลซี ในปี 2011 คือหนึ่งในดีลที่ทำให้ เดอะ ค็อป เจ็บจี๊ดมากที่สุด และหลายคนยังคงไม่ให้อภัย เฟร์นานโด ตอร์เรส จนกระทั่งทุกวันนี้
แต่หากมองย้อนกลับไปให้ลึกในรายละเอียด 4 ปีที่ ลิเวอร์พูล ของ ตอร์เรส คือช่วงเวลาที่เขาสร้างความบันเทิงได้มากที่สุดในชีวิตค้าแข้ง ด้วยวิธีการทำประตูแบบ "จี้ กระชาก และ ยิง" ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เขาทำได้
นี่คือเรื่องราวของนักเตะสเปนที่ทำให้พี่น้องชาวสเกาเซอร์เริ่มหัดพูดสแปนิช และเป็นการเจอกันในจังหวะที่ใช่กับช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด
จาก แอตเลติโก มาดริด ที่เคยปลุกปั้น สู่การเป็นกองหน้าระดับเวิลด์คลาสที่แอนฟิลด์ และลูกยิงแบบวิ่งหนีกองหลังจนหัวทิ่มหัวตำ ... เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างในตอนนั้น
ติดตามได้ที่ Main Stand
เด็กอัจฉริยะแห่งแอตเลติ
พรสวรรค์ คือสิ่งที่ทำให้คุณทำในสิ่ง ๆ ใดก็ตามออกมาได้โดดเด่นเป็นประกายยิ่งกว่าใคร หากพูดถึงพรสวรรค์ด้านฟุตบอลก็คงหมายถึงการเล่นกับลูกฟุตบอลที่พริ้วเนียนแบบธรรมชาติสุด ๆ ทุกจังหวะการเคลื่อนไหวดูเหมือนเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ... สิ่งเหล่านี้ดูเป็นเรื่องง่าย ๆ ของ เฟร์นานโด ตอร์เรส ในวันที่เขายังเป็นเด็กอายุไม่ถึง 10 ขวบเลยด้วยซ้ำ ในขณะที่เด็กคนอื่น ๆ พยายามแทบตาย ตอร์เรส แค่ทำไปตามสัญชาตญาณ ในเวลานั้นเขาเด่นกว่าใคร
ตอร์เรส เป็นชาวมาดริดโดยกำเนิด และเป็นสายเลือดของ แอตเลติ พันธุ์แท้ เขาโตมาจากครอบครัวที่เชียร์ทีมนี้ ในการเข้าอคาเดมีของทีมตราหมีตอนที่เขาอายุ 10 ขวบ มีเรื่องเล่าว่าคนทั้งสโมสรต่างพากันมาดูเด็กชาย เฟร์นานโด คัดตัวเข้าทีมโดยมิได้นัดหมาย และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "เราเห็นอนาคตแล้ว"
"มีเด็กมาคัดตัว 200 คนใน พาร์ค เดอ ลา ครูซ โค้ชที่ชื่อว่า เปโดร เดล มาโซ แบ่งเด็กลองลงทีมแข่งกันเพื่อนำมาพิจารณาฝีเท้าในภายหลัง แต่พอเขาเห็นเด็กที่ชื่อ เฟร์นานโด เขาแทบไม่ต้องรอการประกาศตัวเลยด้วยซ้ำ" มานูเอล บรินาส ผู้ดูแลทีมอคาเดมีรุ่นเล็กของ แอตเลติ ว่าถึงวันแรกที่ทีมได้รู้จักกับ ตอร์เรส
ตอร์เรส ผ่านเข้าทีมอคาเดมีแบบฉลุยเหมือนเล่นที่สวนหลังบ้าน จากนั้นเขาก็แบกอายุเล่นเสมอมา ตั้งแต่อายุ 10 ขวบเขาเตะกับเด็กอายุ 13 ปี ตอนอายุ 15 ปีเขาเตะกับทีมอายุ 18 ปี และอย่างที่รู้กันเมื่อเขาอายุ 17 ปี เขาก็กลายเป็นนักเตะที่ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่มากกว่า 40 นัดไปเรียบร้อยแล้ว ... นี่คือสิ่งที่อธิบายถึงความอัจฉริยะและพรสวรรค์ของเขาได้ง่ายที่สุด
ตอร์เรส ถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ก่อนที่ตัวเขาจะรู้ว่าตัวเองพร้อมเสียด้วยซ้ำ ในปี 2001 ตอนนั้น ตอร์เรส อายุแค่ 17 ปี เขาเล่าว่าตอนนั้นเขายังไม่เห็นถึงความแตกต่างของชีวิตและความรับผิดชอบอะไรนัก เขาเคยได้รับเลือกจากทีมให้ไปเป็นนายแบบสำหรับการ์ดอวยพรวันคริสต์มาสที่สโมสรจะส่งมอบให้แฟน ๆ ที่ถือตั๋วปี ตอนนั้น ตอร์เรส เล่าว่า เขาไปถ่ายที่ Plaza Mayor และ Puerta del Sol ซึ่งเป็นจัตุรัสที่พลุกพล่านที่สุดสองแห่งในกรุงมาดริด ตอนนั้นไม่มีใครสนใจเขามากนัก เพราะไม่มีใครรู้จักว่าเขาเป็นนักเตะอาชีพ
ณ เวลานั้น แอตเลติโก มาดริด เป็นทีมในระดับดิวิชั่น 2 และไม่ได้เก่งกาจเหมือนในเวลานี้ มันเป็นช่วงเวลาที่ทีมกล้าเสี่ยงที่จะใช้ดาวรุ่ง และ ตอร์เรส ก็เป็นหนึ่งในคนที่โค้ชมอบโอกาสให้ลงสนาม โดยในปีนั้นทีมก็ยังไม่สามารถเลื่อนชั้นได้ จนกระทั่งต้องจ้างกุนซือประสบการณ์สูงอย่าง หลุยส์ อราโกเนส เข้ามาทำหน้าที่แทน และ อราโกเนส ก็มาทำทีมโดยได้รับภารกิจหลักให้สร้างทีมใหม่และเลื่อนชั้นไปพร้อม ๆ กัน
ดังนั้นเขาจะต้องเลือกนักเตะจากระบบเยาวชนของทีมสักคนหนึ่งขึ้นมาเป็นตัวหลัก เพื่อหวังให้เป็นนักเตะที่สามารถกลายเป็นศูนย์กลางในการสร้างทีมระยะยาวได้ หรืออย่างน้อย ๆ ถ้าเกิดยิงระเบิด ปัง ปัง ปัง ขึ้นมา สโมสรก็ยังสามารถขายทำเงินก้อนโตได้อีกด้วย
แน่นอนว่าหวยต้องออกที่ ตอร์เรส อยู่แล้ว เพราะนี่คือเด็กที่ดีและเก่งที่สุดในอคาเดมี อราโกเนส ดันเขาตามข้อเรียกร้องของ บอร์ดบริหาร เพื่อให้งานของเขาเป็นไปได้อย่างสะดวก โดยที่ไม่รู้เลยว่าเด็กที่เขาดันตามข้อเรียกร้องนั้น กลับกลายเป็นเด็กที่เก่งจริง ๆ และลงเล่นในระดับสูงได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีระยะเวลาปรับตัวจากทีมชุดเยาวชนเป็นทีมชุดใหญ่เลย
นี่ชุดใหญ่นะ ?
เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา อราโกเนส เห็นทัศนคติ วิธีการเล่น และความเข้าใจเกมในแบบฉบับของ ตอร์เรส มันทำให้เขามีไฟในการทำทีมอีกครั้ง เหมือนกับตอนที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ประกาศยกเลิกการวางมือหลังได้เห็นนักเตะดาวรุ่งของทีมอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ เวย์น รูนี่ย์ ... มันคือความรู้สึกเดียวกัน อราโกเนส อยากจะสอนทุกสิ่งที่เขารู้ ใส่ประสบการณ์ทั้งหมดที่เขาเคยผ่านมาให้กับ ตอร์เรส และบังเอิญว่าเจ้าเด็กเฟร์นานโด ก็เป็นคนที่อยากจะซึมซับทุกอย่างเช่นกัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงเหมือนพ่อกับลูก จากการบอกเล่าของ ตอร์เรส เอง
"อราโกเนส เปรียบเหมือนพ่อผมเลย เขาบอกผมว่าเขาไม่รู้จะได้ทำงานกับสโมสรนี้อีกนานแค่ไหน แต่ถ้าเขายังอยู่ เขาจะสอนทุกอย่างที่มีให้กับผม และจะยัดทุกอย่างที่เขารู้แบบไม่มีกั๊ก" ตอร์เรส ว่าไว้
เรื่องฝีเท้าคงไม่ต้องพูดถึง ตอร์เรส คือนักเตะที่มีสัญชาตญาณการจบสกอร์เต็มแม็กซ์ วิ่งเร็ว หาพื้นที่เก่ง จบสกอร์เฉียบคม แต่สิ่งที่ อราโกเนส สอนคือวิธีการก้าวข้ามจากเด็กหนุ่มสู่การเป็นนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ ที่เข้าใจรูปแบบและวิธีการ ใช้สมองมากกว่าพละกำลังหรือเทคนิค นั่นคือสิ่งที่ ตอร์เรส ได้รับ
"ผมไม่ได้พูดเกินจริงเลย เมื่อ อราโกเนส มาถึง ผมก็ค้นพบว่าฟุตบอลที่แท้จริงเป็นอย่างไร เขาบอกว่าทีมที่ยอดเยี่ยมจะไม่รอนักเตะคนใดคนหนึ่ง ทุกคนต้องพยายามเก่งขึ้นในทุก ๆ วัน เขาถามผมว่าผมจะเก่งขึ้นไหม หรือเอาแค่นี้พอ ขณะที่ผมกำลังคิดคำตอบ เขาก็ตบไหล่ผมแล้วบอก เชื่อเถอะ แกเก่งได้มากกว่านี้อีกเยอะเลย"
"เขาย้ำเสมอว่า เขาจะไม่รอให้ผมพูดคำว่าพร้อม และไม่มีเกมให้กับนักเตะที่ไม่มั่นใจในตัวเอง แต่ในความจริงลึก ๆ แล้วเขาแอบโอ๋ผมน่าดู" ตอร์เรส กล่าวถึงมุมมองของเขาในตอนโต
วิธีการยิงประตูของ ตอร์เรส ที่เราเห็นกันบ่อย ๆ นั้นคือการจี้เข้าใส่กองหลังแล้วเลี้ยงหนีง่าย ๆ ด้วยสปีด ก่อนจะจบสกอร์แบบเฉียบขาด วิธีการนี้เกิดขึ้นที่นี้ อราโกเนส สอนให้ ตอร์เรส ยิงประตูที่ไม่ต้องแปลกพิศดารและโชว์เทคนิคอะไรมากนัก สิ่งที่ควรทำคือการเอาสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีที่สุดออกมาเป็นจุดแข็งและขัดเกลา ทำซ้ำ จนกลายเป็นความเคยชิน
อราโกเนส ใช้เวลาในการซ้อมตัวต่อกับ ตอร์เรส บ่อยมาก ๆ หนึ่งในวิธีที่เขาฝึกบ่อยที่สุดคือการลากจี้ กระชาก และยิงสวนตัวผู้รักษาประตู เป็นประตูแบบพื้นฐานที่กองหน้าต้องยิงกันทุกคน แต่ ตอร์เรส ได้รับการฝึกในแทบทุกจุด ตั้งแต่การแตะบอลจังหวะแรก การอ่านเท้าคู่ต่อสู้ การใช้สายตาเหลือบมองพื้นที่ว่างที่จะไปข้างหน้า หรือแม้กระทั่งการดึงจังหวะและเปลี่ยนทิศทางการวิ่ง ... ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นที่นี่
"เขากดดันผมไปพร้อม ๆ กับการเอาใจใส่ เขามีเวลาให้ผมเสมอ และสอนวิธีคิดง่าย ๆ คือการยิงประตูได้สำคัญกว่าการสร้างคาแร็กเตอร์ เป็นกองหน้าก็ต้องยิง อยากยิงก็ต้องฝึกทุกวัน การควบคุมบอล, การหักเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางวิ่ง, การจบสกอร์ บางครั้งเขาก็สั่งให้โค้ชคิดเซสซั่นการฝึกของผมออกมาโดยเฉพาะ"
อายุ 17-18 ปี โดนเคี่ยวแบบนี้ทุกวัน โดนปรับทั้งวิธีเล่น วิธีคิด และทัศนคติ คุณคงไม่แปลกใจนักที่ ตอร์เรส เป็นนักเตะที่แบกทีมตั้งแต่อายุยังน้อย จากนั้นการถ่ายโปสการ์ดสำหรับงานคริสต์มาสหรือเทศกาลต่าง ๆ ก็ไม่เคยเป็นเรื่องง่ายของเขาอีกเลย เพราะตอนนี้ เฟร์นานโด ตอร์เรส กลายเป็นนักเตะดาวรุ่งที่ดังไปทั่วประเทศสเปนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เอล กาปิตาโน่
อราโกเนส ไม่ได้เพียงสร้าง ตอร์เรส ให้เป็นยอดกองหน้าเท่านั้น แต่ยังสร้างให้เป็นยอดคนด้วย ตอร์เรส ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมของ แอตเลติ ในปี 2003 ตอนที่เขาอายุแค่ 19 ปี
ทุกสายตาจับจ้อง ทีมไหนในยุโรปก็อยากจะได้ตัวเขาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ยูเวนตุส ที่เคยคิดจะยื่นข้อเสนอ 15 ล้านปอนด์ บวกกับนักเตะอย่าง มาร์เซโล่ ซาลาเยต้า กองหน้าตัวทีมชาติอุรุกวัยเป็นของแถม ขณะที่ เชลซี ในยุคที่ โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเทคโอเวอร์ทีมใหม่ ๆ ก็พร้อมจะจ่ายถึง 28 ล้านปอนด์สำหรับ ตอร์เรส ในวัย 19 ปีเลยทีเดียว
ตอร์เรส เชื่อว่าปลอกแขนที่เขาได้รับมอบหมายคือสิ่งสำคัญที่ทำให้เวลาที่เหมาะสมในการย้ายทีมของเขายังไม่มาถึง เพราะ ณ เวลานั้น แอต. มาดริด ยังต้องพยายามอย่างหนักในการหนีตกชั้นอยู่ ตอร์เรส จึงรับผิดชอบกับหน้าที่ของตัวเอง และตอบแทนทีมด้วยประตูถึง 19 ลูก และพาทีมจบอันดับที่ 7 ของตาราง ลา ลีกา
ในปีนั้น (ฤดูกาล 2003-04) คือฤดูกาลที่ ตอร์เรส ติดลมบนอย่างแท้จริง การเป็นกองหน้าในแบบที่ชอบดวล 1-1 กับกองหลัง มั่นใจในสปีดและการเลี้ยงบอล คือจุดเด่นที่ทำให้เขาได้รับการจับตามองไปทั่วโลก
นูเร็ดดิน เนย์เบ็ต กองหลังชาวโมร็อกโกของ เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า เคยให้สัมภาษณ์กับ FourFourTwo ว่า ในการดวลกับ ตอร์เรส ตอนอายุ 19 ปี นั้นโหดร้ายมาก ๆ เขาจบเกมโดยแทบจะหมดลมหายใจ เพราะเหนื่อยมากจริง ๆ กับการวิ่งไล่กวดกองหน้าอย่าง ตอร์เรส พร้อมจะเลี้ยงบอลจี้ใส่ตลอดทั้งเกม โดยในเกมที่ แอตเลติ เจอกับ ลา คอรุนญ่า นั้น ตอร์เรส กดไปถึง 2 ลูก (แอตเลติ ชนะ 3-1) และเผาเครื่อง เนย์เบ็ต ที่กำลังเขาสู่ท้ายอาชีพค้าแข้ง จนเจ้าตัวรู้ว่ายุคสมัยของเขากำลังจะหมดลง
ตอร์เรส ลงเล่นด้วยมาตรฐานที่ไม่ตกลงเลย แม้ แอต. มาดริด จะไม่ได้เป็นทีมระดับหัวตารางแบบทุกวันนี้ แต่ ตอร์เรส ก็เป็นประเภท "เด่นทุกเกม" จบฤดูกาลด้วยการเป็นดาวซัลโวของทีมทุกปี เป็นนักเตะที่เพื่อนร่วมทีมมองหาตัวเป็นอันดับแรกเมื่อได้บอล ตอนนั้นสื่อสเปนบอกว่าเขากลายเป็น มาร์โก ฟาน บาสเท่น กองหน้าตำนานทีมชาติเนเธอร์แลนด์และอดีตนักเตะบัลลงดอร์เลยทีเดียว
ทำไมถึงเลือก ลิเวอร์พูล
ตอร์เรส เล่นให้กับ แอตเลติ จนถึงฤดูกาล 2006-07 เป็นปีสุดท้าย เป็นอีกครั้งที่ เชลซี พยายามจะดึงตัวเขาไปร่วมทีมก่อนฤดูกาลจะเริ่มขึ้น แต่ ตอร์เรส ก็เลือกจะปฎิเสธ เขาเล่นจนจบซีซั่นดังกล่าวและเลือกย้ายไปเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล แทน
ตอร์เรส บอกว่า ลิเวอร์พูล คือทีมที่เหมาะสมกับช่วงเวลาที่เหมาะกับก้าวต่อไปของเขา ซึ่ง ณ เวลานั้น ทีมหงส์แดงมีนักเตะสเปนอยู่ไม่น้อย และมีกุนซืออย่าง ราฟาเอล เบนิเตซ ที่เพิ่งพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปมาในปี 2005
"เมื่อลิเวอร์พูลติดต่อเข้ามา มันหมายถึงเวลาแห่งการขยับขยายของผมเดินทางมาถึงแล้ว" ตอร์เรส เปิดใจ
เบื้องลึกเบื้องหลังนั้นว่ากันว่า ตอร์เรส เป็นคนที่แอบตามเชียร์ ลิเวอร์พูล มาตั้งแต่ยังเด็ก เขาและเพื่อน ๆ สมัยก่อน 5-6 คนชอบไปดูการถ่ายทอดสดฟุตบอลอังกฤษด้วยกัน มันคือความทรงจำแบบเด็ก ๆ ที่มิตรภาพแบ่งบานพร้อม ๆ กับความสนุกในการได้เชียร์ทีมฟุตบอลทีมหนึ่งร่วมกับเพื่อน ๆ
ตอร์เรส เล่าว่าสำหรับเขาและเพื่อน ๆ สโลแกนของ ลิเวอร์พูล นั้นเป็นอะไรที่เท่มาก ๆ ประโยคทองอย่าง You'll never walk alone จึงถูกดันแปลงมาเป็นรอยสักของแก๊งในวัยเด็กของเขา เพื่อน ๆ ของเขาหลายคนสักคำว่า "We'll never walk alone" เพื่อแสดงถึงมิตรภาพในช่วงวัยที่ควรค่าแก่การจดจำ ขณะที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก็เป็นหนึ่งในไอดอลของ ตอร์เรส ในวัยเด็กเช่นกัน ทั้งสองคนมีเส้นทางการเติบโตที่คล้าย ๆ กัน ลงรับใช้ทีมบ้านเกิดตั้งแต่วัยทีนเอจ และรับปลอกแขนกัปตันทีมตั้งแต่อายุยังน้อย ... ตอร์เรส ชื่นชมความรับผิดชอบต่อหน้าที่กัปตันทีมที่ เจอร์ราร์ด มีเสมอมา
ณ เวลานั้น ลิเวอร์พูล อาจจะไม่ใช่ทีมที่เก่งมากมายและมีความสำเร็จทุกปีเหมือนกับทีมชุดปัจจุบัน แตกต่างกับ เชลซี ในเวลานั้นที่พยายามล่าตัว ตอร์เรส ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นว่าเล่น แต่สุดท้าย ตอร์เรส ก็เลือกที่ที่คิดว่าเหมาะสมกับเขาที่สุด ซึ่งสไตล์เลี้ยงจี้ใส่ของเขาลงล็อกแบบสุด ๆ ณ ช่วงเวลาที่เขาได้ใส่เสื้อสีแดงของ ลิเวอร์พูล
การเลี้ยง แตะ กระชาก และยิง ของ ตอร์เรส คืออาวุธที่โดนโจมตีกันแทบทุกทีม เกมแรกที่เขาลงสนามให้ ลิเวอร์พูล เขาก็โชว์ลูกเก่งแบบนี้ออกมาทันทีด้วยการดวล 1-1 กับ ทาล เบน ฮาอิม กองหลังของ เชลซี และเข้าไปดวลเดี่ยวกับ ปีเตอร์ เช็ก และยิงประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ในเกมนั้น … นี่คือลูกยิงบอกยี่ห้อของเขาเลยทีเดียว
ส่วนคนที่จำวิธีการเล่นนี้ได้ติดตาและหลอนกับ ตอร์เรส มากที่สุดน่าจะเป็น เนมานย่า วิดิช กองหลังระดับตำนานของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เสียท่าให้กับ ตอร์เรส ในเกมแดงเดือดเป็นประจำ
"สำหรับ ตอร์เรส เนี่ย ผมยอมรับจากใจจริงเลยว่าเขาคือยอดกองหน้าระดับท็อปอย่างแท้จริง เผลอ ๆ อาจจะเป็นคนที่เก่งสุดใน พรีเมียร์ลีก ณ เวลานั้นเลยด้วยซ้ำ" วิดิช ยอมรับแต่โดยดี
ขณะที่ ริโอ เฟอร์ดินานด์ คู่หูของ วิดิช ก็แสดงมุมมองของเขาว่า ลิเวอร์พูล และ ตอร์เรส คือส่วนผสมที่เกิดมาเพื่อฆ่า วิดิช โดยแท้จริง ปกติ วิดิช จะแข็งแกร่งมาก การปะทะของเขาจะช่วยหยุดบอลได้ตั้งแต่จังหวะแรก โดยไม่เปิดโอกาสให้คู่แข่งได้จี้ใส่ ... แต่สำหรับ ตอร์เรส เวอร์ชั่น ลิเวอร์พูล มันเป็นอะไรที่แตกต่างออกไปกว่าที่ทั้ง ริโอ และ วิดิช เคยเจอ
"ก่อนอื่นเลย ผมไม่ได้อวยตัวเองนะ แต่เชื่อผมถือว่าตอนนั้นผมกับเขา (วิดิช) คือคู่กองหลังที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกเลยก็ว่าได้"
"แต่ในอาชีพของคุณ คุณอาจจะเจอกับบางคนที่หลอนพวกคุณไปจนวันตาย แม้เขาคนนั้นจะไม่ใช่นักเตะที่เก่งที่สุดในโลกก็ตาม ... และ ตอร์เรส คือนักเตะคนนั้นสำหรับ วิดิช"
เฟอร์ดินานด์ อธิบายให้เห็นภาพชัด ๆ ว่า ตอร์เรส ใช้ความฉลาด บวกกับแทคติคที่ เบนิเตซ ใช้นั้นเกื้อหนุนให้เหมาะกับการดวลกับกองหลังสไตล์ วิดิช มาก ๆ
ถึงแม้ ตอร์เรส จะเป็นหน้าเป้า แต่เขามักจะไม่เผชิญหากับ ริโอ และ วิดิช พร้อม ๆ กับ ตอร์เรส จะเลือกดึง วิดิช ออกมาด้านกว้าง เมื่อทั้งคู่แยกกัน ตอร์เรส ก็จะใช้ความเร็วทำลายล้างนักเตะอย่าง วิดิช ที่เน้นการหวดตั้งแต่จังหวะแรก ... ด้วยความเร็วมาก ๆ ของ ตอร์เรส จะทำให้เขาไวกว่า วิดิช 1 จังหวะ ดังประโยคทองในหนังจีนกำลังภายในที่บอกว่า "วรยุทธใต้หล้า ตัดสินแพ้ชนะ วัดที่ความเร็ว"
และนั่นคือเหตุผลที่ วิดิช เคยโดนใบแดงถึง 2 ครั้ง จากการประกบ ตอร์เรส สมัยที่เล่นให้ ลิเวอร์พูล
"ตอร์เรส นี่สุดยอดไปเลย เขาทำให้ วิดิช ต้องเจอกับความลำบากในการรับมือ วิดิช โดนไล่ออกตั้ง 2 ครั้งเพราะประกบเขา แต่คุณอย่าไปแปลกใจอะไรเลย ในตอนนั้น ตอร์เรส คือสุดยอดจริง ๆ มันคือช่วงพีคของเขาเลย เขาเป็นนักจบสกอร์ที่ไว้ใจได้ และมีอานุภาพการทำลายล้างกองหลังที่สูงมากจริง ๆ" ริโอ กล่าวทิ้งท้าย
ตอร์เรส กลายเป็นเบอร์ 9 ที่ แฟนบอล ลิเวอร์พูล จดจำได้ไม่มีวันลืม แม้ตอนจบระหว่าง ตอร์เรส กับ ทีมจะไม่ได้สวยงามมากนัก แต่แฟนลิเวอร์พูลไม่ว่าคนไหนก็ย่อมจำช่วงเวลาที่ ตอร์เรส อยู่กับทีมได้ดี นี่คือกองหน้าประเภทที่กองหลังคู่แข่งต้องกังวลตลอดเวลา และเมื่อบอลถึงเท้าของ ตอร์เรส โอกาสใส่สกอร์ก็เพิ่มสูงลิบ ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล เลี้ยงฝ่าเข้าไปยิง, ยิงแบบต่อบอลโบ๊ะบ๊ะที่เรียกกันว่า Team Goal หรือ ยืนรอแทปอินในกรอบเขตโทษง่าย ๆ ไม่ว่าคุณจะเอาแบบไหน ตอร์เรส ทำได้ทั้งนั้น
ในช่วงเวลาที่ ตอร์เรส พีคที่สุดก็ช่วงที่เล่นให้กับ ลิเวอร์พูล นี่แหละ ณ ตอนนั้น Nike ยังทำโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ "ตอร์เรส ฟีเวอร์" ในเมืองลิเวอร์พูล โดยการตามถ่ายบรรยากาศต่าง ๆ ในเมือง ที่ตอนนี้ประดับประดาไปด้วยธงชาติสเปน มีคลาสเรียนสอนภาษาสเปน ร้านอาหารสเปนในเมืองก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว นี่คือเรื่องราวที่สุดของที่สุดสำหรับการมาถึงของนักเตะคนหนึ่งที่ทำให้ทีม ลิเวอร์พูล ยุคเอาแน่เอานอนไม่ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ... ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ แน่นอน
เขาเป็นนักเตะที่พิเศษ และต้องเป็นคนที่แฟนบอลยกย่องให้เป็นหนึ่งในไอคอนของสโมสรเท่านั้นถึงจะได้รับสิทธิ์นี้ ... นี่คือเหตุผลที่ เฟร์นานโด ตอร์เรส มีตำนานบทสำคัญที่เมือง ลิเวอร์พูล ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ใครทันได้ดูก็รู้ทันทีเลยว่าการเลือก ลิเวอร์พูล ของ ตอร์เรส นั้นคือการตัดสินใจที่ถูกต้องขนาดไหน
แหล่งอ้างอิง
https://www.goal.com/th/22kv5du1ekt41tay1t5jxw1fi
https://www.fernando9torres.com/actualidad/detalle/fernando-torres-luis-aragones-documental-movistar#
https://www.liverpoolfc.com/news/features/369838-fernando-torres-interview-liverpool-career-memories-fans-steven-gerrard
https://www.lfchistory.net/Articles/Article/2736
https://www.givemesport.com/1729440-fernando-torres-the-nike-advert-when-legend-joined-liverpool-is-still-a-masterpiece
https://www.90min.com/posts/an-ode-to-fernando-torres-scintillating-first-season-with-liverpool
https://www.sportskeeda.com/football/fernando-torres-vs-the-entire-world