มีคำกล่าวที่ว่า "อัจฉริยะและคนบ้า ต่างกันเพียงเส้นกั้นบาง ๆ เท่านั้น" แล้วอัจฉริยะในวงการกีฬาควรจะมีลักษณะเช่นไร ?
แน่นอน สิ่งที่หลายคนคิดคือ เขาผู้นั้นจะต้องมี พรสวรรค์อันเอกอุ มุมมองเกมแบบเหนือเมฆ จนทำให้กลายเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในสนามได้ ซึ่งในหลาย ๆ กีฬารวมถึงบาสเกตบอล การทำแต้ม คือสิ่งที่ช่วยขับความเป็นอัจฉริยะออกมาได้มากที่สุด เพราะตัวเลขบนสกอร์บอร์ดไม่เคยหลอกใคร ...
แต่สำหรับบุคคลนี้ มันไม่ใช่เช่นนั้น เขาไม่ได้สนใจการทำแต้ม ไม่แคร์การจ่ายบอลแบบสวย ๆ เพราะสิ่งเดียวที่มุ่งมั่น คือการรีบาวด์ แย่งบอลที่คนอื่นชู้ตไม่ลงให้อยู่กับมือตัวเองโดยเร็วที่สุด นั่นแหละเขา ... เดนนิส คีธ ร็อดแมน เจ้าของฉายา “The Worm” จอมสีสัน ราชารีบาวด์
วัยเด็กต้องดิ้นรน
ความไม่พร้อมในตัวของร็อดแมนตั้งแต่เด็กทำให้เขามีปมในชีวิตเยอะมาก ๆ ดังที่เขาเผยว่า "พ่อทิ้งผมและพี่ ๆ น้อง ๆ ตั้งแต่ผมจำความได้ แม่บอกว่าพ่อไปอยู่ที่ฟิลิปปินส์ แล้วก็หายไปเลย" ซึ่งเจ้าตัวเคยบอกไว้ด้วยว่าถ้านับ ๆ ดูพี่น้องทั้งแม่เดียวกัน และคนละแม่ แต่มีพ่อคนเดียวกัน เขาจะมีพี่น้องประมาณ 47 คน (สวนทางกับพ่อที่บอกว่า เดนนิสมีพี่น้องรวมกันเพียง 28 คน) ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชีวิตนั้นต้องปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่เด็ก ๆ "จะให้บอกยังไงดีล่ะ เราทุกคนต่างต้องช่วยกันทำงาน ผมจำได้ว่าเราไม่มีกิน จนผมเกือบจะต้องไปอาศัยบ้านเด็กกำพร้าอยู่"
ในวัยเด็ก ร็อดแมนต้องใช้ชีวิตอยู่กับการช่วยที่บ้านทำงานเพื่อหาเงินเลี้ยงจุนเจือครอบครัว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันสุ่มเสี่ยงกับการที่เขาจะหลงผิดในเรื่องต่าง ๆ เป็นอย่างมาก และแน่นอน แม่และพี่สาวต้องหาวิธีเพื่อไม่ให้เด็กคนนี้หลงทาง ซึ่งกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "บาสเกตบอล" คือหนทางที่ว่า ... "พี่ผมแนะนำกีฬาให้ผมหลายอย่างเลยนะ บาสเกตบอลเป็นหนึ่งในนั้น ผมเล่นมาตลอด แต่ฝีมือก็ไม่ได้ดีเด่นะ ผมตัวเล็ก ไม่ใช่คนรูปร่างใหญ่"
เรื่องฝีมือที่เจ้าตัวพูดถูกสะท้อนในช่วงเรียนมัธยมปลายที่เซาท์โอ๊คคลิฟ ร็อดแมนถูกโค้ชจับเป็นตัวสำรองด้วยเหตุผลง่าย ๆ คือ "ตัวเล็กเกินไป แถมทักษะแย่" เวลานั้นเจ้าตัวสูงเพียง 168 เซนติเมตร ซึ่งเตี้ยมากเมื่อเทียบกับเด็กรุ่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่การเลย์อัพก็ไม่สามารถทำได้ ต่างจากพี่สาวที่ทักษะบาสเก่งกาจราวฟ้ากับเหว
"มันดูเหมือนว่าผมทำอะไรได้ไม่ดีเลย บาสเกตบอลก็เป็นตัวสำรอง อเมริกันฟุตบอลผมก็ฝีมือไม่ได้เรื่อง" ร็อดแมนกล่าวถึงอดีตที่เจ้าตัวนั้นเล่น 2 กีฬาเหมือนเด็กอเมริกันทั่ว ๆ ไป แต่ก็ไม่ได้ดีสักอย่าง ด้วยความคิดที่ว่าคงไม่สามารถเอาดีทางด้านกีฬาได้ เขาจึงหันไปเอาดีทางด้านการเป็นพนักงานทำความสะอาดที่สนามบินดัลลัส เพราะได้เงินด้วย และรู้สึกว่าต่อให้เล่นกีฬาต่อไปก็ไม่น่าจะมีอะไรดีขึ้น แต่ไม่นานจากนั้นเขาก็ได้กลับมาเล่นบาสเกตบอลอีกครั้ง เพราะเพื่อน ๆ ที่ทำงานของร็อดแมนนั้นต่างเชื่อว่า เจ้าตัวมีศักยภาพที่มากพอ และถ้าตั้งใจก็สามารถทำได้ "เพื่อน ๆ เชื่อว่าผมทำได้นะ จนจากที่ผมไม่เชื่อ ผมก็เริ่มที่จะเชื่อเลย" ทำให้เจ้าตัวกลับไปสู้ต่อจนเข้าเรียนในระดับคอลเลจได้สำเร็จ
เมื่อได้เข้ามหาวิทยาลัยนอร์ธเซนทรัล ร็อดแมนก็เหมือนนักกีฬาปัญญาชนทั่วไป คือเล่นบาสและเรียนไปด้วย ทว่ากลับถูกเชิญออกจากมหาวิทยาลัยจากปัญหา "เรียนได้เกรดไม่ถึงเกณฑ์" แต่มหาวิทยาลัยเซาธ์เทิร์น โอคลาโฮมาสเตท ก็รับเข้าไปเรียนต่อ เพราะเชื่อว่าเขามีทักษะและความสามารถทางบาสเกตบอลที่มากเพียงพอ จนเขาสามารถพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเขาสามารถเอาดีทางบาสเกตบอลได้จริง ๆ และเข้าเล่นลีก NBA ได้ ในปี 1986 เขาถูกดราฟตัวมาในรอบที่ 2 อันดับที่ 27 เรื่องดังกล่าวสร้างความดีใจให้กับร็อดแมนและครอบครัวเป็นอย่างมาก เพราะการเข้าเล่น NBA มันหมายถึงรายได้มหาศาลที่เปลี่ยนชีวิตไปเลย
นักฆ่าเบอร์ 1
เมื่อเข้า NBA ร็อดแมนถูกปรมาจารย์ในทีม ดีทรอยต์ พิสตันส์ ขณะนั้นไม่ว่าจะเป็น ริค มาฮอร์น, ไอเซย์ โธมัส, บิล แลมเบียร์, โจ ดูมาร์ รวมถึงเฮดโค้ช ชัค เดลีย์ เคี่ยวกรำอย่างหนัก เจ้าตัวเปิดใจว่า "ผมได้วิชาทุกอย่างมาจากทุก ๆ คนในพิสตันส์ มันทำให้ผมมีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งขึ้น และรู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ทีมได้รับชัยชนะ"
ในปลายยุค 80s ถือเป็นยุคที่หลายทีมแข่งกันชิงความเป็นหนึ่ง ทั้ง บอสตัน เซลติกส์, ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส, ฮิวส์ตัน ร็อคเก็ตส์, ชิคาโก บูลส์ ซึ่งถูกจัดว่าเป็นทีมสายสว่าง แต่พิสตันส์ที่มีร็อดแมนนั้น ถือว่าเป็นทีมที่โดดเด่นในด้านมืด จนถูกขนานนามว่า "แบดบอยส์" ใส่เกินร้อย ตัดฟาล์วรุนแรง นอกเกมส์เกือบทุกเพลย์ แถมมีจิตวิทยาข่มในสนามทุกนัด นั่นแทบจะเรียกได้ว่า พิสตันส์ยุคนั้นเป็นทีมที่ไม่มีใครอยากเจอ เพราะพร้อมที่จะมีเรื่องได้ทุกที่ ทุกเวลา
ร็อดแมนเป็นคนที่โค้ช ชัค เดลีย์ ของพิสตันส์เลือกใช้ในการหยุดเอซ หรือเบอร์ 1 ของทีมฝั่งตรงข้าม อาทิ ไมเคิล จอร์แดน ของบูลส์, แลร์รี่ เบิร์ด ของเซลติกส์, แมจิค จอห์นสัน ของเลเกอร์ส นั่นทำให้เขาโดดเด่นมากเพราะมีทั้งความบ้าที่จะหยุดคู่ต่อสู้ให้ได้และความขยันที่ไม่เป็นรองใคร จนทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นป้องกันยอดเยี่ยมของลีก 2 ปีซ้อน รวมถึงคว้าแชมป์ NBA อีก 2 สมัย
"รางวัลนี้โค้ชชัคมีส่วนทำให้ผมมีวันนี้ได้ ผมนับถือชัคเหมือนพ่อของผม" คำพูดข้างต้นคงไม่ต้องกล่าวต่อแล้วว่า เดนนิส ร็อดแมน นับถือ ชัค เดลีย์ ขนาดไหน ซึ่งทำให้พอเข้าใจว่าเหตุใดเจ้าตัวถึงคิดที่จะฆ่าตัวตายเมื่อคนที่เคารพเหมือนพ่อต้องออกจากทีมไป แม้จะมีเรื่องชีวิตสมรสเป็นอีกสาเหตุใหญ่ก็ตาม
หลุดโลกต้องให้สุด
ชีวิตของคนเราหลายครั้งมันก็มีจุดเปลี่ยน ซึ่งสำหรับ เดนนิส ร็อดแมน นั้น คงเริ่มแต่ตอนที่เขาถูกเทรดจากพิสตันส์ มาอยู่กับ ซานอันโตนิโอ สเปอร์ส นี่แหละ
"ผมรู้สึกเหมือนหายใจได้โล่งขึ้น ทุกอย่างมันดูอิสระมาก ผมสามารถทำอะไรก็ได้ ใครไม่ชอบผมมาจูบก้นผมเอาละกัน ผมมีพื้นที่ของผม ผมรักความสนุก"
การย้ายแบบข้ามมาอีกฟากของประเทศทำให้เขาตัดสินใจสร้างตัวตนใหม่ด้วยการ "ย้อมผม" หลายหลากสีไม่ว่าจะสีแดงเพลิง สีทองอร่าม หรือสีขาวขนแกะ ซึ่งมันเป็นการทำไปเพราะความสนุกและรู้สึกที่มีอิสระเหมือนที่เจ้าตัวบอก แม้ฝีมือของร็อดแมนในขณะนั้นจัดว่าเป็นมือหนึ่งของลีกทั้งในเรื่องการรีบาวด์ และในเกมส์การป้องกันจนหาตัวจับได้ยาก แต่การกระทำสุดห่ามนอกสนามของเขานั้นก็ใช่ย่อย ซึ่งที่แสบที่สุดคือ เขาไปซิ่งมอเตอร์ไซค์แล้วเกิดอุบัติเหตุ จนร้างสนามไปพักนึงเลยทีเดียว "ชีวิตมันคืออิสระ" นั่นคือสิ่งที่ร็อดแมนบอกก่อนซิ่งบิ๊กไบค์คันงามเกิดอุบัติเหตุ
ด้วยความซ่า และบ้าดีเดือดของเขาทำให้สเปอร์สรับมือไม่ไหว ปฏิบัติการเทรดจึงเกิดขึ้น เขาถูกเทรดมาอยู่ที่ ชิคาโก บูลส์ เล่นเคียงข้างกับ ไมเคิล จอร์แดน และ สก็อตตี้ พิพเพ่น โจทย์เก่าที่เขาเคยอัดสมัยเมื่อเป็นคู่แข่งกันจนมีเรื่องมีราว แต่ความเป็นมืออาชีพของทั้งสาม ทำให้บูลส์กลายเป็นยอดทีมอีกครั้ง ด้วยการคว้าแชมป์ NBA 3 สมัยซ้อน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนพูดถึงในฤดูกาลนั้นกลับไม่ใช่ผมสีแดง ลายสักสวยงามของเขา หรือแม้กระทั่งลีลาการเล่น ทว่ากลับเป็นเรื่องนอกสนามที่ร็อดแมนได้ไปคบกับสุดยอดนักร้องสาวในยุคนั้นอย่าง มาดอนนา รวมถึงการออกหนังสืออัตชีวประวัติชื่อ As Bad As I Wanna Be ซึ่งหากมีลายเซ็นด้วยก็ต้องจ่ายเพิ่ม แต่ความห่ามของร็อดแมนก็ไม่หยุดเพียงเท่านั้น เพราะหลังจากที่เลิกรากับมาดอนน่า เขาได้เอาเรื่องราวบนเตียงออกมาแฉ รับทรัพย์ไปอีกไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังออกจากบูลส์ ร็อดแมนยังได้ไปเล่นกับเลเกอร์สคู่ ชาคีล โอนีล และ โคบี ไบรอันท์ รวมถึง ดัลลัส แมฟเวอริกส์ เล่นคู่กับ เดิร์ก โนวิซกี้ ก่อนข้ามไปเล่นในลีกต่างประเทศ อาทิ ฟินแลนด์ และ อังกฤษ แต่ที่บ้าสุดขั้วคือ นอกจากบาสเกตบอลแล้ว ร็อดแมนยังไปเล่นมวยปล้ำ และลงแข่งในสถาบัน WCW โดยแมตช์ที่ถือว่าเป็นที่สุดในการเล่นมวยปล้ำของเขาคือ การจับคู่กับ ฮัลค์ โฮแกน ไปปะทะกับ คาร์ล มาโลน ดาวดังร่วมวงการ NBA ของ ยูทาห์ แจ๊ซ และ ไดมอนด์ ดัลลัส เพจ เรียกได้ว่าเอาเรื่องจริงมาเล่นในอีกเวทีเลยซะอย่างนั้น
ราชารีบาวด์
จริงอยู่ที่ร็อดแมนมีรูปร่างไม่สูง และไม่ได้กระโดดสูง แต่สิ่งหนึ่งที่การันตีความยอดเยี่ยมของเขาได้คือ การรีบาวด์ ... ร็อดแมนรีบาวด์จนได้ฉายาว่า "ราชารีบาวด์" ด้วยการทำสถิติสูงสุด 7 สมัยติดต่อกันของ NBA ทั้ง ๆ ที่เขาสูงแค่ 6 ฟุต 8 นิ้ว หรือ 203 เซนติเมตร (ถ้าวัดกันจริง ๆ ร็อดแมนสูงเพียง 6 ฟุต 6 นิ้ว หรือ 198 เซนติเมตรเท่านั้น) จนนักวิเคราะห์ต่างสงสัยว่า ด้วยรูปร่างแค่นี้ การเข้าวงในไปเก็บลูกบาสแย่งกับคนสูง 7 ฟุตนั้นเขาสามารถทำได้อย่างไร ?
คำตอบก็คือ ร็อดแมนเป็นคนที่รู้จังหวะในการกระโดด เขารู้ว่าลูกบอลจะตกไปในทิศทางไหนจากการคำนวณของผู้เล่นที่ยิงลูกออกไปแล้ว และเขาจะใช้การกระโดดแตะบอล แตะไปเรื่อย ๆ กระโดดแตะถี่ ๆ เพื่อให้ลูกเข้ามาเข้าทางที่ตัวเองสามารถคว้าไว้ได้ นั่นเป็นเทคนิคที่ร็อดแมนทำได้ เพราะเขามีพลังในการกระโดดระยะสั้นแต่บ่อยคร้ังที่มากกว่าปกติ รวมถึงสามารถอ่านทางบอลที่จะตกได้อย่างแม่นยำ
และจะว่าไป เรื่องนี้ก็ดันเป็นความชอบส่วนตัวเสียด้วย โดยร็อดแมนเคยเปิดใจว่า "ผมชอบการรีบาวด์นะ เพราะรู้สึกเหมือนว่าเราคุมเกมไว้ได้ ผมไม่ชอบการทำแต้ม หรือยิงลูกโทษมาก โดยเฉพาะลูกโทษเนี่ยผมบอกได้เลยว่ามันเสียเวลาการเล่นมาก"
สานสัมพันธ์อเมริกา-เกาหลีเหนือ ?
นอกจากสีผม การแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงเป็นฮีโร่ของนักบาส NBA หลายต่อหลายคน แม้ว่าร็อดแมนจะเลิกไปนานแล้ว แต่ความน่าสนใจของเขาก็ยังมีอยู่ทุกช่วงของชีวิตหลังจากเลิกเล่น โดยความห่ามและแปลกที่หลายคนคาดเดาไม่ถึงคือ การนำทีมบาสเกตบอลนั้นไปจัดแข่งโชว์ที่ประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ โดยมีประธานาธิบดี คิม จอง อึน เป็นผู้นำสูงสุด สาเหตุที่เรื่องนี้เกิดขึ้นได้คือ ท่านผู้นำคิมนั้นชอบบาสเกตบอลเอามาก ๆ และร็อดแมนก็ได้นำบาสเกตบอลนั้นเข้าไปเชื่อมความสัมพันธ์แบบที่ไม่มีใครคาดคิด
แม้ชาวอเมริกันหลายคนจะออกมาด่าร็อดแมนว่าเป็นคนบ้าและเพี้ยน ที่ไปนับถือ คิม จอง อึน เป็นเพื่อนและมีความสนิทกัน หนึ่งในนั้นก็คือประธานาธิบดีคนที่ 45 ของประเทศ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่แม้จะเคยเชิญร็อดแมนออกรายการทีวีสมัยที่ยังเป็นนักธุรกิจ แต่ก็ด่าแบบสาดเสียเทเสียว่าเป็น "คนบ้า"
ถึงกระนั้น ในทุก ๆ คร้ังที่เขามาเยือนเกาหลีเหนือ ร็อดแมนมักจะมีของฝากจากอเมริกามาให้คิม และนำเอาเรื่องราวแง่บวกของประเทศตัวเองมาเล่า เปิดโลกให้คิมฟัง ซึ่งนั่นทำให้คิมเริ่มมองประเทศอเมริกาในแง่บวก "นี่คือเพื่อนรักของผมชั่วชีวิต" ร็อดแมนกล่าวถึงประธานาธิบดีคิมให้กับคนอื่น ๆ ฟัง เมื่อถูกถามถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่
การกระทบกระทั่งระหว่างสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือได้ทวีความรุนแรงขึ้น จนดูเหมือนการเจรจาสันติภาพไม่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ร็อดแมนกลับเสนอตัวที่จะเป็นโซ่ข้อกลางให้ เรื่องดังกล่าวทำให้แม้แต่ทรรศนะที่ทรัมป์มีต่ออดีตสตาร์ NBA คนนี้เปลี่ยนไป ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคำยกยอที่ว่า ทรัมป์คือคนที่มีศักยภาพ และแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ดีที่สุด
ที่สุดแล้ว สองผู้นำของชาติที่มีความขัดแย้งมากที่สุดในโลกแห่งยุคใหม่ก็ได้จับมือกันในการประชุมพิเศษที่สิงคโปร์เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2018 แม้ร็อดแมนจะไม่ได้เป็นหนึ่งในทีมเจรจาทางการทูตอย่างเป็นทางการ แต่ภาพนั้นก็ทำให้เจ้าตัวหลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มใจ เมื่อสิ่งที่เขาวาดภาพฝันไว้เกิดขึ้นจริง "ผมดีใจที่อเมริกาและเกาหลีเหนือจับมือกันได้ ผมอยากจะบอกทุก ๆ คนหลายครั้งแล้วว่า ผมไม่ใช่คนทรยศของประเทศ"
อัจฉริยะสำหรับ เดนนิส ร็อดแมน อาจใช่ถ้าพูดถึงในเรื่องการรีบาวด์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนนึงในประวัติศาสตร์ NBA
คนบ้าสำหรับ เดนนิส ร็อดแมน อาจใช่ถ้าพูดถึงเรื่องการแต่งตัว, สีสันทรงผม รวมถึงพฤติกรรมนอกสนามที่ห่ามจนไม่มีใครเอาอยู่
แต่สำหรับ เดนนิส ร็อดแมน ชายผู้มีสีสันใน NBA ทั้งในสนามและนอกสนาม รวมถึงสีสันมากมายหลังจากที่เลิกเล่นแล้ว ต้องบอกได้คำเดียวว่าชีวิตของเจ้าตัวนั้นมีที่มาที่ไป และมีความหมายเป็นบทเรียนให้แง่คิดต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเหตุผลที่ทำให้เป็นแบบนี้มันก็ง่าย ๆ เกินกว่าที่หลายคนจะคาดคิดเสียอีก
"จริง ๆ ผมเป็นคนขี้อายนะ ไม่กล้าทำสีผม ไม่กล้าเจาะหู ไม่กล้าแต่งตัวฉูดฉาด แต่การจะเปลี่ยนบางอย่างมันต้องทำให้สุด เพราะอิสระของชีวิตมันอยู่ที่คุณ"