มาร์ค คาเวนดิช คือหนึ่งในนักปั่นจักยานทางไกลสายสปรินท์ที่โดดเด่นที่สุดของโลก เขาคว้าเสื้อเขียว เจ้าความเร็วของศึก ตูร์ เดอ ฟรองซ์ 2 สมัย และรางวัลอะไรต่อมิอะไรมากมาย จนถึงขั้นได้รับการประดับยศ "อัศวิน" จากราชินีอังกฤษ
เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ คือตำนานที่ใครหลายคนไม่เคยรู้ ...
สิบกว่าปีก่อน เขาเป็นพนักงานออฟฟิศ นั่งติดจอคอม กินไม่ยั้ง ไม่ออกกำลังกาย และอ้วนเกินเกณฑ์ แต่เมื่อบางสิ่งเข้ามา เขาจึงรู้ว่าร่างกายของคนเรานั้นมีขีดจำกัดที่สูงเกินกว่าที่ใครจะมองเห็นมัน หากไม่มุ่งมั่นและตั้งใจจริง ๆ
นี่คือเรื่องรางของ GOAT แห่งการสปรินท์ในวงการจักรยาน ... ติดตามได้ที่นี่
วัยเด็ก...ที่เกือบหลุดโค้ง
วัยเด็กของ มาร์ค คาเวนดิช นั้นผูกพันธ์กับจักรยานมาตั้งแต่จำความได้ เขาเริ่มขี่จักรยาน BMX ตั้งแต่ยังตัวเล็ก ๆ โดยที่ที่เขาจะนัดเจอและรวมแก๊งกับเพื่อน ๆ คือศูนย์กีฬาแห่งชาติ ในเมืองดักลาส ที่เกาะแมน (Isle of Man - เกาะเล็ก ๆ ในการปกครองของสหราชอาณาจักร) ซึ่งในขณะที่เขาทำเช่นนั้นไปทุกเมื่อเชื่อวัน พ่อและแม่ของเขาก็เริ่มจะเห็นบางอย่างในตัวของเขา นั่นคือ มาร์ค คือคนที่ชอบปั่นจักรยานจริง ๆ ทว่ารถจักรยาน BMX ของเขาต้องใช้แรงเยอะมากกว่าปกติ จึงจะตามเพื่อน ๆ ที่ปั่นจักรยานเสือภูเขาเสมอ ... ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งใจซื้อจักรยานเสือภูเขาเป็นของขวัญให้ลูกชาย
"ผมปั่นจักรยานอยู่เรื่อยเลย จนวันหนึ่งแม่ของผมบอกว่า แม่ตลกมากที่เห็นผมต้องปั่นจักรยาน BMX ไล่กวดรถจักรยานของเพื่อน ผมร้องขอให้ท่านซื้อจักรยานเสือภูเขาให้ผมอยู่พักใหญ่ และสุดท้ายผมก็ได้มันมาครอบครอง"
"หลังจากได้จักรยานเสือภูเขาคันแรกในวันเกิดครบรอบอายุ 13 ปี ผมเอามันออกมาปั่นแข่งกับเพื่อน ๆ และผมสามารถเอาชนะเพื่อน ๆ ทุกคนได้นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา" คาเวนดิช กล่าว
ชัยชนะนั้นเป็นเหมือนสิ่งเสพติดสำหรับคนที่เกิดมาเป็นแชมเปี้ยน ... หลังจากนั้นเป็นต้นมา คาเวนดิช เอาจริงเอาจังถึงขั้นตั้งเป้าเป็นนักปั่นจักรยานอาชีพ เขาได้รับแรงบันดาลใจจาก เดวิด มิลลาร์ นักปั่นชาวสก็อต ที่มาแข่งรายการ Isle of Man Cycling Festival ในเกาะบ้านเกิดตอนเจ้าตัวอายุเพียง 11 ปี ความเอาจริงเอาจังนั้นถูกซึมซับมาเรื่อย ๆ จนที่สุดแล้ว คาเวนดิช เลือกเส้นทางของตัวเองด้วยการลาออกจากโรงเรียน และหางานทำด้วยการเป็นเสมียนในธนาคาร เพื่อหาเงินให้เพียงพอสำหรับความฝันในการเป็นนักปั่นอาชีพ
ทว่าชีวิตจริงไม่เคยง่าย เมื่อต้องมานั่งทำงานนั่งโต๊ะ เขาก็โดนสภาพแวดและธรรมชาติของพนักงานออฟฟิศเล่นงาน นั่นคือเมื่อทำงานติดโต๊ะอยู่ 2-3 ปี เขาก็ออกกำลังกายน้อยลง กินมากขึ้น และสิ่งที่ตามมาคือน้ำหนักตัวที่อ้วนขึ้น จนไม่สามารถปั่นจักรยานได้ดีอย่างเดิม
มาร์ค คาเวนดิช อาจจะไม่เคยบอกว่าเขาอ้วนขนาดไหน แต่เขาให้สัมภาษณ์ว่า "I'm Fat Banker" (พนักงานธนาคารตัวอ้วน) ซึ่งถึงตอนนั้น เขาก็เกือบหลุดจากเส้นทางที่ตนเองเคยฝันแล้ว จนกระทั่งเขาได้พบเจอกับใครคนหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตเขาโดยแท้จริง
ผู้หญิงเปลี่ยนโลก
"ตอนนั้นอายุ 16 ปีเห็นจะได้มั้ง ผมเองห่างจากวงการปั่นจักรยานพอสมควรเลย ผมเป็นเสมียนในธนาคาร บาร์เคลย์ กิน ๆ นั่ง ๆ จนมีร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์เลยทีเดียว"
"มื้อเที่ยงของงานจะมีเวลาให้กินราวครึ่งชั่วโมงแต่ผมจัดเต็มมาก กิจวัตรคือการซื้อแซนด์วิชกุ้ง พร้อมมันฝรั่งอบกรอบอีก 1 ห่อใหญ่ ... ตอนนั้นผมยอมรับเลยว่าผมเสพติดจังค์ฟู้ด (อาหารขยะ) ... มันเป็นมาจนถึงทุกวันนี้ เวลาเห็นขนมห่อพวกนั้นเหมือนมันกำลังส่งเสียงเรียกผมอยู่" คาเวนดิช กล่าวอย่างอารมณ์ดี
หากใครที่เคยได้เข้าวงการเด็กอ้วน หากินของอร่อย และขี้เกียจออกกำลังกายแล้ว จะเข้าใจดีว่าการลุกออกจากเก้าอี้ทำงานมาออกกำลังกายมันยากขนาดไหน ใครสักคนที่เอาชนะความขี้เกียจได้ นั่นหมายถึงว่าคน ๆ นั้นจะต้องเป็นคนที่มีแรงจูงใจชัดเจนถึงขีดสุดจริง ๆ
คาเวนดิช ยังคงทำงานไป ซ้อมปั่นจักรยานแบบสมัครเล่นไป แม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์และพลังอยู่บ้าง จนสามารถเก็บเงินเเล้วคัดเลือกเข้าสู่ British Cycling เข้าไปอยู่ใน Olympic Academy ซึ่งถือเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะก้าวมาเป็นนักปั่นระดับโลก ... แม้จะเข้าไปได้แบบฉิวเฉียด เพราะเจ้าตัวสอบตกในการปั่นจักรยานอยู่กับที่ ทว่าทีมโค้ชไปขอร้องกับผู้อำนวยการสถาบันให้เก็บตัวไว้เพราะเห็นถึงศักยภาพ
การได้รับการร้องขอครั้งนี้เปรียบเหมือนโอกาสที่ 2 ที่ คาเวนดิช จะพลาดอีกไม่ได้อีกต่อไป เขามุ่งมั่นในการปั่นจักรยานอย่างเต็มที่ แต่วินัยในเรื่องอาหารการกินนั้นยังแก้ไขได้ไม่เต็มร้อย เนื่องจากปีศาจจังค์ฟู้ดยังตามหลอกหลอนเขา พวกขนมกรอบ ขนมถุงยังเป็นสิ่งที่เขาตัดใจจากมันไม่ได้ และนั่นทำให้ คาเวนดิช ไปไม่สุดทางเสียที
ในช่วงการเทิร์นโปรเข้าสู่นักปั่นอาชีพในปี 2005 ความเก่งของ คาเวินดิช เริ่มฉาย แต่มันยังไปได้ไม่สุดทางอย่างที่เขาหวัง เพราะสำหรับนักปั่นในสไตล์ที่ทุ่มพลังไปกับการสปรินท์นั้น เป้าหมายคือการลบคำปรามาสในรายการจักรยานทางไกลอย่าง ตูร์ เดอ ฟร้องซ์ นั่นเอง
ช่วงของการพักร้อนในปี 2006 เขาได้พบกับใครสักคนที่สามารถผลักดันตัวเขาได้ดียิ่งกว่าใคร ๆ ที่เขาเคยพบเจอ ... เขาไปที่ สหรัฐอเมริกา และพบกับคนที่จะมาเป็นภรรยาของเขาในอนาคต
มาร์ค โชคดีที่ได้พบกับผู้หญิงที่ชื่อว่า พีต้า ในระหว่างที่เขาเดินทางไปพักร้อนที่ ลอส แอนเจลิส ทั้ง 2 คนเจอกันที่ท่าเรือ ซานตา โมนิกา และสานสัมพันธ์กันด้วยเดทแรก จากนั้นก็เริ่มคบหาดูใจกันเรื่อยมา
ไลฟ์สไตล์ของกันและกันคือเรื่องสำคัญมากสำหรับชีวิตคู่ มาร์ค ไม่เคยเจอความรักในแบบที่ พีต้า ให้ เธอเคยเป็นลูกชาวไร่ที่ชอบทำอาหารกินเองที่บ้าน และเมนูที่บ้านของ พีต้า ก็กลายมาเป็นสิ่งที่เธอนำมาวางบนโต๊ะอาหารให้กับ คาเวนดิช แทน ... จากคนกินจังค์ฟู้ดเต็มระบบ คาเวนดิช ได้รับการจัดเมนูสุขภาพตามฉบับชาวไร่แบบไม่เว้นแต่ละวัน
"ผมเดทกับ พีต้า ที่ร้านของเชฟ อกอสติโน ซิอันดรี ซึ่ง แม็กซ์ ลูกชายของเขาเคยคว้าเหรียญทองแดง (จักรยาน โรดเรซ) ใน แอตแลนต้า เกมส์ ปี 1996 หลังไปที่นั่น เราได้สูตรอาหารแบบทัสคานีมา จากนั้นเราก็ได้สูตร 'อาหารแบบชาวไร่' ที่ใช้ส่วนผสมที่หาได้ง่าย ผ่านการปรุงน้อยมาก บางครั้งก็แค่ผักสดคลุกกับน้ำมันและน้ำส้มสายชูนิดหน่อยก็อร่อยแล้ว"
"หลังจากนั้น เมื่อผมแต่งงาน พีต้า ก็เข้ามาควบคุมอาหารการกินของผม เธอเหลือเชื่อมาก ๆ เธอมีสูตรอาหารที่แตกต่างกันมากมาย เปลี่ยนสูตรการทำทุกวัน ผมได้เรียนรู้ว่าตัวเองเคยกินโปรตีนจากสิ่งไหน ควรรักษากล้ามเนื้อส่วนใดบ้าง"
การเจอกับ พีต้า ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของ มาร์ค คาเวนดิช อย่างแท้จริง มื้ออาหารของเขาถูกจัดให้อย่างเหมาะสม เพราะ พีต้า นั้นก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ จากการที่เธอเป็นคอลัมนิสต์ด้านอาหารของหนังสือพิมพ์หัวใหญ่ของอังกฤษอย่าง The Sun
ซึ่ง คาเวนดิช เล่าว่าอาหารการกินของเขาที่ พีต้า จัดให้แตกต่างกับนักปั่นจักรยานคนอื่น ๆ เนื่องจากเธอเอาสัดส่วนและน้ำหนักของเขาไปคำนวนเพื่อเตรียมอาหารที่เหมาะสมและเพิ่มประสิทธิภาพได้ดีที่สุด
พีต้า ทำให้ คาเวนดิช ได้กินของที่มีประโยนช์และส่งผลโดยตรงต่อการฝึกซ้อมของเขา ซึ่งนั่นคือขุมพลังสำคัญที่ทำให้เขากำลังจะเจอเส้นทางที่ยิ่งใหญ่ที่ตนเองฝันมาตลอด
เทพเจ้าแห่งการสปรินท์
คาเวนดิช หลับหูหลับตาฝึกอย่างหนักหน่วง เพราะว่ากันกันว่าหลักสูตรการสอนเพื่อยกระดับนักกีฬาที่นี่ไม่ต่างจากเผด็จการ เมื่อได้รับคำสั่งต้องทำตาม ซึ่งในแต่ละปีก็มีคนถอดใจเยอะ แต่ไม่ใช่สำหรับ คาเวนดิช ที่นอกจากจะพยายามในส่วนของการฝึกซ้อมแล้ว เขายังเคยต้องรับงานเป็นเจ้าหน้าที่ทำความสะอาด และพนักงานโรงอาหารในสถาบัน เพื่อรับค่าจ้างราว 60 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ใช้เป็นค่ากินอยู่อย่างประหยัด
คาเวนดิช เล่าว่าเขาซ้อมปั่นจักรยานราว ๆ วันละ 7 ชั่วโมงแบบเต็ม ๆ ซึ่งสิ่งที่เขาปลดล็อกได้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการแข่งขันปั่นจักรยานนั่นคือการ สปรินท์ หรือการเร่งความเร็วแบบเฉียบพลัน ซึ่งต้องใช้พลังงานในการปั่นสูงมาก และร่างกายของ คาเวนดิช ที่กินดี อยู่ดี และ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงตารางการฝึกซ้อมที่เน้นเรื่องกำลังขาในการปั่นขึ้นเนินเขาที่มีความชันสูง ทำให้เขาสามารถมีระยะสปรินท์ได้ไกลกว่าคนอื่น ๆ ในสถาบันทั้งหมด
"การฝึกซ้อมของเราเป็นการฝึกที่เข้มข้นมาก เราต้องสปรินท์กันแทบจะทั้งวันทั้งขึ้น ให้อีกคนหนึ่งเป็นคนนำและให้อีกคนปั่นแซงให้ได้ คำแนะนำเดียวที่ผมได้จากการฝึกซ้อมคือ 'ออกไปปั่นให้หนัก ๆ เข้าไว้' เดี๋ยวทุกอย่างจะดีเอง ส่วนเรื่องพรสวรรค์อย่าไปสนมันเลย"
"ผมมักจะได้รับการเน้นให้สปรินท์ในช่วงโค้งสุดท้ายของการแข่งขันเสมอ ผมพยายามฝึกให้ได้เกินระยะกับคนอื่น ๆ แม้กระทั่งในการแข่งขัน ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ที่คนอื่นสปรินท์กันได้ในระยะ 150-250 เมตรแบบสุด แต่ผมคิดว่าผมสามารถทำได้อย่างต่ำ ๆ ก็ 300 เมตรเสมอ"
เป็นที่เข้าใจในหมู่คอจักรยานว่า ชื่อของ มาร์ค คาเวนดิช นั้นคือหนึ่งใน "GOAT" หรือเก่งที่สุดตลอดกาลด้านการสปรินท์โดยตรง เทคนิคการปั่นของเขาและการเร่งสปีดอันเป็นตำนาน ถือเป็นทักษะที่เมื่อเขาปลดล็อกได้แล้ว ทุกอย่างก็สยบใต้แทบเท้าอย่างแท้จริง
จุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของเขาเกิดขึ้นเมื่อปี 2005-2006 เมื่อเขาสามารถคว้าแชมป์โลกจักรยานลู่ในประเภทเมดิสัน พร้อม ๆ กับการก้าวสู่วงการจักรยานถนนระดับมืออาชีพ และหลังจากนั้น เจ้าตัวก็กลายเป็นสปรินท์เตอร์ตัวฉกาจ ที่กวาดความสำเร็จมาแล้วทุกสนาม
เสื้อเจ้าความเร็วตัวแล้วตัวเล่า ถูกเขานำมาใส่กรอบติดไว้ที่บ้าน รวมถึงเสื้อเขียว เจ้าความเร็วในจักรยานทางไกลรายการที่เก่าแก่และโหดที่สุดในโลกอย่าง ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ที่ทำได้เมื่อปี 2011 และ 2021 ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าตัวยังคว้าแชมป์สเตจรายการนี้ตลอดอาชีพได้มากถึง 35 ครั้ง ทุบสถิติของตำนานอย่าง เอ็ดดี้ เมิร์กซ์ ที่ทำไว้ 34 ครั้งเป็นที่เรียบร้อย
แต่หากจะถามว่าเสื้อตัวไหนที่ มาร์ค คาเวนดิช ภูมิใจที่สุด คำตอบนั้นเจ้าตัวบอกเองว่า คือเสื้อเหลือง ที่สงวนไว้สำหรับเฉพาะผู้ทำเวลารวมเร็วที่สุดใน ตูร์ เดอ ฟรองซ์ เท่านั้น ... นี่คือเสื้อที่เหล่าสปรินท์เตอร์ได้เพียงแค่ฝัน เพราะโดยปกตินักจักรยานอาชีพจะถูกฝึกให้เด่นแค่ด้านใดด้านหนึ่งเพียว ๆ ซึ่งส่วนใหญ่คนที่ได้สวมเสื้อนี้ มักเป็นนักปั่นที่ทำผลงานไต่เขาได้ดี แต่ที่สุดแล้ว เขาก็คว้ามันมาได้ 1 ตัว จากการคว้าแชมป์สเตจแรกเมื่อปี 2016
ถึงอายุจะล่วงเลยสู่วัย 39 ปีแล้วในตอนนี้ แต่ชื่อของ มาร์ค คาเวนดิช ยังเป็นตัวเต็งในทุกสนามที่ลงแข่งขัน เพราะแม้หลัง ๆ จะมีอาการบาดเจ็บรบกวนเป็นระยะ แต่ความสำเร็จหลังยุค 2010s ถือว่าเขานั้นเป็นเบอร์ 1 ของวงการในสายเจ้าความเร็วก็ว่าได้
นอกจากความสำเร็จในแง่การแข่งขันแล้ว เขายังเป็นบุคคลแบบอย่างของสังคม ในแง่การปฎิบัติตัวแบบมืออาชีพ ได้รับรางวัล BBC Sports Personality of the Year Award ในปี 2011 และเพิ่งได้รับการประดับยศเป็น อัศวิน ประดับคำว่า เซอร์ ที่หน้าชื่อเมื่อปี 2024 นี้เอง
เหนือสิ่งอื่นใด ชีวิตของคนเราล้วนต้องการจุดเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย เพื่อสร้างอิมแพกต์ที่ยิ่งใหญ่เกินใครจะคาดเดาได้
ใครจะคิดว่าหนุ่มออฟฟิศน้ำหนักเกินเกณฑ์จะเปลี่ยนไปภายในเวลาไม่กี่ปี ... ผู้หญิง 1 คน, อาหาร 1 มื้อ และ บรรยากาศดี ๆ สัก 2-3 ชั่วโมง มากพอที่จะทำให้ มาร์ค คาเวนดิช ระลึกขึ้นมาได้ว่าฝันที่แท้จริงของเขาคืออะไร ... ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเขาก็หามันเจอ และทะยานไปคว้ามันได้อย่างยิ่งใหญ่ สมราคาแชมป์อย่างแท้จริง
แหล่งอ้างอิง
https://www.cyclingnews.com/features/mark-cavendish-from-fat-banker-to-sprinting-goat/
https://www.theguardian.com/lifeandstyle/2016/jun/19/mark-cavendish-crisps-junk-food
https://www.mensjournal.com/sports/pro-cyclist-mark-cavendishs-diet-rules/
https://en.wikipedia.org/wiki/Mark_Cavendish
https://www.active.com/cycling/articles/mark-cavendish-s-secret-to-sprint-training