Feature

ฝันที่ไม่กล้าฝัน ก็อต กูนเนอร์ กับฝันที่อาร์เซน่อลกำลังทำให้เป็นจริง | Main Stand

คุณเคยคิดมาก่อนไหมว่า อาร์เซนอล จะกลายมาเป็นทีมที่ลุ้นแย่งแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ !?

 


หมายถึง … แมนฯ ซิตี้ ในยุคที่มีเครื่องจักรสังหารอย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ โดยมี เป๊ป กวาร์ดิโอลา อาจารย์ของ มิเกล อาร์เตต้า เป็นคอนดักเตอร์น่ะ 

ถ้าคุณตอบว่า คิด มันอาจแปลว่าคุณมี DNA ความเป็นผู้ชนะอยู่ในตัวสูงลิบหรือเป็นคนที่ชอบความท้าทายเป็นทุนเดิม แต่ถึงตอบว่า ไม่ ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณผิดปกติ

เพราะแม้แต่ "ก็อต กูนเนอร์" คนที่ถวายหัวจิตหัวใจให้อาร์เซนอล ผู้ซึ่งไม่เคยแม้แต่จะฝันสักนิดว่าความสำเร็จของทีมรักจะมาถึงในเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้

แต่ในตอนนี้แม้สถานการณ์ลุ้นแชมป์จะมี แมนฯ ซิตี้ ทำแต้มรดต้นคอ แต่ชายผู้นี้ยังไม่ยอมธงขาวและเชื่อว่าวันที่ทัพปืนใหญ่จะกลับมาเกรียงไกรอยู่ใกล้แค่เอื้อม อะไรคือสิ่งที่ทำให้ คุณก็อต และ เหล่ากูนเนอร์ เชื่อมั่นศรัทธาในทีมและขุมกำลังหนุ่มของ มิเกล อาร์เตต้า มากมายเพียงนี้ หาคำตอบไปพร้อม ๆ กับ Main Stand 

 

การมาของ  Winning Mentality! 

ย้อนไปปลายฤดูกาล 2021-22 อาร์เซนอลเสียตำแหน่งท็อปโฟร์ไปแบบเฉียดฉิวอีกครั้ง นำมาซึ่งการเสริมทัพ ทั้ง กาเบรียล เชซุส, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ และ ฟาบิโอ วิเอร่า 

มันอาจจะไม่ใช่การเสริมเบอร์ใหญ่เบอร์โตเท่าคู่แข่งทีม (ลุ้นแชมป์) อื่น ๆ และแฟนบอลทั่วไปก็คิดเพียงว่านักเตะเหล่านี้ย้ายมาเพียงเพราะต้องการการันตีตำแหน่งตัวจริงเท่านั้น ไม่ได้มาเพราะคิดการณ์ไกลว่าจะพาอาร์เซนอลไปถึงแชมป์ แต่ไอ้ความไม่คาดหวังนั้นกลับนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมาย 

เหนือความคาดหมายแค่ไหนน่ะเหรอ ?

"โอโห้! เซอร์ไพรส์นะ ผมเซอร์ไพรส์มาก เพราะการมาของนักเตะแค่ 2 คนที่เราคิดว่าเขาจะให้เราได้แค่เรื่องของฝีเท้า เรากลับได้ Winning Mentality มาด้วย" 

คุณก็อต - กุลเดช ถิรชานนท์ เจ้าของเพจ Got Gooner เล่าด้วยความตื่นเต้น หลังเราถามสารทุกข์สุขดิบเรื่องการทำงาน แล้วเลยเถิดไปถึงเรื่องเพอร์ฟอร์แมนซ์ของอาร์เซนอลในซีซั่นนี้ 

ในฐานะที่แฟนปืนใหญ่หลายคนจะรู้จัก ก็อต กูนเนอร์ ดีอยู่แล้ว ว่าเขาเคยเป็นอดีตนักข่าวสยามกีฬาที่หลงรักอาร์เซนอลมาตั้งแต่ปี 2001 ก่อนจะมาเปิดเพจนาม Got Gooner เป็นของตัวเอง ดังนั้นเราจะไม่ขอเท้าความไปถึงอัตชีวประวัติหรือจุดเริ่มต้นในการเชียร์อาร์เซนอล เพราะคุณก็อตเล่าถึงความเป็นปัจจุบันของอาร์เซนอลได้ฟูลฟิลสุด ๆ! 

"ถ้ามาถามผมตอนปลายซีซั่นที่แล้วว่านึกถึงการลุ้นแชมป์ไหม ผมคงแบบ เฮ้ย! มันจะเป็นได้เหรอวะ ผมเชื่อว่าถามใครใครก็ไม่คิด (ขำ) ตอนนั้นเราจบอันดับ 5 เพราะทำแต้มหล่น มีแต้มน้อยกว่าสเปอร์ส 2 แต้ม เราก็คิดแค่ว่าฤดูกาลต่อไปลุ้นท็อปโฟร์ก็เกินฝันมาก ๆ แล้ว" 

"แต่พอเชซุสและโดยเฉพาะซินเชนโก้เข้ามา มันเปลี่ยนความเป็นทีมเดิม ๆ ของเราไปเลย คิดภาพออกไหมครับว่าพอมีนักเตะจากทีมที่เคยเป็นแชมป์เข้ามา แล้วมาบอกเราว่า เฮ้ย! ศักยภาพคุณเนี่ยมันไม่ใช่แค่ทีมจะมาลุ้นท็อปโฟร์นะ มันเป็นทีมที่ลุ้นแชมป์ได้เลย มันเลยทำให้เรามีความเชื่อมั่น" 

"ประกอบกับอาร์เซนอลมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก (เดือน ก.พ.) ที่สะดุด 3 นัดติด แพ้เอฟเวอร์ตัน, เสมอเบรนท์ฟอร์ด และแพ้แมนฯ ซิตี้ แต่เราก็กลับมาชนะ 7 นัดรวด มันเลยทำให้เราเซอร์ไพรส์และจริง ๆ ว่านอกจากฝีเท้าที่เราได้มาจากซินเชนโก้แล้ว มันยังมีความเชื่อมั่นที่ทำให้ทุกคนในทีมไปต่อได้"

"เห็นที่ซินเชนโก้ให้สัมภาษณ์ไหมครับ ที่เขาบอกว่าเขาบอกเพื่อนในห้องแต่งตัวว่าอาร์เซนอลมีดีพอจะลุ้นแชมป์ แล้วทุกคนหัวเราะ ไม่มีใครเชื่อเขา แต่เขาก็ยังพร่ำบอกให้ทุกคนเชื่อมั่น แล้วเขาก็เชื่อมั่นแบบนั้นไปจนสุดทาง ซึ่งไอ้คำที่เขาพูดน่ะ คำพูดปลุกใจจากปากนักเตะที่เคยเป็นแชมป์มาแล้ว มันทำให้ทีมยกระดับมาถึงจุดนี้ได้จริง ๆ" 

คุณก็อตเล่าอีกว่า ถ้าจะให้พูดถึงจุดที่กล้าฝันว่าจะไปถึงแชมป์จริงแล้วล่ะก็ คงเป็นเกมที่ อาร์เซนอล ชนะ ลิเวอร์พูล 3-2 เมื่อเดือนตุลาคมปี 2022 เพราะปืนใหญ่ไม่เคยชนะหงส์แดงในเอมิเรตส์ สเตเดียม มาก่อน กลายเป็นว่าเกมนั้นได้เห็นอะไรหลายอย่าง โดยเฉพาะ Mentality ของคนที่ไม่ยอมแพ้ มันเลยทำให้เราเชื่อแบบที่ซินเชนโก้บอกว่า เรามีดีพอที่จะกล้า (แอบ) ฝันไปถึงแชมป์ได้ ย้ำ! ต้องใช้คำว่า กล้าที่จะแอบฝัน ก่อนนะ 

อ้าว! แล้วอะไรที่ทำให้ Got Gooner ฝันได้โดยไม่ต้องแอบล่ะ ?

 

เวลาเท่านั้นที่ Knock Everything 

คำตอบคือ เวลา … จริงอยู่ว่าทัศนคติและความคิดในแบบผู้ชนะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้นักเตะชุดนี้เติบโต กล้าคิดการใหญ่ และหิวกระหายชัยชนะมากขึ้น 

แต่ฟุตบอลมันก็ต้องขึ้นอยู่กับคำว่าฟุตบอลเป็นหลัก ต่อให้คุณมี Winning Mentality แต่เตะบอลไม่เป็น ไม่เข้าใจแผนการเล่น หรือแทคติกไม่เวิร์ก มันก็ไปไม่ถึงคำว่าแชมป์ 

คุณก็อตอธิบายข้อนี้ได้แจ่มชัดว่าต้องขอบคุณบอร์ดบริหารที่ให้โอกาสและเวลากับ มิเกล อาร์เตต้า จนเขาได้ผู้เล่นที่เข้ากับระบบการเล่นของเขาอย่างลงตัว 

หากยังจำกันได้ในการคุมทีมช่วงแรก อาร์เตต้า พาทีมคว้าแชมป์ FA Cup ฤดูกาล 2019-20 นั่นคือการจุดประกายความคาดหวังว่า หลังจากนี้เขาจะพาทีมไต่ขึ้นไปสู่จุดที่ดีที่สุดได้อีกครั้ง 

แต่ทุกอย่างมันกลับตาลปัตร ทีมจบด้วยอันดับ 8 ในลีก ไม่ได้ไปเล่นในฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกนับจากปี 1995 และอาร์เตต้ามีช่วงที่ไม่สามารถพาทีมชนะได้ต่อเนื่องหลายเกมจนถูกกระแสกดดันให้ลาออก แฟนบอลพร้อมใจติด #ArtetaOut ในโซเชียลมีเดีย และหนักข้อถึงขั้นจ้างเครื่องบินติดป้ายไล่อาร์เตต้าบินเหนือสนามก่อนการแข่งขัน 

แต่เมื่อบอร์ดบริหารมีน้ำอดน้ำทน ยอมให้วันเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ อาร์เตต้าก็ตอบแทนความไว้วางใจเหล่านั้นได้ในที่สุด 

"บอร์ดเขาให้เวลาอาร์เตต้ามากพอจนเจอแผนที่สมบูรณ์ จริง ๆ วันแรกที่อาร์เตต้ามา เขาอยากเล่น 4-3-3 แบบที่ แมนฯ ซิตี้ เคยเล่น แต่ว่ามันต้องใช้ผู้เล่นเฉพาะเจาะจงแต่ละตำแหน่ง 5-6 คน มันเลยต้องใช้เวลาคลำ คลำผู้เล่นเข้า เคลียร์ผู้เล่นออก จะเห็นว่าเดี๋ยวอาร์เตต้าก็ใช้แผน 4-2-3-1 บ้าง 3-4-3 บ้างล่ะ กว่า 4-3-3 มันจะดีขึ้นคือครึ่งหลังของฤดูกาลที่แล้ว แล้วฤดูกาลนี้มันถึงมีตัวที่เล่นเข้ากับระบบจริง ๆ อย่าง ซินเชนโก้ ที่เล่นเป็นอินเวิร์ตฟูลแบ็ก หรือฟูลแบ็กที่ขยับเข้ามาด้านในเพื่อบิวต์เกม หรือจะ เชซุส ที่เป็นกองหน้าที่มีความหลากหลายสูงมาก ดังนั้นมันคือเรื่องฟุตบอลด้วยที่มันเติบโตมาจนถึงจุดที่มันเหมาะสมและการเสริมทัพที่มันเข้าที่เข้าทาง ดาวรุ่งอย่าง ซาก้า กับ มาร์ติเนลลี่ ก็ดีขึ้น ชาก้า กับบทบาทใหม่เล่น Box to Box กับระบบ 4-3-3"

"แล้วมันก็บวกกับความเชื่อมั่นจากคนที่เคยเป็นแชมป์จาก แมนฯ ซิตี้ ที่เราเคยมองว่าเขาอยู่ไกลเกินกว่าเรามาก มาบอกว่าเราเก่งพอที่จะสู้ได้ ประกอบกับคุณภาพที่มันสุกงอมพอดี มันเลยทำให้อาร์เซนอลมาถึงจุดนี้ จุดที่เราเองก็กล้าฝันได้แล้วจริง ๆ" 

คำว่ากล้าฝันคือการไม่หันหลังกลับไปมองคำว่าท็อปโฟร์อีกแล้ว ฤดูกาลนี้คุณก็อตบอกว่า แฟนบอลอาร์เซนอลทิ้งคำว่าท็อปโฟร์ไว้ข้างหลังแล้วเรียบร้อย ตอนนี้เหลือเพียงคำว่า แชมป์ และ การไปยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้าเท่านั้น 

 

อาร์เตต้า เยียวยาทุกสิ่ง 

อีกปัจจัยสำคัญที่เป็นกุญแจไขหีบความฝันของแฟนปืนใหญ่ คือการอยู่ต่อของ กรานิต ชาก้า หากยังจำกันได้เขาเองก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากไม่น้อย ทั้งด้วยเรื่องของการยืนตำแหน่ง นำมาสู่ผลงานส่วนตัวที่ไม่สู้ดี มีใบเหลือง-ใบแดง ติดต่อกันแทบจะทุกนัด จนถูกวิจารณ์เสีย ๆ หาย ๆ ลามปามไปถึงภรรยาและลูก ทำให้เขาตอบโต้จนแตกหักกับแฟนบอลชนิดที่เขาเปิดปากยอมรับว่า แก้วที่แตกแล้วมันคงกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีก 

ทว่า อาร์เตต้า คือคนที่เปลี่ยนใจและเปลี่ยนแปลง กรานิต ชาก้า จนนำมาสู่บทบาทใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิม 

"จริง ๆ ก่อนเริ่มฤดูกาลที่แล้วชาก้าเกือบจะย้ายไปโรม่าแล้วนะครับ ผมจำได้ที่ภรรยาของชาก้าเคยให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตาเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเธอบอกว่าคนที่กล่อมให้ชาก้าอยู่อาร์เซนอลต่อคือ มิเกล อาร์เตต้า อาร์เตต้าบอกชาก้าว่าเขาสามารถชนะใจแฟนบอลได้โดยใช้ผลงานในสนาม และชาก้าก็เงียบแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างหนัก" 

"จนกระทั่งวันที่เขาทำได้ ถ้าผมจำไม่ผิดเกมที่ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เขายิงไกลปลายซีซั่นที่แล้ว ชาก้าก็ให้สัมภาษณ์ว่า เขาต้องการให้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ และอยากให้แฟนบอลเห็นว่าเมื่อเขากลับมาทำผลงานได้ดีแล้วเขาจะสามารถพูดถึงเรื่องที่เคยทะเลาะกับแฟนบอลได้อย่างไม่เจ็บปวดอีก เพื่อให้แฟนบอลคิดได้ว่ามันไม่ควรจะมีเหตุการณ์ที่มานั่งด่ากันจนลืมว่าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์เกิดขึ้น คำด่าและการคุมคามแบบนั้นมันไม่ควรเกิดขึ้นกับนักเตะคนไหนอีกแม้ว่าใครจะทำผิดพลาดก็ตาม" 

ทัศนคติของชาก้าบวกกับแผน 4-3-3 ที่เขาได้ยืนในตำแหน่งที่สูงขึ้นในบทบาทหมายเลข 8 ทำให้ กรานิต ชาก้า กลับมาทำผลงานได้ดีขึ้น และมากขึ้นไปอีกเพราะเขามีความสุขกับบทบาทนี้ 

แข้งชาวสวิสเคยให้สัมภาษณ์ว่า มันเป็นตำแหน่งที่เขารู้สึกว่ามีอิสระและสนุก สนุกกับแทคติก สนุกกับเพื่อนร่วมทีม เขามีความสุข และความสุขนั้นคือสิ่งที่หนุนให้นับวันชาก้ายิ่งมีแต่แฟนบอลรักและยอมรับว่าเขาคือคนสำคัญของทีม 

 

แผนงานของเอดู สู่ฤดูกาลแห่งความสุข 

นั่นคือผลสัมฤทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้า เรามาว่ากันถึงเบื้องหลังกันบ้าง แน่นอนว่าบอร์ดบริหารคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญอย่างที่กล่าวไป แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นอาจไม่นำมาซึ่งการเริ่มต้น หากไม่มีแผนงานของ เอดู กาสปาร์ ผอ. เทคนิคคนแรกของสโมสร ที่วางกรอบกำหนดไว้ว่าจะต้องพาปืนใหญ่กลับไปสู่การลุ้นแชมป์ให้ได้ในปี 2024 

"ธันวาคมปี 2019 แผนงาน 5 ปีของเอดูเริ่มต้น เป็นแผนที่ไม่ได้มองแค่ท็อปโฟร์ แต่เป็นการพาทีมกลับไปลุ้นแชมป์ ตอนแรกเราก็ไม่เชื่อ แต่เขาบอกชัดเจนเลยว่าแผนงานของเขาต้องเริ่มจากกุนซือที่มีแนวทางชัดเจน อย่าง อูไน เอเมรี่ แนวทางไม่ชัดเจนมันเลยสร้างทีมด้วยกันยาก แต่พอเป็นอาร์เตต้าทุกอย่างมันชัด แนวทางการเลือกผู้เล่นและวิธีการเล่น พอเริ่มออกสตาร์ทแล้วทุกอย่างมันก็ยิ่งค่อย ๆ ชัดและสวยงาม มีสถิติสโมสรเกิดขึ้นมากมาย เราชนะลิเวอร์พูลได้จากที่โดนถล่มมาตลอด จนเรามีความสุขสุด ๆ เราคาดหวังกับมันได้อย่างที่เอดูเขาวางแผนไว้จริง ๆ" 

แม้ความคาดหวังที่ว่าจะมาพร้อมกับความความกดดันที่คุณก็อตยอมรับว่า ในวันที่ทีมพ่ายแพ้หรือสะดุดอย่างในช่วงสองเกมหลังสุด มันก็ทำให้เลือดลมไม่ค่อยเดิน จิตใจห่อเหี่ยวไปบ้าง แต่อย่างน้อยเขาเชื่อว่าแฟนบอลอาร์เซนอลทุกคนสามารถพูดคำว่า ฤดูกาลแห่งความสุข ได้เต็มปาก 

"อย่างน้อยฤดูกาลนี้เราก็ได้ดูบอลแบบมีความสุขในรอบ 10 ปี เพราะอาร์เซนอลใกล้เคียงต่อการลุ้นแชมป์สุดก็น่าจะเป็นปี 2007-08 ที่ เอดูอาร์โด้ ซิลวา ขาหัก แล้วความสุขมันมาเร็วจริง ๆ จากต้นซีซั่นที่แล้ว ตอนนั้นยังอาร์เตต้าเอาท์กันอยู่เลย นึกว่าอาร์เตต้าจะไม่ได้อยู่แล้ว แต่มันกลายเป็นว่าตอนนี้เรามีความสุข เราดูฟุตบอลที่เล่นสนุก เราสู้กับทีมที่เราเคยมองว่า โอ้โห อีกกี่ปีเราจะไปถึงเขามั๊ยวะ อย่าง ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ งี้ กลายเป็นว่าเราสู้เขาได้ เรามีลุ้นแชมป์ได้ พูดแล้วผมยังขนลุกอยู่เลย มันเป็นอะไรที่มีความสุขสุด ๆ จริง ๆ" 

"และผมอยากฝากถึงแฟนบอลอาร์เซนอลทุกคนว่า ถึงแม้ว่าเราจะมีช่วงเวลาที่เจ็บปวด และเราอาจจะไม่ได้ไปถึงแชมป์ แต่อย่างน้อยเราก็มองกลับไปได้ว่า โอ้โห … เรามาไกลนะ เรามาไกลมากจากตอนที่เวนเกอร์วางมือ และเรายังสามารถต่อยอดทีมชุดนี้ไปได้อีก เพราะทีมชุดนี้เป็นทีมพลังหนุ่ม และถ้าเรามีความเชื่อมั่นแบบที่ซินเชนโก้บอก วันหนึ่งเราก็จะไปถึงมันได้" 

คุณก็อตทิ้งท้ายอย่างหนักแน่นว่ายังไม่ยอมยกธงขาว แม้ทีมจะเพิ่งสะดุด และใครจะมองว่าประสบการณ์ตรงจุดนี้ของอาร์เซนอลมีน้อยกว่า แมนฯ ซิตี้ ก็ตาม

เพราะในเมื่อรสชาติของทีมชุดนี้มันกลมกล่อมลงตัวนัวววววซะขนาดนี้แล้ว จะไม่ให้หวังไกลในฤดูกาลนี้ แล้วจะให้ไปหวังเอาตอนไหนล่ะ จริงไหม ? 

Author

กุลญา กระจ่างกุล

นักข่าวสาวเสียงอีสาน โปรดปรานกีฬาม่วนๆ ชอบชวนคุ้ยป่น ไม่อดทนเผด็จการ

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา