Feature

เอฟเวอร์ตันโดนตัด 10 แต้ม : กระทบชิ่งแมนฯ ซิตี้ และเชลซี มากน้อยแค่ไหน ? | Main Stand

กลายเป็นข่าวสะเทือนวงการลูกหนังอังกฤษอยู่ไม่น้อย เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2023 พรีเมียร์ลีกออกประกาศ ตัดแต้มสโมสรเอฟเวอร์ตัน 10 แต้ม ข้อหาละเมิดกฎการเงินไฟแนนเชียล แฟร์เพลย์ หรือ FFP โดยตรวจพบว่าทัพทอฟฟี่สีน้ำเงิน มีผลประกอบการขาดทุนสูงเกินกว่ามาตรฐานที่ทางฝ่ายจัดการแข่งขันลีกสูงสุดของอังกฤษกำหนด 

 

และในระหว่างที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น บรรดาผู้สันทัดกรณีในวงการต่างก็พร้อมใจกันแสดงมุมมองซึ่งกระทบชิ่งไปยังสองสโมสรดังของลีกอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี ที่ต่างมีข่าวเกี่ยวโยงกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ แบบไม่ชอบมาพากลอยู่บ่อยครั้ง จนกลายเป็นบทวิเคราะห์และคำถามปลายเปิดที่ตามมาว่า ทั้งเรือใบสีฟ้าและสิงห์บลูส์มีความผิดตามเอฟเวอร์ตันหรือไม่ อย่างไร

ทำไม แมนฯ ซิตี้ และ เชลซี ถึงมีโอกาสโดนหางเลขจากเคสของเอฟเวอร์ตันไปด้วย และถ้าพรีเมียร์ลีกได้รับการยืนยันว่าทั้งสองทีมมีความผิดกฎการเงินจริง พวกเขาจะโดนโทษอะไรบ้าง มาวิเคราะห์และติดตามไปพร้อม ๆ กันไปกับ Main Stand

 

ทอฟฟี่สีน้ำเงิน กับ 10 แต้มที่หายไป

ใครที่เป็นคอบอลพรีเมียร์ลีกคงทราบเรื่องราวนี้กันแล้ว เมื่อ เอฟเวอร์ตัน ถูกพรีเมียร์ลีกประกาศตัด 10 แต้มในฤดูกาล 2023/24 โดยมีผลทันทีก่อนถึงแมตช์เดย์ในวันที่ 26 พฤศจิกายน ที่ทีมจะเจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เหตุผลที่พลพรรคทอฟฟี่สีน้ำเงินถูกโทษแรงในครั้งนี้ก็เพราะสโมสรไปละเมิดกฎการเงินของทางพรีเมียร์ลีกที่มีชื่อว่า Profit and Sustainability Rule หรือ PSR โดย PSR มีกฎระบุไว้อย่างชัดเจนว่าทุก ๆ สโมสรที่ลงแข่งขันพรีเมียร์ลีกจะต้องมีผลประกอบการขาดทุนห้ามเกิน 105 ล้านปอนด์ หรือราว 4,560 ล้านบาท ภายในช่วงเวลา 3 ปี ซึ่งหากทีมใดละเมิดกฎตรงนี้จะถูกพิจารณาว่าทีมนั้น ๆ ไม่มีความสามารถในงานด้านการบริหาร ซึ่งโทษที่จะได้รับก็คือการตัดแต้ม

สำหรับเอฟเวอร์ตันที่เผชิญข่าวการเงินสโมสรอยู่ในสถานะไม่มั่นคงมาตลอดช่วงก่อนต้องโทษ ที่สุดแล้วทีมดังสีน้ำเงินแห่งเมอร์ซีย์ไซด์ก็มาถูกพรีเมียร์ลีกตรวจพบว่ามีตัวเลขผลประกอบการขาดทุนสูงถึง 372 ล้านปอนด์ ในช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา และ 430 ล้านปอนด์ ในช่วงเวลา 5 ปี แน่นอนว่าเกินกว่ามาตรฐานที่ลีกกำหนด 

ผลลัพธ์ของโทษหนนี้คือทอฟฟี่สีน้ำเงินโดนหักลบ 10 แต้มไปจาก 14 แต้มเดิมที่พวกเขาทำได้ในเวลานี้ ถือเป็นการถูกตัดแต้มมากที่สุดในประวัติศาสตร์หลังลีกสูงสุดอังกฤษใช้ชื่อว่าพรีเมียร์ลีก โดยก่อนหน้านี้มี มิดเดิลสโบรช์ ที่เคยถูกตัด 3 คะแนนในซีซั่น 1996-97 โทษฐานขอยกเลิกแมตช์กับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส เนื่องด้วยนักเตะชุดใหญ่หลายคนป่วย ทีมสิงห์แดงจึงขอยกเลิกเกมโดยที่ฝ่ายจัดไม่อนุญาต ส่วนอีกครั้งคือ พอร์ตสมัธ ในซีซั่น 2009-10 โดนตัดไป 9 แต้ม ฐานค้างชำระเงินค่าจ้างนักเตะในทีม

การถูกตัดคะแนนหนนี้ทำให้ทีมของ ฌอน ไดซ์ มีแต้มเหลือเพียง 4 แต้ม พร้อมกับหล่นไปอยู่อันดับ 19 ของตาราง ก่อนถึงคิวดวลปีศาจแดงในโปรแกรมส่งท้ายเดือนพฤศจิกายน 2023 

แน่นอนว่าช่วงเวลาต่อจากนี้ เหล่าทีมบริหารสโมสรเตรียมยื่นเรื่องขออุทธรณ์คำตัดสิน ซึ่งจากแถลงการณ์สโมสรมีประกาศถึงความผิดหวังจากคำตัดสินที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะต่อให้ทีมจะขาดสภาพคล่องทางการเงิน ทว่าผลงานในซีซั่น 2023-24 นี้กลับรั้งสถานะกลางตาราง ไม่ได้เหนื่อยรั้งโซนล่างเหมือนหลายปีที่ผ่านมา

ส่วนเหตุผลสำคัญที่ทำให้เอฟเวอร์ตันมีตัวเลขผลประกอบการที่ออกสถานะขาดทุนมากกว่ากำไรก็มีทั้งการบริหารที่ผิดพลาดของ ฟาร์ฮัด โมชิรี ประธานคนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเรื่องการเสริมขุมกำลังผู้เล่นเข้ามาในแต่ละปีชนิดจ่ายเงินเป็นฟ่อน ๆ แบบบ้าคลั่ง 

อาทิ ซีซั่น 2017-18 ที่ทีมควักเงินเกือบถึงหลัก 100 ล้านปอนด์ เป็นเงินสูงสุดในประวัติศาสตร์ 139 ปีของทีมในเวลานั้น ทว่าเมื่อจบซีซั่นพวกเขากลับรั้งแค่อันดับ 8 ของตาราง

การทุ่มเงินดังกล่าวกระทบกับช่วงเวลาให้หลังอย่างยากจะหลีกเลี่ยง เอฟเวอร์ตันเริ่มแบกค่าเหนื่อยนักเตะหลาย ๆ คน ซึ่งสวนทางกับผลงานทีมที่มักจะรั้งอันดับนอกโควตาฟุตบอลยุโรป กลายเป็นว่าที่เคยลงทุนไปมันเริ่มไม่คุ้มเข้าเสียแล้ว 

ซ้ำยังเผชิญวิกฤตไวรัสโควิด-19 ระบาดในช่วงต้นปี 2020 ตามมาด้วยปี 2022 กับเหตุการณ์รัสเซียเข้ารุกรานยูเครน จนทางการอังกฤษคว่ำบาตรรัสเซีย ทำเอาท่อน้ำเลี้ยงใหญ่ของทีมอย่าง USM, Megafon และ Yota ถูกระงับการจ่ายเงินให้สโมสร ว่ากันว่าในปีดังกล่าวทอฟฟี่สีน้ำเงินสูญเสียรายได้จากสปอนเซอร์แดนหมีขาวไปกว่า 200 ล้านปอนด์ หรือคิดเป็น 66% เลยทีเดียว 

นอกจากนี้เอฟเวอร์ตันยังมีโอกาสเผชิญเรื่องเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอีกระลอก เพราะในช่วงเวลาวิกฤตนี้ โมชิรีได้ประกาศขายหุ้น 94% ของทีมให้กลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกานาม 777 Partners แต่เดิมคาดกันว่ากระบวนการเทคโอเวอร์และการส่งมอบจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2023

ทว่าเมื่อเอฟเวอร์ตันมาเจอเหตุการณ์ไม่สู้ดีนี้ ทุกอย่างเป็นไปได้ว่ากลุ่มทุนที่เป็นบริษัทเพื่อการลงทุนของอเมริกาเจ้านี้จะขอทบทวนเรื่องการเข้ามาเทคโอเวอร์ใหม่ กลายเป็นกระทบกับโปรเจ็คต์ใหญ่ของทีมอีกหนึ่งโปรเจ็คต์ นั่นคือการย้ายรังเหย้าจาก กูดิสัน พาร์ค ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 1892 ไปยังสนามเหย้าแห่งใหม่ที่ แบรมลี่ย์-มัวร์ ด็อก ความจุ 53,000 ที่นั่ง ซึ่งสื่ออังกฤษรายงานตรงกันว่าใช้งบประมาณสูงถึง 500 ล้านปอนด์

อนึ่ง ไม่เพียงแต่เอฟเวอร์ตันจะยื่นอุทธรณ์ต่อสู้กับทางพรีเมียร์ลีกเท่านั้น เมื่อเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่อาจจะเข้ามาไม่วันใดก็วันหนึ่งคือการเรียกร้องของบรรดาทีมที่เสียผลประโยชน์จากการที่เอฟเวอร์ตันรอดตกชั้นในช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับที่ทีมโดนตัด 10 แต้ม 

มีการคาดการณ์กันต่อว่าหลาย ๆ ทีมอาจเข้ามาเอี่ยวกับกระบวนการนี้เพิ่มเติม เพื่อขอความยุติธรรมจากที่พวกเขาตกชั้นลงไปสู่ลีกรอง เช่นซีซั่น 2022-23 หากใครยังจำกันได้ การตัดสินเรื่องตกชั้นต้องวัดกันถึงเกมส่งท้ายของซีซั่น ก่อนจะเป็น ลีดส์ ยูไนเต็ด, เซาธ์แฮมป์ตัน และ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ร่วงไปสู่ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ 

แน่นอนว่าเอฟเวอร์ตันก็มีโอกาสตกชั้นเช่นกัน แต่ที่รอดส่วนสำคัญมาจาก “แต้ม” ที่ตอนนั้นยังไม่โดนพรีเมียร์ลีกตัดไปนั่นเอง

 

เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว

การที่เอฟเวอร์ตันถูกตัดสินตัด 10 คะแนนในพรีเมียร์ลีก 2023-24 นั้น เรื่องไม่ได้จบลงแค่ทอฟฟี่สีน้ำเงินทีมเดียว เมื่อเหล่าคนในแวดวงสื่อสารมวลชนสายพรีเมียร์ลีกต่างแสดงมุมมองและทรรศนะหลากหลาย 

หนึ่งในนั้นคือการวิเคราะห์และตั้งคำถามปลายเปิดไปถึงสองสโมสรใหญ่ร่วมลีก ที่มีข่าวตกแต่งเงินในบัญชีด้วยเหตุผลร้อยแปดอยู่บ่อย ๆ อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี

สำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เจอข่าวใหญ่มาตั้งแต่ต้นปี 2023 กับการถูกพรีเมียร์ลีกสอบสวนเรื่องทำผิดกฎการเงิน โดยสารตั้งต้นมาจากข้อมูลที่แฮ็กเกอร์ชาวโปรตุกีสอย่าง รุย ปินโต้ ค้นเจอในปี 2015 ตามมาด้วยการถูกตั้งข้อหาและสอบสวนโดยสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า ในช่วงหลายปีก่อนหน้า ซึ่งเรื่องแดงถึงขั้นที่ แมนฯ ซิตี้ ต้องไปพึ่งศาลกีฬาโลก (CAS)

แม้จะจบเรื่องกับยูฟ่าไป ทว่าพรีเมียร์ลีกยังกัดไม่ปล่อย พรีเมียร์ลีกได้จัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบและใช้เวลาสืบเจาะและตรวจสอบอยู่ 4 ปี จนในที่สุดก็ได้หลักฐานเพียงพอที่จะตั้งข้อกล่าวหาสโมสรว่าไปละเมิดกฎการเงิน ด้วยเหตุผลร่มใหญ่คือการใช้งบประมาณอัดฉีดเงินสู่การยกระดับทีมในระหว่างปี 2009-2018 คิดเป็นช่วงเวลาถึง 9 ปีเต็ม 

โดยความผิดปกติที่ถูกทางคณะกรรมการอิสระของพรีเมียร์ลีกกล่าวหานั้น เรื่องนี้ Telegraph สื่อน้ำดีอังกฤษได้จำแนกออกเป็นการให้ข้อมูลทางการเงินที่ไม่ถูกต้อง 50 ครั้ง บิดเบือนเรื่องค่าตอบแทนสำหรับผู้จัดการทีมระหว่างปี 2009-2013 จำนวน 8 ครั้ง แจ้งข้อมูลไม่ตรงในเรื่องของค่าตอบแทนนักเตะระหว่างปี 2010 ถึง 2015 จำนวน 12 ครั้ง ทำผิดกฎระเบียบการเงินของยูฟ่า 5 ครั้ง ถูกตั้งข้อสงสัยและโดนสอบสวนเรื่องการได้มาซึ่งกำไรของสโมสร จำนวน 25 ครั้ง และละเมิดการให้ความร่วมมือกับการสืบสวนของพรีเมียร์ลีกอีก 30 ครั้ง 

และเมื่อได้ข้อสรุปรวมทั้งหมดแล้ว กลายเป็นว่าคณะกรรมการอิสระชุดนี้ชี้ความผิดของทีมสีฟ้าจากเมืองแมนเชสเตอร์ถึง 115 ข้อหา 

เชลซี เป็นอีกหนึ่งสโมสรที่ตกเป็นข่าวว่าด้วยเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ไม่ต่างไปจาก เอฟเวอร์ตัน และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 

ข้อมูลโดยสรุปจากสื่อหลายสำนักชี้ว่าสิงห์บลูส์เข้าข่ายกระทำผิดเฉกเช่นเอฟเวอร์ตัน รวมถึงเข้าข่ายโดนสอบสวนเหมือนเรือใบสีฟ้าด้วยเรื่องการกระทำผิดกฎทางการเงินต่อเนื่องมาจากเดือนกรกฎาคม 2023 ที่สโมสรถูกยูฟ่าสั่งปรับเงิน 8.6 ล้านปอนด์ เป็นผลมาจากการที่สโมสรส่งข้อมูลทางการเงินไม่ครบถ้วนระหว่างปี 2012-2019 หรือยุคที่ยังมี โรมัน อบราโมวิช เป็นหัวเรือใหญ่ 

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ยากจะบอกปัดว่าพรีเมียร์ลีกเองก็พร้อมจะตรวจสอบในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน โดยข้อมูลที่พรีเมียร์ลีกจะตรวจสอบทัพสิงโตน้ำเงินครามมาจากการชำระเงินอย่างลับ ๆ หลายครั้งในยุคอบราโมวิช 

ร็อบ เดวิส และ ไซมอน ล็อค สองนักข่าวแห่ง The Guardian รายงานข้อมูลโดยละเอียด ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้รับมาจากการสืบสวนระหว่างประเทศที่เรียกว่า “Cyprus Confidential” เนื้อหาโดยสรุปคือ มีข้อมูลว่าเชลซีมีการชำระเงินหลาย 10 ล้านปอนด์ตลอด 10 ปี ผ่านทางบริษัทข้ามชาติของ โรมัน อบราโมวิช ซึ่งจ่ายเงินแบบลับ ๆ ให้กับเอเยนต์ของ เอเด็น อาซาร์, ผู้ที่เกี่ยวข้องกับ อันโตนิโอ คอนเต้ และเจ้าหน้าที่บางคนของสโมสร เช่นเดียวกับดีลการได้ตัว วิลเลี่ยน และ ซามูเอล เอโต้ มาจาก อันชี่ มาคัชคาล่า สโมสรในรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันถูกยุบไปแล้ว ทว่าในสมัยที่ยังคงสถานะอยู่ ว่ากันว่าผู้บริหารสองสโมสรมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน

อย่างไรก็แล้วแต่ เพราะนี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคเจ้าของทีมคนก่อนทว่ามาแดงในยุคเจ้าของทีมชุดใหม่นำโดย ท็อด โบห์ลี่ ซึ่งกลุ่มทุนใหม่จากแดนมะกันได้แสดงความบริสุทธิ์ใจเป็นผู้ตรวจพบรายงานปัญหานี้ โดยสโมสรเป็นผู้รายงานเรื่องนี้ให้กับทางยูฟ่าด้วยตัวเอง (self-reported) เช่นเดียวกับการรายงานเรื่องนี้ให้พรีเมียร์ลีกไปแล้วเช่นกัน

แน่นอนว่าทั้งกรณีของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี นั้นมีน้ำหนักของการตรวจสอบ ไปจนถึงการตั้งข้อหาที่ต่างกันไป ในรายของเรือใบสีฟ้ามีกรณีของ 115 กระทงติดตัวอยู่ ส่วน เดอะ บลูส์ จากรายงานที่กล่าวไปข้างต้นคือสโมสรยอมรับว่าในอดีตนั้นทำผิดจริง และเลือกแสดงความบริสุทธิ์หวังผ่อนหนักให้เป็นเบา

คำถามต่อมาคือ หากทั้ง แมนฯ ซิตี้ และ เชลซี ผิดจริง พวกเขาจะโดนโทษอะไรบ้าง

 

ตัด 30 แต้ม & ปรับตกชั้น จริงหรือไม่ ?

The Times นำโดย มาร์ติน ซีกเลอร์ บรรณาธิการข่าวกีฬา เป็นสื่อเจ้าแรก ๆ ที่วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาว่ากรณีของ เอฟเวอร์ตัน ชิ่งกระทบทั้ง แมนฯ ซิตี้ และ เชลซี แบบเต็ม ๆ และมีความเป็นไปได้ที่อาจจะโดนโทษหนักกว่า โดยเฉพาะกรณีของทีมเทรเบิลแชมป์ซีซั่น 2022-23 อย่าง แมนฯ ซิตี้ 

โดยซีกเลอร์มีการยกเคสสมัยที่ ลูตัน ทาวน์ โดนตัด 30 แต้ม เป็นโทษตัดแต้มที่รุนแรงที่สุดในวงการฟุตบอลอังกฤษ จากการซื้อขายผู้เล่นผิดกฎและทีมขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อฤดูกาล 2008/09 มาเป็นตัวอย่างเทียบน้ำหนักกับการที่เรือใบสีฟ้าถูกตั้งข้อหา 115 กระทง

ในระหว่างนี้ แมนฯ ซิตี้ และ พรีเมียร์ลีก กำลังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน ฝั่งหนึ่งต้องเค้นข้อมูลเพื่อเอาผิด อีกฝั่งก็ต้องหาเหตุผลเพื่อหักล้างยืนยันความบริสุทธิ์ และว่ากันว่าการตัดสินอาจจะเกิดขึ้นภายในปี 2024

ซึ่งตามกฎของพรีเมียร์ลีก หากทีมใดกระทำผิดเรื่องการฝ่าฝืนและละเมิดงบการเงินจริง ทีมนั้น ๆ มีโอกาสต้องโทษทั้งการปรับเงิน ตัดแต้ม หรือโดนปรับตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก รวมไปถึงการริบแชมป์

ทางฝั่งของ เชลซี ในยุคเจ้าของใหม่ เลือกยืนยันความบริสุทธิ์ด้วยการเป็นผู้รายงานความผิดปกติด้วยตัวเองว่าเกิดขึ้นในยุคเจ้าของเก่า พวกเขาพยายามแสดงให้เห็นถึงการให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ซึ่งก็ต้องรอกระบวนการสอบสวนต่อไป เพราะถึงตอนนี้ (ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน) ยังไม่นับว่าเชลซีมีความผิด

และต่อให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี โดนตัดสินว่าผิดจริง ทั้งสองสโมสรยังมีโอกาสหาข้อแก้ต่าง โดยเฉพาะกับ แมนฯ ซิตี้ ที่ในเวลานี้มีการจ้างทนายฝีมือดี ลอร์ด เดวิด แพนนิค ผู้มีประสบการณ์กว่า 25 ปี และเคยว่าความให้สโมสรชนะคดียูฟ่ามาแล้ว เข้ามาต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมทีมเรียบร้อย

ถึงตอนนี้ข้อมูลส่วนใหญ่ที่พร้อมปรากฏบนหน้าสื่อก็คือความเห็นของกูรูฟุตบอล นักวิชาการ ที่ปรึกษาทางการเงิน ไปจนถึงนักกฎหมาย ที่พร้อมใจแสดงความเห็นตามมุมมองที่คิด ยกตัวอย่างมุมมองของ สเตฟาน บอร์สัน อดีตที่ปรึกษาทางการเงินของ แมนฯ ซิตี้ ที่มองว่าอดีตทีมของเขาและเชลซีควรจะได้รับบทลงโทษจากพรีเมียร์ลีก เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันกับเอฟเวอร์ตัน 

“มันเป็นการตอกย้ำว่าการลงโทษ แมนฯ ซิตี้ (หากพิสูจน์ได้) และ เชลซี (หากถูกตั้งข้อหาและยอมรับความผิด) อาจทำให้สองทีมตกชั้น สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ ในทางกีฬาการคำนวณรายรับของเชลซีอาจฝ่าฝืนกฎเรื่องผลกำไรและความยั่งยืน พวกเขาต้องถูกปรับเงินและมีการพิจารณาคดีใหม่อย่างเร่งด่วน”

อย่างไรเสีย ตราบใดที่ยังไม่มีประกาศหรือรายงานใด ๆ เพิ่มเติมจากฝั่งพรีเมียร์ลีกและสโมสรที่ถูกกล่าวหา นั่นเท่ากับว่าสองสโมสรชุดเหย้าสีฟ้าและน้ำเงิน “ยังไม่ใช่” ทีมที่กระทำผิดเหมือนกับที่เอฟเวอร์ตันเป็นในเวลานี้

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.theguardian.com/world/2023/nov/15/chelsea-fc-face-new-questions-over-how-roman-abramovich-funded-success 
https://www.theguardian.com/football/2023/nov/17/premier-league-financial-fair-play-everton-manchester-city-chelsea 
https://www.youtube.com/live/nAdt6aHO2M8?si=8l8QytIt6UnsAGAo 
https://theathletic.com/5072612/2023/11/18/everton-ffp-chelsea-manchester-city/ 
https://www.telegraph.co.uk/football/2023/11/17/if-manchester-city-guilty-relegation-possible-everton/ 
https://www.bbc.com/sport/football 
https://www.givemesport.com/why-chelsea-and-man-city-could-face-relegation-after-everton-points-deduction/ 
https://www.thetimes.co.uk/article/relegation-now-looks-very-real-prospect-for-man-city-and-chelsea-k5zkdzlmf?fbclid=IwAR29owLbRBCzuGGhMUP0l5w8nVPtDTHBWj_HvqBMZQL4ppv7CGoC3yDCn6I 

Author

พชรพล เกตุจินากูล

แฟนคลับเชลซี ติดตามฟุตบอลเอเชีย ไก่ทอดและกิมจิเลิฟเวอร์

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

ภราดร ภราดร

อยากจะทำให้ดี ไม่ใช่แค่อยากจะทำให้เป็น