News

มารู้ถึงการทำผสมเทียม ขั้นตอนสำคัญสำหรับผู้ที่มีบุตรยาก!

ภาวะมีบุตรยากเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดว่าคู่สมรสที่พยายามมีบุตรโดยไม่ได้คุมกำเนิดเป็นเวลา 12 เดือนขึ้นไป โดยไม่ประสบความสำเร็จ ถือว่าอยู่ในภาวะมีบุตรยาก สำหรับคู่รักคู่ไหนที่เห็นถึงความผิดปกตินี้ และต้องการมีทายาทอย่างที่ตั้งใจ หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน คือการรักษาด้วย การทำผสมเทียม

 


แต่ในขั้นตอนของการทำผสมเทียมจะเป็นอย่างไร รวมถึงทั้งฝ่ายชายฝ่ายหญิงจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง วันนี้เรามีข้อมูลที่ควรรู้มาฝากกัน

 

ทำไมถึงเกิดภาวะมีบุตรยาก?  

สาเหตุของภาวะมีบุตรยากอาจเกิดจากฝ่ายชาย ฝ่ายหญิง หรือทั้งสองฝ่ายร่วมกัน ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อย มีดังนี้ 

ฝ่ายชาย: ปัญหาเกี่ยวกับอสุจิ เช่น จำนวนอสุจิน้อย การเคลื่อนไหวของอสุจิไม่ดี หรือรูปร่างของอสุจิผิดปกติ

ฝ่ายหญิง: ปัญหาเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ เช่น ท่อนำไข่อุดตัน มดลูกผิดปกติ หรือรังไข่ทำงานผิดปกติ

ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง: ปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน หรือปัญหาด้านพันธุกรรม

แต่ในปัจจุบันได้มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ ที่สามารถเข้ามาช่วยให้การเจริญพันธุ์ (ART) ประสบความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้นในหลายวิธี ทั้งยังสามารถช่วยรักษาภาวะมีบุตรยากให้ประสบความสำเร็จได้ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่เราขอพูดถึง เพราะได้รับความนิยมในการรักษา นั่นก็คือการทำผสมเทียม (Artificial Insemination: AI)

การทำผสมเทียมเป็นวิธีการผสมพันธุ์โดยการนำอสุจิของฝ่ายชายไปฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกของฝ่ายหญิงโดยตรง โดยอาศัยเทคนิคและอุปกรณ์พิเศษ ซึ่งสามารถเพิ่มอัตราการตั้งท้องได้มากกว่าการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติได้ถึง 2-3 เท่าทีเดียว 

 

การทำผสมเทียมมี 2 วิธีหลักๆ ได้แก่

การฉีดเชื้อผสมเทียม (Intra-Uterine Insemination: IUI) เป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด โดยนำอสุจิที่เตรียมไว้ไปฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกของฝ่ายหญิงในช่วงที่ไข่ตก

การฉีดเชื้อผสมเทียมเข้าเซลล์ไข่โดยตรง (Intracytoplasmic Sperm Injection: ICSI) เป็นวิธีที่ใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีจำนวนอสุจิน้อยหรือเคลื่อนไหวไม่ดี โดยนำอสุจิไปฉีดเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงในห้องปฏิบัติการ

การทำผสมเทียมเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับคู่สมรสที่มีปัญหามีบุตรยาก อย่างไรก็ตาม การทำผสมเทียมอาจมีความเสี่ยงบางประการ ที่ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด เช่น

ภาวะแทรกซ้อนจากยากระตุ้นการเจริญพันธุ์

ภาวะแทรกซ้อนจากการฉีดเชื้อผสมเทียม

ความเสี่ยงในการเกิดการตั้งครรภ์แฝด

ก่อนที่จะตัดสินใจทำผสมเทียม คู่สมรสควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินสาเหตุของภาวะมีบุตรยากและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

 

ขั้นตอนการทำผสมเทียม

สำหรับขั้นตอนการทำผสมเทียมนั้น นอกจากทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะได้ดูแลตนเองอย่างเป็นพิเศษแล้ว ในขั้นตอนการทำผสมเทียมยังจะได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด 

1.   ฝ่ายหญิงจะต้องได้รับการตรวจประเมินสุขภาพโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อดูว่ามีภาวะแทรกซ้อนใดๆ หรือไม่
2.   ฝ่ายชายจะต้องให้ตัวอย่างอสุจิ เพื่อนำมาตรวจวิเคราะห์คุณภาพของอสุจิ
3.   แพทย์จะกระตุ้นการเจริญพันธุ์ของฝ่ายหญิง โดยให้ยากระตุ้นการเจริญพันธุ์
4.   เมื่อไข่ตกแล้ว แพทย์จะนัดฝ่ายหญิงมารับการฉีดเชื้อผสมเทียม

การฉีดเชื้อผสมเทียมใช้เวลาประมาณ 15 นาที โดยแพทย์จะสวมถุงมือผสมเทียมแล้วเคลือบด้วยสารหล่อลื่น จากนั้นจึงใช้เข็มฉีดยาขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในโพรงมดลูกของฝ่ายหญิง หลังการฉีดเชื้อผสมเทียมแล้ว ฝ่ายหญิงสามารถกลับบ้านได้ทันที และควรงดการมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลา 1-2 วัน

 

อัตราการตั้งท้องจากวิธีผสมเทียม

อัตราการตั้งท้องจากการรักษาด้วยวิธีนี้จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก โดยเฉลี่ยแล้ว อัตราการตั้งท้องจากการฉีดเชื้อผสมเทียม (IUI) อยู่ที่ประมาณ 10-20% และอัตราการตั้งท้องจากการฉีดเชื้อผสมเทียมเข้าเซลล์ไข่โดยตรง (ICSI) อยู่ที่ประมาณ 20-40%

Author

Main Stand

Stand ForAll สื่อกีฬาที่เข้าถึงทุกคน

Graphic

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1