มาเลเซีย คือประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่จัดแข่ง F1 เมื่อปี 1999 แต่พวกเขาตัดสินใจยกเลิกจัดการแข่งขันไปเมื่อปี 2017
ในตอนนั้น พวกเขาให้เหตุผลว่า ต้นทุนในการจัดการแข่งขันสูงมาก และผลตอบรับที่ได้ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน จากยอดผู้ชมในสนามช่วงหลัง ๆ ที่ลดลงแทบทุกปี ก่อนตัดสินใจเลิกจัดไป โดยมีประเทศสิงคโปร์ ที่จัด F1 มาตั้งแต่ปี 2008 และประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องเป็นคู่แข่งแย่งลูกค้า
อย่างไรก็ตาม กระแส F1 ที่ได้รับการตอบรับดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ทั้งจากซีรี่ส์ Formula 1: Drive to Survive บน Netflix และภาพยนตร์ F1 ทำให้ อัซฮาน ชาฟริมัน ฮานิฟ ซีอีโอของ เซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต สนามแข่งรถที่เคยจัดแข่ง F1 ในมาเลเซียเผยกับ New Straits Times ว่า มาเลเซียคิดผิดที่ยกเลิกการจัดแข่งขัน F1 เมื่อครั้งอดีต
ฮานิฟยังเผยด้วยว่า มาเลเซียมีความต้องการที่จะกลับมาจัดแข่ง F1 อีกครั้ง ทว่าสองปัญหาสำคัญคือ ตอนนี้มีหลายประเทศที่ให้ความสนใจในการจัดแข่ง F1 และค่าใช้จ่ายในการจัดแข่งขันสูงมาก
แม้มาเลเซียจะมีสนามเซปังเป็นสังเวียนแข่งที่ผ่านมาตรฐานและพร้อมจัดแข่ง F1 แต่ฮานิฟเผยว่า Liberty Media ผู้ถือลิขสิทธิ์จัดการแข่งขัน F1 ในปัจจุบัน เรียกค่าธรรมเนียมในการจัดแข่งขันสูงถึง 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 295 ล้านริงกิต หรือราว 2.3 พันล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการจัดแข่งขันอีกราว 10-20 ล้านริงกิต หรือราว 77-154 ล้านบาทต่อปี รวมค่าใช้จ่ายในการจัดแข่ง F1 สูงถึงกว่า 300 ล้านริงกิต หรือราว 2.3 พันล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว
ฮานิฟมองว่า ตอนนี้ประเทศมาเลเซียต้องหาฉันทามติให้ได้ก่อนในการจัดแข่ง F1 เพราะหากทุกภาคส่วน รัฐ เอกชน ประชาชน ต้องการเห็น ก็เชื่อว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นได้ โดยตอนนี้ ไม่ใช่แค่ทางสนาม แต่ภาครัฐและเอกชนก็ต้องการนำ F1 กลับมาจัดในแดนเสือเหลือง
และฮานิฟยังบอกด้วยว่า พวกเขาจะไม่ยอมพลาดซ้ำสอง ปล่อยการจัดแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์โลก MotoGP ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากชาวมาเลเซียและประเทศใกล้เคียงหลุดมือ แม้ Dorna Sports ผู้ถือลิขสิทธิ์ ที่ตอนนี้ถูก Liberty Media ซื้อกิจการไปแล้ว เรียกค่าลิขสิทธิ์สูงกว่าเดิมก็ตาม