ทยอยตกรอบไปทีละคนสำหรับทัพนักชกไทยในโอลิมปิก 2014 โดยเหลือเพียง 3 รายเท่านั้นจากทั้งหมด 8 รุ่นที่เข้าชิงชัย ... ซึ่งสิ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์และพูดถึงมากที่สุดก็คือสไตล์การชก ที่หลายคนมองว่าเราออกหมัดน้อยเกินไปจนไม่เข้าตากรรมการ
นับตั้งแต่เปลี่ยนกฎจากการนับหมัดมาเป็นให้คะแนนยกต่อยกตั้งแต่ “ริโอเกมส์ 2016” นักชกไทยก็ไม่มีใครประสบความสำเร็จอีกเลย ได้เพียงเหรียญทองแดงเหรียญเดียวจาก “แต้ว” สุดาพร สีสอนดี
คำถามก็คือทำไมผ่านมานานตั้งหลายปีแต่เรายังคงพายเรือวนอยู่ในอ่าง หาแนวทางการชกที่เหมาะสมโดนใจไม่เจอสักที ?
“การตัดสินมันยังคาบลูกคาบดอก บางทีจะให้แบบโอลิมปิกสไตล์ หรือให้แบบมวยเดิน ก็ยังวิเคราะห์ไม่ออกเลย ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ บางทีเราทำมวยมา ให้ต่อยแบบโอลิมปิกสไตล์ แบบบ็อกเซอร์ ไม่ใช่ไฟต์เตอร์ แต่พอเห็นรูปแบบการให้คะแนนแล้ว เดาใจไม่ถูก”
ร.ต.สุฤทธิ์ ยิ่งกำแหง หัวหน้าสต๊าฟโค้ชทีมมวยสากลชาย ให้สัมภาษณ์กับสื่อหลังกำปั้นไทยทยอยจอดป้ายไปทีละราย
จริงหรือที่การตัดสินและวิธีการให้คะแนนยังคลุมเคลือ ? ... เรื่องนี้ Main Stand ได้พูดคุยเพื่อหาคำตอบกับ รศ.ดร.ไพบูลย์ ศรีชัยสวัสดิ์ หรือ “อ.เค้ก” ซึ่งเคยได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในผู้ประเมินผู้ตัดสินในศึกโอลิมปิก 2020 ที่โตเกียว มาแล้ว
“กติกานี้ใช้มาก็นานแล้วทางทีมมวยต้องรู้อยู่แล้ว ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนจากการคัดตัว ซึ่งทุกชาติก็เข้าใจและทำได้ ผู้ตัดสินเขามีเกณฑ์การให้คะแนนอยู่แล้วตามกติกาไม่ว่าจะรุกหรือจะรับ” อ.เค้ก เผยพร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่าหลักการให้คะแนนนั้นมีอยู่ 3 ข้อ คือ
1.ชกเข้าเป้าที่ส่วนหน้าของร่างกายและมีแรงส่งจากหัวไหล่ ไม่ว่าจะใบหน้าหรือลำตัว
2.มีเทคนิคและแทคติก เช่น มีการสลับการ์ด ใช้การ์ดซ้ายหลอกการ์ดขวา มีหมัดชุด หมัด 1-2 หมัดอัปเปอร์คัท หรือหมัดต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่เรื่องเชิงมวยหรือฟุตเวิร์กอย่างเดียว
และ 3.มีความมุ่งมั่นและความฮึกเหิม
รศ.ดร.ไพบูลย์ ยังมองว่าการทำหน้าที่ของกรรมการในครั้งนี้ยังไม่มีเรื่องน่าคาใจ เพราะฝ่ายจัดยังคงใช้กระบวนการเช่นเดียวกับครั้งก่อน
โดยนอกจากผู้ตัดสินชี้ขาดบนเวทีและกรรมการให้คะแนนข้างเวที 5 คนแล้ว ยังมีผู้ประเมินผู้ชี้ขาด 1 คน ที่จะคอยจับตาดูว่าตัดสินได้ถูกต้องตามกติกาไหม ทันเกมหรือไม่ รวมถึงผู้ประเมินผู้ตัดสินที่จะทำที่จับตาผู้ให้คะแนนข้างเวทีอีก 2 คน
“ผมว่ากรรมการทุกคนไม่กล้ามีนอกมีในหรอก หรือมุมมองของผู้ตัดสินจะบอกว่าไม่มีมาตรฐานก็ไม่ใช่ เพราะเขาถือกติกาเล่มเดียวกัน แต่ว่าการนั่งแต่ละมุมบางทีมันอาจไม่ชัด อย่างคู่ ธิติสรรณ์ ปั้นโหมด ก็ยังมีกรรมการให้เราชนะ 1 เสียง (แพ้ 1-4) แต่ก็ไม่มีคนดูพูดถึง ซึ่งกรรมการคนนั้นก็คงต้องถูกผู้ประเมินเรียกพูดคุยแน่”
“ทางสมาคมมวยฯ ควรให้ความสำคัญกับการส่งผู้ตัดสินไทยไปร่วมสัมนาเรื่องกติกาในระดับนานาชาติมากขึ้น เพราะเวลามีจัดแข่งในประเทศ ไทยกรรมการบางรายอาจไม่เข้าใจเรื่องการให้คะแนนที่ถูกต้องจนทำให้นักมวยเข้าใจคลาดเคลื่อนไปด้วย”
“รวมถึงเห็นความสำคัญของผู้ประเมินคนไทยบ้าง เรารู้ข้อสอบอยู่แล้ว เพราะเราต้องประเมินผู้ตัดสินอยู่แล้ว เป็นคนหนึ่งที่คอมเมนท์ผู้ตัดสินว่า ต้องให้คะแนนแบบนี้นะ เราจึงรู้ว่าต่อยแบบนี้นะถึงจะได้คะแนน” อดีตผู้ตัดสินมวยเบอร์ 1 ของไทยทิ้งท้าย
และหากใครได้ชมการชกของ 2 นักมวยหญิงไทยอย่าง จุฑามาศ รักสัตย์ และจันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง คงจะเป็นตัวอย่างชัดเจนแล้วว่าชกแบบไหนถึงชนะใจกรรมการ โดยเฉพาะรายหลังที่แม้จะโดนหมัดจัง ๆ จนกรรมการนับ 8 แต่ยังสวมหัวใจสู้เดินหน้าบวกไม่ยั้งจนพลิกกลับมาคว้าชัยชนะได้ในที่สุด