เคร็ก เบลลามี่ เฮดโค้ชทีมชาติเวลส์ กำลังตั้งตารอที่จะกลับมาปะทะกับ เจสซี่ มาร์ช อดีตกุนซือ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่ปัจจุบันคุมทีมชาติแคนาดา หากเขาสามารถนำทัพมังกรแดงผ่านรอบเพลย์ออฟไปเล่นฟุตบอลโลก 2026 ได้สำเร็จ
หากเวลส์คว้าชัยในรอบเพลย์ออฟโซนยุโรปสาย A ได้ทั้ง 2 นัดในเดือนมีนาคม 2026 พวกเขาจะไปอยู่ในกลุ่ม B ร่วมกับแคนาดาในการแข่งขันรอบสุดท้าย พร้อมเปิดศึกนัดล้างตา หลังจากที่เกมกระชับมิตรระหว่างทั้งสองทีมในเดือนกันยายน 2025 ที่เมืองสวอนซี จบลงด้วยความตึงเครียดและอารมณ์คุกรุ่น
ความบาดหมางดังกล่าวเริ่มต้นขึ้น เมื่อเบลลามี่แสดงความไม่พอใจอย่างเปิดเผยต่อวิธีที่มาร์ชและสตาฟโค้ชแสดงความดีใจกับชัยชนะของแคนาดาด้วยสกอร์ 1-0 ตั้งแต่ก่อนที่เกมจะจบ ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ให้ความเคารพ โดยหลังเกมนั้น เบลลามี่เคยกล่าวไว้ว่า "ผมหวังว่าจะได้เจอพวกเขาในฟุตบอลโลก" และหลังจากการจับสลากรอบแบ่งกลุ่ม ความปรารถนาของเบลลามี่ก็อาจเป็นจริง
เมื่อถูกถามถึงท่าทางการฉลองของแคนาดา เบลลามี่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า "พูดตามตรงว่าทั้งหมดนั้นทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด พวกเขาทั้งหมดเลยนะ ควรจะให้ความเคารพกันบ้าง มันอาจจะเป็นเรื่องที่เหมาะกับ TikTok หรือ Instagram มากกว่า"
ด้าน เจสซี่ มาร์ช เองก็มีส่วนในการเติมเชื้อไฟให้กับความขัดแย้งนี้ โดยเขาได้ให้สัมภาษณ์ตอบโต้ในเดือนตุลาคมว่า "หลังจากที่เราเอาชนะเวลส์ได้ เบลลามี่ก็แต่งเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับการฉลองชัยชนะของเรา เพราะเขาพยายามเบี่ยงเบนความสนใจจากการที่พวกเขาแพ้แคนาดา" พร้อมทั้งยืนยันว่า "ประเด็นคือ แคนาดาชุดนี้แตกต่างออกไป นี่คือแคนาดาที่มีพรสวรรค์ นี่คือทีมที่ไม่กลัวใคร"
ก่อนที่ความปรารถนาในการเผชิญหน้ากับมาร์ชจะเป็นจริง เวลส์จะต้องมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่รอบเพลย์ออฟ โดยทีมของเบลลามี่จะเปิดบ้านรับการมาเยือนของ บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ในรอบรองชนะเลิศ วันที่ 26 มีนาคม หากชนะ จะเปิดบ้านชิงตั๋วฟุตบอลโลกกับผู้ชนะระหว่าง อิตาลี หรือ ไอร์แลนด์เหนือ วันที่ 31 มีนาคม
"จิตใจทั้งหมดของผมย้อนกลับไปที่บอสเนีย บอสเนียคือเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้" เบลลามี่กล่าว โดยเขายืนยันว่าทีมงานต้องเตรียมแผนการเล่นไว้สำหรับคู่แข่งทั้งสามทีม เพราะผู้แพ้ของแต่ละคู่จะต้องมาเจอกันในเกมกระชับมิตร ที่จะแข่งวันเดียวกับเกมชิงตั๋วฟุตบอลโลกอยู่ดี
เวลส์จะได้ไปรอบสุดท้ายฟุตบอลโลก เพื่อให้เบลลามี่กับมาร์ชมาสางบัญชีแค้นอีกรอบได้หรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป
ที่มา :
https://www.bbc.com/sport/football/articles/clydl0v3njno
