ศึกฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 2025 กลุ่ม H นัดที่สอง ปรากฏว่า เรอัล มาดริด ของ ชาบี อลอนโซ่ สามารถเก็บชัยชนะได้เป็นเกมแรก ปราบ ปาชูก้า จาก เม็กซิโก ด้วยสกอร์ 3-1 โดยได้ประตูจาก จู๊ด เบลลิ่งแฮม (น.35), อาร์ด้า กูแลร์ (น.43) และ เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ (น.70)
แม้จะเก็บสามแต้มได้สำเร็จ แต่เกมนี้กลับมีประเด็นนอกสนามที่เรอัล มาดริด ต้องรับมือเพิ่มเติม เพราะในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ เซ็นเตอร์ของชุดขาว ได้แจ้งผู้ตัดสินว่าเขาโดน กุสตาโว คาบรัล แข้งคู่แข่งที่มีจังหวะปะทะกันพูดจาเหยียดเชื้อชาติ
จนทำให้ รามอน อาบัตติ อาเบล ผู้ชี้ขาดในสนาม ส่งสัญญาณไขว้มือเป็นตัว X เพื่อแจ้งเรื่องไปยังฝ่ายจัดการแข่งขัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ‘ต่อต้านการเหยียดผิว’
หลังจบเกม ชาบี อลอนโซ่ กุนซือ “โลส บลังโกส” ได้ออกมาหนุนหลังลูกทีมชาวเยอรมัน “เราสนับสนุนโทนี่ (รูดิเกอร์) ตอนนี้เราต้องรอดู”
“เพราะฟีฟ่าจะเริ่มกระบวนการตามระเบียบ และจะมีการสอบสวน ถ้ามันเกิดขึ้นจริง เราก็ยืนอยู่ข้างอันโตนิโอ มันเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ไม่มีการยอมผ่อนปรนต่อเรื่องแบบนี้”
อย่างไรก็ตามในการให้สัมภาษณ์ที่มิกซ์โซน กุสตาโว คาบรัล ชี้แจงว่าเขาไม่ได้พูดจาเหยียดเชื้อชาติรูดิเกอร์ แค่ด่าว่า “ไอ้ขี้ขลาด”
“ไม่มีอะไรเกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติเลย ผมแค่ด่าเขาว่า ‘ไอ้ขี้ขลาดเฮงซวย’ ตามที่เราพูดกันในอาร์เจนตินา แค่นั้นจริง ๆ มันเป็นจังหวะปะทะ ผมโดนเตะ และเขาหาว่าผมเอามือฟาดหน้าเขา แล้วเราก็เถียงกัน แต่มันก็แค่นั้น”
“ผู้ตัดสินทำสัญลักษณ์ว่าเป็นการเหยียดเชื้อชาติ แต่ผมย้ำกับเขาว่าผมพูดว่า ‘ไอ้ขี้ขลาด’ เท่านั้น มันเป็นแค่คำพูดด่ากัน มันไม่มีเจตนาอย่างอื่นแอบแฝง”
“จากนั้น รูดิเกอร์ ทำท่าเหมือนจะเอาเรื่อง พูดทำนองว่า ‘เจอกันข้างนอก’ เขาท้าผมต่อย ซึ่งผมก็โกรธเหมือนกัน เราเถียงกันในอุโมงค์ แต่ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น”
“เพื่อนร่วมทีมผมและทีมเขาก็อยู่ตรงนั้นด้วย ผมพูดคำเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ถ้าอยากตรวจสอบ คุณจะเห็นจากฟุตเทจว่าผมพูดแค่ว่า ‘cagón de mierda, get up’ (แปลว่า ‘ไอ้ขี้ขลาด ลุกขึ้น’) เท่านั้นเอง”
ซึ่งขัดกับแหล่งข่าวในสนามที่อ้างว่า กุสตาโว คาบรัล ด่า รูดิเกอร์ ว่า “negro de mierda” (ไอ้คนดำขี้ขลาด)
ภายใต้แนวทางต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติฉบับปรับปรุงของฟีฟ่า ซึ่งเริ่มบังคับใช้ในปี 2024 ท่าทางไขว้แขนของผู้ตัดสินเหนือศีรษะถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นในกระบวนการตอบสนองแบบ 3 ขั้นตอนต่อพฤติกรรมเลือกปฏิบัติ
โดยขั้นตอนแรกมีเป้าหมายเพื่อแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ในสนามและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่ามีเหตุการณ์ต้องสงสัยเกิดขึ้น พร้อมเปิดทางให้ผู้ตัดสินสามารถสั่งหยุดการแข่งขันชั่วคราวได้ตามดุลยพินิจ
และหากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปหรือทวีความรุนแรง ฟีฟ่าจะเข้าสู่ขั้นตอนที่สองและสาม ซึ่งอาจรวมถึงการหยุดการแข่งขันเป็นระยะเวลานาน หรือโดยสมบูรณ์