ในช่วงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา การย้ายทีมที่ฮือฮาที่สุดในโลกฟุตบอลคงหนีไม่พ้นดีลเลอรอย ซาเน่ ปีกตัวเก่งจาก บาเยิร์น มิวนิค ที่ตัดสินใจเก็บข้าวของย้ายมาอยู่ที่ตุรกี กับ กาลาตาซาราย
เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า บาเยิร์น มิวนิค พยายามหาทางเจรจาเพื่อขยายสัญญาของ เลอรอย ซาเน่ มาตลอดทั้งฤดูกาล ท่ามกลางการจับตามองของอาร์เซน่อล และ อัล-ฮิลาล ที่แสดงความสนใจในช่วงหลัง แต่สุดท้ายเป็น กาลาตาซาราย ที่ ซาเน่ เลือก
ซึ่งในตอนแรกดูเหมือน เลอรอย ซาเน่ จะตกลงต่อสัญญาฉบับใหม่กับบาเยิร์น มิวนิค ได้เรียบร้อย ด้วยข้อตกลง 3 ปี พร้อมลดค่าเหนื่อยจาก 20 ล้านยูโรต่อปีเหลือราว 10 ล้านยูโรต่อปี บวกโบนัสอีก 5 ล้านยูโร ก่อนหักภาษี ทว่าเมื่อเขาเปลี่ยนตัวเอเย่นต์ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
โธมัส ดีเตอร์ดิง ผู้เชี่ยวชาญด้านบุนเดสลีกาของ Transfermarkt กล่าวว่า “ก่อนจบฤดูกาลไม่นาน ทุกอย่างดูเหมือนจะใกล้บรรลุข้อตกลงระหว่างซาเน่กับบาเยิร์นแล้ว แต่กลายเป็นว่าเขาประกาศเปลี่ยนตัวแทนจาก 11Wins ไปเป็น พินี ซาฮาวี ทำให้เงื่อนไขที่เคยเจรจากันไว้กลายเป็นโมฆะ"
"ในตอนนั้น ข้อเสนอของบาเยิร์นคือสัญญา 3 ปี โดยลดค่าเหนื่อยเหลือราว 10 ล้านยูโรต่อปี พร้อมโบนัสอีก 5 ล้านยูโร แต่ในระหว่างการเจรจารอบใหม่ ค่าเหนื่อยถูกปรับขึ้นเล็กน้อยเป็น 12 ล้านยูโร พร้อมโบนัส 3.5 ล้านยูโร ซึ่งสุดท้ายก็ยังไม่มากพอให้ซาเน่ยอมเซ็น"
"ผู้บริหารของบาเยิร์น โดยเฉพาะ แม็กซ์ เอเบิร์ล ผู้อำนวยการกีฬา ยืนยันอย่างชัดเจนว่า สโมสรจะไม่เพิ่มตัวเลขในข้อเสนออีก จึงไม่มีการยื่นสัญญาฉบับใหม่ที่ดีกว่าเดิม”
“ซาเน่ เลยตัดสินใจเลือกกาลาตาซาราย ซึ่งเสนอค่าเหนื่อยสุทธิ 10 ล้านยูโรต่อปี และการเจรจาก็ลุล่วง เหลือเพียงแค่การเซ็นชื่อของเขาเท่านั้น"
อย่างไรก็ตามกลยุทธ์ของกาลาตาซาราย ต่างหากคือกุญแจสำคัญ เพราะ ฟลอเรียน เพลตเทนเบิร์ก นักข่าวของ Sky Sports เปิดเผยว่า กาลาตาซาราย สามารถดึงตัว เลอรอย ซาเน่ ปีกตัวเก่งของบาเยิร์น มิวนิค มาร่วมทีมได้สำเร็จ ด้วยความพยายามที่ไม่ลดละ สื่อสารอย่างต่อเนื่อง
โดยช่วง 2–3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทีมดังแห่งแดนไก่งวงทั้งคอลประชุม และมีการยื่นข้อเสนอเป็นลายลักษณ์อักษรให้ ซาเน่ ด้วย
ในที่สุดกาลาตาซาราย ก็เอาชนะใจ เลอรอย ซาเน่ ด้วยสัญญา 3 ปีเท่ากับที่บาเยิร์น มิวนิค ยื่นให้ แต่เขาจะได้ค่าเหนื่อยสูงสุดถึง 15 ล้านยูโรต่อปีหลังหักภาษี
ในเยอรมนี ระบบภาษีรายได้เป็นแบบขั้นบันได โดยมีอัตราภาษีตั้งแต่ 14% - 45% ขึ้นอยู่กับระดับรายได้ สำหรับผู้ที่มีรายได้สูง เช่น ซาเน่ อาจต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุดที่ 45%
นอกจากนี้ ยังมีการเรียกเก็บภาษีเสริม เช่น ภาษีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว (Solidarity Surcharge) ที่ 5.5% ของภาษีรายได้ ซึ่งเดิมทีมีไว้ช่วยฟื้นฟูอดีตเยอรมนีตะวันออก ปัจจุบันถูกยกเว้นสำหรับผู้มีรายได้ปานกลาง-น้อย แต่ยังคงเก็บจากผู้มีรายได้สูง