อาร์แซน เวนเกอร์ อดีตตำนานผู้จัดการทีมของ อาร์เซน่อล ที่ปัจจุบันกำลังรับหน้าที่ในฝ่ายพัฒนาขององค์กรฟีฟ่าอยู่นั้น ได้ทำการเสนอข้อเปลี่ยนแปลงที่เขาอยากจะเห็นมันเกิดขึ้น ซึ่งก็คือ กฎล้ำหน้ารูปแบบใหม่
กฎล้ำหน้าแบบใหม่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ ทั้งร่างกายของผู้เล่นตัวรุก อยู่ข้างหลังกองหลังตัวสุดท้าย ซึ่งแตกต่างจากกฎปัจจุบันที่การล้ำหน้าจะเกิดขึ้นเมื่อบางส่วนของร่างกายผู้เล่นตัวรุก(หัว, ลำตัว และ เท้า)อยู่เหลื่อมกว่าตำแหน่งของลูกบอลและกองหลังตัวท้าย เมื่อบอลได้เล่นไปทางพวกเขา
ซึ่งการที่เวนเกอร์ได้หยิบยื่นกฎนี้ขึ้นมาเพราะเขาต้องการที่จะทำให้การเล่นเกมบุกมันง่ายขึ้น เพื่อที่จะได้เห็นประตูที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าเดิม พร้อมกับการที่จะทำให้การดูฟุตบอลสนุกและเร้าใจมากขึ้นสำหรับแฟนๆ
เนื่องจากกฎปัจจุบันที่มาพร้อมกับ VAR ได้ทำให้เราเห็นถึงประตูที่ถูกริบมากมาย รวมไปถึงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาตลอดจากปัญหาการล้ำหน้าที่เล็กน้อย ซึ่งก็มีทั้งถูกและผิดเป็นครั้งคราว
“มันมีช่องว่างให้เปลี่ยนกฎเสมอ ไม่ใช่ว่าผู้เล่นจะมาโดนจับล้ำหน้าเพราะจมูกของพวกเขาสามารถทำประตูได้ ในทางกลับกัน ผู้เล่นสมควรที่จะไม่โดนจับล้ำหน้าหากส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายพวกเขาที่ทำประตูได้ยังอยู่ในไลน์เดียวกันกับกองหลังตัวสุดท้าย ถึงแม้ส่วนอื่นๆ จะอยู่ในจุดที่ล้ำก็ตาม”
“กฎนี้จะช่วยเราแก้ปัญหาได้และพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องมาวุ่นกับความละเอียดอ่อนพวกนี้อีกแล้ว
(ล้ำไม่กี่ มิลลิเมตร หรือจริงๆ ไม่ล้ำ ด้วยซ้ำ)” เวนเกอร์ ได้กล่าวไว้
ในเรื่องของข้อได้เปรียบที่จะเกิดขึ้น คงไม่พ้นผู้เล่นในแนวรุกต่างๆ ที่เจ้ากฎใหม่อันนี้จะสามารถมอบอิสระในตำแหน่งของพวกเขาและทำให้พวกเขากล้าเล่นได้มากขึ้น จากการต้องมาระแวงกับการล้ำหน้าแบบเก่าๆ ที่บางครั้งมันก็แค่ นิดเดียว เอง
ในอีกมุมหนึ่งสำหรับผู้เล่นกองหลัง พวกเขาอาจจะต้องปรับเปลี่ยนการเล่นและแทคติกต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการเล่น กับดักล้ำหน้า ที่อาจใช้ไม่ได้ผลมากนักกับกฎล้ำหน้าอันใหม่นี้ ซึ่งอาจจะส่งผลไปถึงการเสียประตูที่มากขึ้น พร้อมๆ กับการต้องเปลี่ยนการเล่นอยู่สม่ำเสมอ
ถึงแม้กฎใหม่อันนี้ยังไม่ได้ถูกใช้งานแต่พวกเขาได้เริ่มทดลองใช้เจ้ากฎนี้ไปแล้วตั้งแต่ปี 2021 จนถึงปัจจุบัน กับในลีกระดับเยาวชนของประเทศ สวีเดน, อิตาลี และ เนเธอร์แลนด์ เพื่อที่จะได้ทราบถึงผลตอบรับและผลกระทบต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
ซึ่งผลลัพธ์จากการทดลองเหล่านี้ก็ออกมาในรูปแบบที่ดี ทำให้ทาง FIFA และ IFAB จะทบทวนถึงเรื่องนี้อีกครั้งก่อนที่จะนำไปใช้อย่างเป็นทางการต่อไป ซึ่งถ้าทุกอย่างออกมาลงตัว เราอาจได้เห็นการเริ่มใช้กฎนี้ในฤดูกาลหน้า 2024/25 ที่จะถึงเร็วๆ นี้