ในโลกลูกหนังยุคปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่า ลูก้า โมดริช แข้งชาวโครเอเชีย ของ เรอัล มาดริด คือหนึ่งในมิดฟิลด์เบอร์ต้น ๆ ของวงการ พิสูจน์ได้จากการพา เรอัล มาดริด ประสบความสำเร็จนับไม่ถ้วนรวมถึงการคว้ารางวัลบัลลง ดอร์ เมื่อปี 2018
แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าก่อนจะมาประสบความสำเร็จที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ลูก้า โมดริช เคยเกือบได้ย้ายไปสวมยูนิฟอร์ม "สิงห์บลูส์" เมื่อปี 2011 โดย โรมัน อับราโมวิช เจ้าของทีม เชลซี ณ ขณะนั้น ต้องการตัวเขามาก ๆ ถึงขั้นที่ลงทุนเป็นผู้รับบทโน้มน้าวใจ ลูก้า โมดริช ด้วยตัวเอง
"เสื่ยหมี" มีวิธีการเจรจากับ ลูก้า โมดริช อย่างไร แล้วเหตุใด เชลซี จึงพลาดการคว้าตัวเขามาร่วมทีม สามารถหาคำตอบได้ที่ Main Stand
[เสี่ยหมีลุยเอง]
เรื่องราวระหว่าง ลูก้า โมดริช และ เชลซี นั้นเริ่มถูกพูดถึงมากขึ้นหลังจบศึกพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ซีซั่น 2010-11 โดย ลูก้า โมดริช ที่พา สเปอร์ส จบอันดับที่ 5 ของตาราง กลายเป็นที่ต้องการของบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรป ซึ่งหนึ่งในนั้นคือสโมสรคู่ปรับร่วมลีกของ "ไก่เดือยทอง" อย่าง เชลซี
เริ่มแรก เชลซี ใช้วิธีการติดต่อหา วลาโด เลมิช และ ดาวอร์ อูร์โควิช เอเย่นต์ ของ ลูก้า โมดริช เพื่อให้ตัวนักเตะทราบถึงความปราถนาของพวกเขา ซึ่งทำให้ ลูก้า โมดริช รู้สึกสนใจเป็นอย่างมากเนื่องจากก่อนย้ายมาอยู่กับ สเปอร์ส เมื่อปี 2008 เขาเคยได้รับข้อเสนอจาก "สิงห์บลูส์" มาแล้วครั้งหนึ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน ลูก้า โมดริช ที่เริ่มมีความลังเลในอนาคตของตนเองก็ถูกเอเย่นต์ทั้งสองคนพาตัวขึ้นเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวจากซาดาร์ โครเอเชีย ไปยังปลายทางเมืองคานส์ ฝรั่งเศส และเมื่อเครื่องบินลงจอดปรากฏว่ามีทีมงานจัดการส่วนตัวของเขารออยู่ ก่อนที่ ลูก้า โมดริช จะเดินทางด้วยรถตู้กระจกทึบต่ออีกราว 30 กิโลเมตรไปยังชายฝั่งของเมืองนีซ
อย่างไรก็ดีเมื่อรถตู้ของพวกเขาหยุดนิ่ง ลูก้า โมดริช ก็ต้องพบเจอเข้ากับความประหลาดใจแรกในการเจรจานี้ เพราะ โรมัน อับราโมวิช ได้จัดเจ้าหน้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไว้ต้อนรับพร้อมกับพาตัวทีมงานของ ลูก้า โมดริช ทั้งหมดขึ้นเรือสปีดโบ๊ท เพื่อพาไปยังเรือยอชท์ของ โรมัน อับราโมวิช ซึ่งจะเป็นสถานที่เจรจาที่แท้จริง
ลูก้า โมดริช เล่าถึงการพบกับ โรมัน อบราโมวิช บนดาดฟ้าเรือยอชท์ในคืนนั้นว่า "มันน่าตื่นเต้นมาก มีคนประมาณ 20 คนที่ดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของรายละเอียดด้านความปลอดภัย มันรวดเร็วและมีการจัดการที่ดี ขณะที่เราทำตัวสบายๆ บนดาดฟ้าที่หรูหรา อับราโมวิช ก็ปรากฏตัวขึ้น"
"เขามาพร้อมกับ ดาชาภรรยาของเขา และลูกชาย ผมรู้สึกทึ่งกับการหายตัวไปอย่างสุขุมของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในช่วงเวลาทันทีที่ โรมัน อบราโมวิช มาถึง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี จังหวะเวลาของพวกเขาสมบูรณ์แบบ"
"ผมเคยพบกับ อับราโมวิช เพียงครั้งเดียวเท่านั้น คือตอนที่ผมชมเกมระหว่าง เชลซี และ แอตเลติโก มาดริด ในค่ำคืนยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ เพราะได้นั่งใกล้กับเขา ซึ่งในการเจรจาที่โกโกตดาชูร์ โรมัน อับราโมวิช ได้ทิ้งความรู้สึกที่ค่อนข้างผ่อนคลายและลึกลับ เขาไม่ได้พูดจาไร้สาระและพูดว่า เรารู้ว่าคุณเป็นผู้เล่นที่มีคุณภาพ ผมอยากให้คุณเซ็นสัญญากับ เชลซี!"
โดยบทสนทนาระหว่างทั้งคู่บนเรือที่ ลูก้า โมดริช เปิดเผยมีดังนี้
โรมัน อับราโมวิช : ลูก้า โมดริช นายคิดว่า สเปอร์ส จะต่อตต้ายการย้ายทีมของนายไหม?
ลูก้า โมดริช : ผมคิดว่าการเจรจามันคงยากมากแน่ ๆ เพราะผมทราบดีว่าสโมสรอื่น ๆ คงไม่มีข้อเสนอที่ดีพอ
ฉากสุดท้ายของวันนั้นคือการที่ ลูก้า โมดริช และ โรมัน อับราโมวิช นั่งก๊งกันจนหมดขวดก่อนที่เขาทั้งคู่จะแยกย้ายกัน ทำเอาอดีตกองกลาง สเปอร์ส รู้สึกประทับใจในตัวเจ้าของเชลซี เป็นอย่างมาก "ขณะที่ โรมัน อับราโมวิช กล่าวคำอำลา เขาก็แนะนำให้เราพักผ่อนและว่ายน้ำ"
"แต่เราไม่ได้ทำแบบนั้น เราขอบคุณเขาแล้วเดินทางกลับภายใน 90 นาที เมื่อกลับมาถึงชายฝั่งนีซเราเดินเล่นรอบเมืองแล้วนั่งเครื่องบินกลับไปที่ซาเกร็บ ผม และ เอเย่นต์ รู้สึกประทับใจกับการประชุม แต่ลึก ๆ ข้างในลึก ๆ ผมดีรู้ว่า แดเนียล เลวี่ ประธานของท็อตแนม คงไม่อยากได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้" ลูก้า โมดริช
[เลวี ปิดประตู เชลซี]
ก่อนเข้าสู่โปรแกรมปรีซีซันของฤดูกาล 2011-12 ลูก้า โมดริช โดนนักข่าวโทรศัพท์มาถามว่า "อยากย้ายออกจาก สเปอร์ส จริงหรือไม่?" ซึ่งด้วยความซื่อสัตย์และไร้เดียงสา ลูก้า โมดริช จึงตอบกลับไปว่า "ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องก้าวไปข้างหน้าบนเส้นทางอาชีพของผม" ส่งผลให้เขามีข่าวเกี่ยวกับการย้ายทีมอยู่บนหน้าสื่อแทบทุกวันจนถึงวันสุดท้ายของตลาดซื้อ-ขายนักเตะ อย่างไรก็ตามทาง แดเนียล เลวี ได้ออกมาแถลงการณ์อย่างเอาจริงเอาจังว่าเขาจะไม่ยอมปล่อย ลูก้า โมดริช ออกจากทีม เพราะยังมีสัญญาอยู่กับ สเปอร์ส
ลูก้า โมดริช เล่าถึงช่วงเวลาอันแสนวุ่วายนั้น ว่า "ผมมาถึงลอนดอนก่อนเข้าโปรแกรมปรีซีซั่นและได้เข้าไปคุยกับท่านประธานสโมสร การสนทนาในวันนั้น ไม่มีคำพูดรุนแรงหรือดูหมิ่นอย่างที่สื่อพูด แต่บทสนทนาก็ตึงเครียด เลวี ตำหนิผมที่ประกาศต่อสาธารณะว่าผมต้องการย้ายออก และย้ำว่าท็อตแน่ม ไม่มีความตั้งใจที่จะขายไม่ว่าจะราคาใดก็ตาม"
"และแล้วช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดก็ตามมา สื่อวิเคราะห์สถานะของผมทุกวัน แฟนท็อตแน่มไม่พอใจที่ผมต้องการย้าย ในทางกลับกัน แฮร์รี เร้ดแนปป์ แสดงความเข้าใจต่อสถานการณ์ของผมสำหรับการปรากฏตัวต่อสาธารณะ เร้ดแนปป์ เป็นผู้จัดการทีมที่มีประสบการณ์ และเขามองเห็นมาหมดแล้ว ดังนั้นเขาจึงตระหนักถึงโอกาสที่เปิดกว้างในสโมสรที่มีความทะเยอทะยานมากขึ้น"
"เร้ดแนปป์ ยังรู้ด้วยว่าเขาต้องการผมเช่นเดียวกับผู้จัดการคนอื่นๆ เขาต้องการทีมที่แข็งแกร่ง เร้ดแนปป์ ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้ผมพอใจและรั้งผมไว้ ระหว่างทัวร์ปรีซีซั่นที่แอฟริกาใต้ เขายังตั้งผมเป็นกัปตันทีมด้วย แต่หัวใจและสมองของผมไม่ได้อยู่ที่นั่น ดังนั้นผมจึงยื่นคำร้องขอย้ายทีมอย่างเป็นทางการ"
ขณะที่ เชลซี นั้นไม่ได้ลดละความพยายามในการตามจีบ ลูก้า โมดริช พร้อมกับยื่นข้อเสนอที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ หลายต่อหลายครั้ง (ครั้งสุดท้ายราว 40 ล้านปอนด์) แต่ก็โดน แดนียล เลวี ปัดตกตลอด จึงไม่แปลกเลยที่ ลูก้า โมดริช จะมีอาการหัวเสียและเริ่มงอแงไม่อยากลงสนาม
"เกมที่เจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เร้ดแนปป์ ขอให้ผมลงสนาม ซึ่งผมบอกเขาไปว่าผมไม่มีสมาธิและไม่อยากเล่น ทว่า เร้ดแนปป์ ก็ยังยืนกรานจะให้ผมลงสนาม และด้วยความที่เขาปฏิบัติต่อผมดีมาโดยตลอด สุดท้ายผมเลยยอมเขา เกมวันนั้นเราแพ้ไป 1-5 ผมถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 60 มันเป็นหนึ่งในการเล่นที่แย่ที่สุดของผม"
[ยอมให้ชุดขาว]
3 วันหลังจากตลาดซื้อ-ขายหน้าร้อนของฤดูกาล 2011-12 ปิด ลูก้า โมดริช ที่มีภารกิจกับทีมชาติโครเอเชีย ก็ตระหนักได้ว่าประตูการย้ายทีมได้ปิดลงเป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่เขาจะปรับทัศนะคติของตนเองโดยใช้แนวทาง "ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วลงสนามไปทำงาน" จนเป็นแกนหลักของ "ไก่เดือยทอง" ตั้งแต่เกมลีกนัดที่ 2 เป็นต้นมา
กระทั่งในเดือนมกราคม ปี 2012 แดเดนียล เลวี ได้เดินทางมาที่บ้านของ ลูก้า โมดริช และพยายามโน้มน้าวแข้งรายนี้ให้ขยายสัญญากับ สเปอร์ส แต่สิ่งที่ทำให้ ลูก้า โมดริช รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยคือการที่ เลวี บอกว่าจะยอมปล่อยตัวเขาให้กับ เรอัล มาดริด
โดย โมดริช เล่าว่า "แดเนียล เลวี บอกผมว่าเขาจะปล่อยให้ผมไปรับข้อเสนอจากสโมสรใหญ่ อย่าง เรอัล มาดริด แต่ผมบอกเขาว่าผมจะไม่เซ็นอะไร เป้าหมายหลักของผมคือการเล่นให้ดีให้กับท็อตแน่ม และเตรียมพร้อมสำหรับยูโร 2012"
ปรากฏว่าในศึกพรีเมียร์ ลีก ฤดูกาล 2011-12 ลูก้า โมดริช ได้ลงสนามครบ 90 นาทีถึง 36 เกม แถมยังพา สเปอร์ส จบอันดับที่ 4 ของตาราง แต่ทว่าอดไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เนื่องจาก เชลซี ที่จบอับที่ 6 ของตาราง สามารถคว้าแชมป์ UCL สำเร็จ ขณะที่ สเปอร์ส ต้องลงไปเล่นถ้วยรองลงมาอย่าง ยูโรป้า ลีก
"แม้จะมีความวุ่นวาย แต่ผมก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเลวีอยู่เสมอ เขาคือคนที่พาผมมาท็อตแน่ม ด้วยค่าตัวสถิติในประวัติศาสตร์ของสโมสร สิ่งนั้นแสดงได้เห็นว่า เลวี คิดถึงผมมากขนาดไหน อย่างไรก็ตามผมไม่พอใจเขาเพราะมีหลายครั้งที่เขาสัญญาว่าจะให้ย้ายไปสโมสรที่ใหญ่กว่าแล้วกลับผิดสัญญา สำหรับผมคำสัญญาและคำพูดของคนๆ หนึ่งมีความสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใด ผมพิสูจน์ตัวเองแล้วในฐานะผู้เล่น"
"เอาตรง ๆ ผมไม่รู้หรอกว่าจะย้ายไปอยู่ทีมไหน ไม่รู้ว่า เลวี จะยอมขายผมหรือไม่และเมื่อไร แต่ผมเชื่อมั่นว่ามันถึงเวลาที่จะต้องก้าวต่อไป สู่ความท้าทายใหม่ที่ใหญ่กว่า หลังจากสี่ปีอันแสนวิเศษ ระหว่างที่เรารู้สึกเหมือนอยู่บ้านในอังกฤษ ผมและเอเย่นต์ ก็รู้ว่าชีวิตที่ สเปอร์ส มาถึงจุดจบแล้ว"
ทั้งนี้ดูเหมือนการไม่ได้ย้ายไป เชลซี ของ ลูก้า โมดริช จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับเขา เนื่องจากในปัจจุบัน ลูก้า โมดริช ก็ยังเป็นหนึ่งในกำลังหลักของ เรอัล มาดริด แม้เวลาจะผ่านเลยเกินกว่า 10 ปีแล้วก็ตาม