ในมหกรรมฟุตบอลโลก 2022 กาตาร์ ชาติเจ้าภาพได้สร้างความตื่นตาต่อคนทั้งโลกด้วยการแสดงศักยภาพในทุกด้านของประเทศเจ้าภาพมากที่สุดเท่าที่จะสรรหามาได้
เช่นการสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่สำหรับการแข่งขันแบบหลังคาเปิดปิดได้ มีจอยักษ์กลางสนาม และ "ติดแอร์" ทุกที่นั่ง (แม้เรื่องติดแอร์ทุกที่นั่งดูจะเกินจริงจากที่ได้ไปโขก็ตาม) ทั้งยังมีการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมเพื่อรองรับผู้ชมที่ทำให้เกิดความอยากไปสัมผัสบรรยากาศที่กาตาร์ทุกครั้งที่ได้รับชม ทั้งจากหน้าจอทีวีหรือติดขอบสนาม
วิธีการดังกล่าวไม่ใช่ของใหม่แต่เรียกว่า "Sport Mega-Event for Economic Growth" (SMEs) หรือก็คือการใช้ความเป็นเจ้าภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งนิยมใช้กันอย่างมากในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จวบจนถึงปลายยุค 2000s แต่แล้ววิธีการนี้ก็ค่อย ๆ ลดความนิยมลง หลังจากที่ประเทศเจ้าภาพเริ่มเกิดปัญหาตามมาภายหลัง ทั้งด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม หรือถึงขั้นเป็นรัฐล้มเหลวก็มีให้เห็น
ตรงนี้ก็เท่ากับว่ากาตาร์ทำอะไรสวนทาง สวนกระแสโลก อย่างนั้นหรือ ? แล้วตกลงว่าโมเดลแบบนี้ยังใช้ได้อยู่หรือไม่ ? ร่วมย้อนรอยและพิจารณาไปพร้อมกับ Main Stand
Pre-2000s : ยุคแห่งมหกรรมกีฬาพารัฐพุ่งทะยาน
ที่จริงนั้นโมเดล SMEs ได้ถูกอธิบายไว้ในหลายแนวทาง แต่สาระสำคัญก็คือ เมื่อประเทศคุณยังไม่เป็นที่รู้จักหรือไม่เป็นที่น่าดึงดูดใจต่อต่างชาติ หนึ่งในวิธีการที่ดีที่สุดในการโฆษณาว่าประเทศ "มีของ" อะไรบ้างคือการกระทำผ่านการเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬา
เพราะอย่าลืมว่าในยุคที่การเสพคอนเทนต์ที่มาจากมาจากการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ล้วน ๆ ฟังวิทยุทรานซิสเตอร์ หรือทีวีจอนูน ความบันเทิงเพียงไม่กี่อย่างที่จะสามารถสรรหาได้ก็คือมหกรรมกีฬา ซึ่งเป็นการจัดการแข่งขันที่ได้รับความนิยมจากผู้ชมทั่วโลกมากที่สุด
นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่การจัดโอลิมปิกไม่ได้เป็นไปเพื่อการประกาศศักดาของระบอบการเมืองการปกครอง (ตอนนั้นเป็นนาซีไม่ก็พวกรัฐเผด็จการ) โดยเริ่มนับตั้งแต่โอลิมปิก 1956 ณ กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ที่นับว่าการเป็นเจ้าภาพพัฒนาเศรษฐกิจไปแบบก้าวกระโดด
โดยเฉพาะการจัดกีฬากระแสหลักอย่าง โอลิมปิก และ ฟุตบอลโลก หรือกีฬาในภูมิภาคอย่าง ฟุตบอลยูโร เอเชียนเกมส์ หรือ ซีเกมส์ เป็นต้น
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่การเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาจะเป็นที่นิยมสำหรับการใช้เพื่อพัฒนาประเทศ และก็มีหลายประเทศที่สามารถยกเป็นกรณีศึกษาได้
"ญี่ปุ่น" ที่รับหน้าเสื่อจัดโอลิมปิก 1964 ในระยะเริ่มแรกรัฐบาลได้ทำการสร้างทางหลวงและทางพิเศษขึ้นมาเชื่อมต่อกับเมืองสำคัญและเมืองรองอื่น ๆ ทั้งยังเร่งขุดลอกคูคลอง เพิ่มพื้นที่สีเขียว ปรับทัศนวิสัยเมืองให้ดีขึ้น รวมถึงทำการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางรางอย่าง รถไฟชินคันเซน หรือรถไฟหัวกระสุนความเร็วสูงที่ผู้คนคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ก่อนที่ต่อมา ภาคเอกชน โดยเฉพาะนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะเข้าซื้อและเก็งกำไรที่ดิน ปล่อยเช่า และสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม หรือย่านการค้า เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะแห่แหนเข้ามา ซึ่งผลพวงที่ว่านี้ คือการเกิดย่านชิบูย่า ย่านยอดนิยมในปัจจุบัน
และภาพรวมทางเศรษฐกิจ ยอดรวมจากการขาย (Total Sales) อยู่ที่กว่า 4 พันล้านเยน คิดเป็นกว่าร้อยละ 80 ของจีดีพี ณ ตอนนั้น รวมไปถึงอัตราการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นแตะหลัก 2 แสนคน แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือญี่ปุ่นปักหมุดตนเองบนแผนที่โลกในฐานะมหาอำนาจ "ค่อนใหญ่" ทางเศรษฐกิจไม่แพ้อเมริกาและยุโรปเลยทีเดียว
กระนั้นสำหรับประเทศที่เป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาแล้วถือได้ว่า "พลิกชีวิต" ที่สุด ไม่มีอะไรที่ชัดเจนไปกว่า "เกาหลีใต้" นั่นเพราะจากการรับหน้าเสื่อจัด โอลิมปิก 1988 พวกเขาก็กลายเป็นประเทศที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจแบบรุดหน้าน้อง ๆ ญี่ปุ่น รวมถึงมีการพัฒนาศักยภาพประชากรในระดับสูงลิ่ว ทั้งที่ยังปกครองแบบอำนาจนิยมก็กลับกลายเป็นได้รับ "ประชาธิปไตย" และร่างรัฐธรรมนูญที่มีความยุติธรรมขึ้นในสังคมเสียอย่างนั้น
มี Conspiracy Theory หรือ "ทฤษฎีสมคบคิด" มากมายที่ถูกหยิบยกมาเพื่ออธิบายสิ่งดังกล่าว บ้างก็ว่าผู้นำทหารใจดีคืนความสุขให้แฟนกีฬา บ้างก็ว่าภาคประชาสังคมแข็งแกร่งพอจะบีบรัฐบาลได้ แต่เมื่อคิดถึงหลักคอมมอนเซนส์ นั่นคือตอนนั้นกระแสประชาธิปไตยกำลังมาแรง องค์กรข้ามชาติหรือองค์กรสากลต่างรณรงค์เรื่องนี้ หากประเทศใดไม่ทำตามก็จะถูกแบน
แน่นอนว่าองค์กรทางกีฬาอย่าง คณะกรรมการโอลิมปิกสากล ก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นหากโอลิมปิก 1988 จะจัดได้เกาหลีใต้จะต้องเป็นประชาธิปไตยเสียก่อน (แต่จะเต็มใบ ครึ่งใบ หรือมีลับลมคมในหรือลูกเล่นอะไรไว้แหกตาประชาชนก็ได้)
มิหนำซ้ำผลพวงในเวลาต่อมายังเป็นชนวนให้อิทธิพลของ "กองทัพ" ค่อย ๆ หมดสิ้นไปจากการเมืองเกาหลีใต้ แถมยังมีการไล่เช็คบิลอดีตผู้นำทรราชย์ทางการเมืองเป็นว่าเล่นอีกด้วย
ก่อนที่ในยุคต่อมาอะไร ๆ ก็จะพลิกขั้วสลับด้านอย่างไม่น่าเชื่อ
Post-2000s : ยุคแห่งมหกรรมที่เป็นเหมือน "กรรม" ของเจ้าภาพ
หากเป็นสมัยก่อนยุค 2000s การได้เป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาถือได้ว่าเป็นเกียรติเป็นศรี เป็นความยิ่งใหญ่ในการแสดงศักยภาพของประเทศนั้น ๆ แต่พอขึ้นสหัสวรรษใหม่เป็นต้นมาก็พบว่าประเทศที่รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพต่างรับภาระอันหนักอึ้งกันถ้วนหน้า ถึงขนาดที่เรียกได้ว่าเป็น "กรรม" ของเจ้าภาพเลยก็ว่าได้
อย่าง ประเทศกรีซ ที่รับหน้าเสื่อจัดโอลิมปิก 2004 ที่รัฐบาลต้องกู้หนียืมสินแบบไม่บันยะบันยังมาใช้เป็นทุน ส่งผลให้ประเทศถึงขั้นล้มละลายและไม่สามารถชำระหนี้ได้ด้วยตนเอง
เดือดร้อนถึงสหภาพยุโรปต้องเข้ามาอุ้มชูให้พอทำเนา และแน่นอนว่าผลเสียจากจุดนี้ทำให้ภาพที่ปรากฏสู่สายตาแฟนกีฬาคือสภาพสนามที่ถูกทิ้งร้าง ทรุดโทรม ผุผัง ไร้การเหลียวแล หรือทำนุบำรุง เหมือนสถานที่ผีสิงอย่างไรอย่างนั้น
หรือสด ๆ ร้อน ๆ อย่าง บราซิล ที่รับหน้าเสื่อจัดสองมหกรรมกีฬาหลัก ได้แก่ ฟุตบอลโลก 2014 และโอลิมปิก 2016 ในระยะเวลาห่างกัน 2 ปี ซึ่งมันทำให้รัฐบาลต้องกูหนี้ยืมสินมหาศาลมาลงทุน โดยคาดหวังว่าเม็ดเงินในภาคบริการโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่เป็นจุดขายหลักของประเทศมาช้านานจะเข้ามาช่วยส่งเสริมอีกทางหนึ่ง
หากแต่ในความเป็นจริงประชาชนที่มาเที่ยวก็คือมาเที่ยว โดยจำนวนไม่ได้แตกต่างจากก่อนจัดการแข่งขันมากเท่าใด และแน่นอนว่าพวกนี้ก็ไม่ได้พ่วงซื้อบัตรมาชมมหกรรมกีฬา มิหนำซ้ำแฟนกีฬาที่ตั้งใจมาชมกลับมีจำนวนน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ดังนั้นจากที่หวังกำไรเน้น ๆ กลับกลายเป็นว่าต้องติดหนี้มหาศาล ซึ่งในท้ายที่สุดจะกลายเป็นชนวนที่ใช้ในการแบ่งแยกทางการเมืองภายหลังเสียด้วย
กระนั้นก็มีกรณีงดเว้นอยู่ โดยมีงานศึกษาหลากหลายแขนงที่ระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า หากจะประสบความสำเร็จในการจัดโอลิมปิก GDP (ผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ) ของประเทศนั้น ๆ จะต้อง "อยู่ในระดับสูง" มาเป็นระยะเวลานาน หรือก็คือหากจะหวังว่าการจัดโอลิมปิกนั้นจะสร้างเม็ดเงินนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ วิธีที่เซฟที่สุดมั่นคงที่สุดคือ "ทางบ้านต้องดี" เสียก่อน ก่อนที่จะหาญกล้าเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมกีฬา
ส่วนในฟุตบอลโลก มีงานศึกษาวิจัยในเชิงเศรษฐศาสตร์ที่ว่า A kick for the GDP: the effect of winning the FIFA World Cup เขียนโดย มาร์โค เมโญ (Marco Mello) นักวิจัยแห่งคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ ระบุว่า
"จากที่ไปรวมรวมข้อมูลของ OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ) ตั้งแต่ปี 1961 จะพบว่าการชนะเลิศฟุตบอลโลกจะทำให้จีดีพีในประเทศพุ่งขึ้นอย่างน้อย 0.25 จุดในสองไตรมาส โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่จะพุ่งขึ้นมหาศาลจากการดีใจจนเนื้อเต้นที่ทีมชาติตนคว้าแชมป์โลกได้"
แต่จากงานศึกษานี้กลับแสดงให้เห็นอีกด้านหนึ่งว่า "ผลดังกล่าวไม่ปรากฏในประเทศผู้เป็นเจ้าภาพแต่อย่างใด" หรือก็คือ คนจัดจะไม่ได้ผลประโยชน์มากเท่ากับทีมชาติที่ชนะเลิศ หรือหากเป็นเจ้าภาพเองได้แชมป์เองก็จะมีผลลัพธ์เพียง "เท่าทุน" เท่านั้น
2022 : หรือกาตาร์จะเป็นความหวังใหม่ ?
เห็นได้ว่าเมื่อพิจารณาทั้งเชิงประจักษ์และเชิงงานศึกษาจะพบว่า การเป็นเจ้าภาพมีแต่เสียกับเสียและไม่เป็นผลดีมากว่า 20 ปี ดังนั้นเมื่อหันกลับมาดูกาตาร์ พวกเขาเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับความหายนะที่เกิดขึ้นกับบรรดาเจ้าภาพมหกรรมกีฬาทั้งหลายที่ผ่านมา
สิ่งที่เน้นหนักเป็นพิเศษคือการแก้ปัญหาและจุดอ่อนที่เจ้าภาพประเทศก่อน ๆ มักประสบพบเจอและไม่สามารถจัดการได้
แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของ "ความยั่งยืน" ของการสร้างสนามแข่งขัน โดยกาตาร์ได้สร้าง สเตเดียม 974 (Stadium 974) หนึ่งใน 8 สังเวียนฟาดแข้งที่สร้างขึ้นจากตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมด 974 ตู้และใช้โครงเหล็กแบบแยกส่วนที่ได้มาจากการรีไซเคิลส่วนหนึ่ง เป็นสนามที่มีความจุ 40,000 ที่นั่ง
นอกจากจะเป็นการแก้ปัญหาเรื่องการกลายเป็นสนามรกร้างราคาแพงเมื่อจบการแข่งขันเหมือนกับหลายแห่งในโลกยังเป็นการลดต้นทุน ประหยัดเวลาในการก่อสร้าง ประหยัดพลังงาน และจะถูกรื้อในภายหลังเพื่อส่งมอบให้กับประเทศด้อยพัฒนาในแอฟริกา เป็นการ "เวียนใช้" วัสดุอย่างคุ้มค่า
การสร้างโรงแรมลอยน้ำบนเกาะ เฆไทฟาน ไอส์แลนด์ นอร์ท (Qetaifan Island North) โดยคำนึงถึงความยั่งยืนเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก หรือสามารถเคลื่อนย้ายไปประจำการบริเวณชายฝั่งเมืองอื่น ๆ ที่มีน้ำลึกอย่างน้อย 4 เมตรได้เมื่อทัวร์นาเมนต์สิ้นสุดลง
รวมถึงมีการสร้างระบบขนส่งมวลชนสีเขียว โดยสร้างระบบรถไฟฟ้ารวมระยะทาง 76 กม. 37 สถานี โดยมุ่งหน้าสู่สนามกีฬา 5 แห่ง ส่วน 3 แห่งที่เหลือก็สามารถเข้าถึงได้ด้วยการเชื่อมต่อระหว่างรถไฟฟ้ากับรถประจำทาง สถานีรถไฟฟ้าทุกแห่งยังได้รับการออกแบบและดำเนินการภายใต้การรับรองอาคารสีเขียว เพื่อให้มั่นใจเรื่องการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
อีกทั้งยังลงทุนไปกับรถโดยสารใหม่จำนวนมากเพื่อเพิ่มโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งสาธารณะของประเทศ ซึ่งปัจจุบัน 20% เป็นรถโดยสารไฟฟ้าที่เตรียมพร้อมเปิดตัวรถโดยสารด่วนพิเศษแบบไฮบริด (eBRT) และคาดว่าจะสร้างสถานีชาร์จประมาณ 700 แห่งเพื่อรองรับรถไฟฟ้าและ eBRT ที่จะมาแทนที่รถเก่า
อย่างไรเสียแม้ความพยายามที่กล่าวมาอาจฟังดูน่ายินดีถึงความเปลี่ยนแปลง พลิกแพลง และหาวิธีใหม่ ๆ ในการกำจัดจุดอ่อนต่างๆ กระนั้นตั้งแต่ทศวรรษ 2020s เป็นต้นมาก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าการจัดมหกรรมกีฬาเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศจะไม่ได้ผลอีกต่อไป คงต้องมารอดูกันอีกครั้งหลัง ฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์จะสิ้นสุดลง
ถึงตอนนั้นอาจจะถึงคราวที่ต้องมาพิจารณากันอีกทีว่าจะ "หมู่หรือจ่า" กันแน่
แหล่งอ้างอิง
หนังสือ Growth Impact of Major Sporting Events
หนังสือ Mega-Events and Mega-Ambitions: South Korea’s Rise and the Strategic Use of the Big Four Events
บทความ Urban Development and Social Change in Qatar: The Qatar National Vision 2030 and the 2022 FIFA World Cup
บทความ A kick for the GDP: the effect of winning the FIFA World Cup
https://www.bloomberg.com/news/features/2021-06-03/how-the-tokyo-olympics-in-1964-changed-japan-s-capital-forever
https://www.cnbc.com/id/37484301#:~:text=When%20it%20comes%20to%20overspending,put%20up%20massive%20rescue%20loans.
https://nypost.com/2017/02/10/rios-big-arenas-and-even-bigger-debt-after-the-olympics/