Feature

ขึ้นฝั่งปุ๊บชุบตัวปั๊บ : ว่าด้วยการเป็น "เจ้าอาณานิคม" ผ่านนักเตะแอฟริกาอพยพในโปรตุเกส | Main Stand

ในโลกปัจจุบันทุกประเทศต่างตะโกนหา "ความเป็นอิสรภาพ" (Independent) อย่างจริงแท้กันทั้งนั้น จึงได้เห็นการเดินขบวนประท้วง เรียกร้องเสรีภาพ ขอคืนอำนาจอธิปไตยแก่ประชาชนในประเทศ ต้องการให้มีการบริหารจัดการกำหนดความเป็นไปของสังคมด้วยตนเอง และปลดแอกประเทศทั่วทุกทวีป

 

เมื่อเวลาผ่านไป แม้การล่าอาณานิคมจะสิ้นยุคสมัยลง แต่ก็มีบางจำพวกที่ประเทศอดีตเจ้าอาณานิคมได้ใช้การ "ทำให้เป็นอาณานิคม" (Colonization) ในรูปแบบใหม่ที่ไม่โจ่งแจ้งและไม่ประเจิดประเจ้อที่ทำแบบลับ ๆ ไม่ให้ประชาคมโลกได้สังเกตเห็น หรือต่อให้เห็นก็แทบจะมองไม่ออกและไม่ทันได้ฉุกคิด 

ซึ่งหนึ่งในวิธีการดังกล่าวคือการใช้ "ฟุตบอล" เพื่อดึงดูดนักเตะจาก "ประเทศอดีตอาณานิคมจากแอฟริกา" ให้บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาค้าแข้งยังดินแดนตน โดยหนึ่งในประเทศที่ใช้โมเดลนี้และประสบความสำเร็จไม่น้อยนั่นคือ โปรตุเกส ประเทศระดับกลางในยุโรป 

โปรตุเกสทำได้อย่างไร ? มีตื้นลึกหนาบางในการปฏิบัติอย่างไร ? ร่วมติดตามไปพร้อมกับเรา

 

โมเดลยอดนิยม

ก่อนอื่นนั้นหากจะเข้าใจพลวัตของเรื่องเจ้าอาณานิคมรูปแบบใหม่จะต้องเข้าใจภาพกว้างของความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ระหว่างประเทศในยุโรป อดีตเจ้าอาณานิคม และประเทศในแอฟริกา อดีตดินแดนใต้อาณัติเสียก่อน

เมื่อกระแสการปลดแอกเกิดขึ้นไปทั่วทุกมุมโลก ประเทศแถบแอฟริกาถือได้ว่าได้รับเอกราช (Decolonization) แทบจะช้าที่สุด กว่าจะมาได้กันครบก็ราวยุค 1960s-1970s โดยดินแดนสุดท้ายที่ปลอดจากการครอบครองของยุโรปคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนอาหรับซาราวี (Sahrawi Arab Democratic Republic) ที่ได้เอกราชจากสเปนในปี 1976 ซึ่งในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโมร็อกโกและเมาริเตเนีย และยังคงมีปัญหาเรื่องเขตแดนคาราคาซังมาจนถึงตอนนี้

กระนั้นเมื่อได้รับเอกราชและเข้าสู่ยุค "โพสต์โคโลเนียล" (Post-Colonialism) ใช่ว่าประเทศแอฟริกาเหล่านี้จะอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างที่ได้วาดฝันไว้ 

เพราะบรรดาประเทศแถบนี้ก็ยังคงไม่สามารถที่จะอยู่ได้ด้วยลำแข้งของตนเองจริง ๆ จากการบริหารประเทศที่ผิดพลาด ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ คำสาปทรัพยากร (Resource Curse : มีแหล่งทรัพยากรมากแต่ใช้ไม่เป็น) ดัชท์ ดีซีส (Dutch Disease : ขายแต่สินค้าชนิดเดียว พอราคาตกก็เลยล่มจม) หรือแม้กระทั่งประสบกับภาวะ "รัฐล้มเหลว" (Failed State)

อีกทั้งยังพัวพันกับปัญหาผู้นำเผด็จการ อำนาจนิยม และละเมิดสิทธิเสรีภาพอย่างต่อเนื่อง จนแทบไม่ต่างกับสมัยอยู่ใต้อาณานิคมเลย เพียงแต่เปลี่ยนจากฝรั่งคอเคซอยด์มาเป็น "คนพื้นที่เดียวกัน" ที่ทำกันเอง ดีไม่ดีจะเป็นการ "เจริญลง" เสียด้วยซ้ำ สถานการณ์เช่นนี้ทำให้แต่ละประเทศตั้งมั่นไม่ได้และดูน่าจะล่มจมลงกว่าเดิม

ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่จะมีการ "กลับจุดเซฟ" ไปนึกถึง "ลูกพี่" ที่มา "แจกความเจริญ"  อย่างพวกเจ้าอาณานิคมที่เป็นฝรั่งชาวยุโรปตาน้ำข้าวนั่นเอง

ประเทศในแถบแอฟริกาแทบจะพึ่งพาทุกสิ่งทุกอย่างจากยุโรปโดยเน้นไปที่การช่วยเหลือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจที่จะดึงเม็ดเงินและการลงทุนมาสู่ดินแดนกาฬทวีป ด้วยความหวังว่าการกระทำเช่นนี้จะช่วยการันตีอนาคตอันสดใสของตนได้

จนสิ่งนี้แทบจะเป็นความเคยชินไปทั่วเสียด้วยซ้ำ

ทีนี้จึงเป็นเรื่อง "อ้อยเข้าปากช้าง" ของทั้ง สหราชอาณาจักร เบลเยียม ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี เยอรมัน และ โปรตุเกส อย่างยิ่ง จากที่แต่เดิมต้องยึดครองเพื่อสูบทรัพยากร บัดนี้กลับได้รับเรียนเชิญให้มาดูดได้แบบไม่ผิดหลักสากล ใครล่ะจะอดใจไหว

โดยเฉพาะดินแดนอาณานิคมของโปรตุเกสที่แทบจะรั้งท้าย กว่าจะได้เอกราชเวลาก็ล่วงเลยมาสู่ปี 1975 เข้าไปแล้ว นั่นจึงทำให้ความเป็นอาณานิคมยังคงคุกรุ่นอยู่ การกลับมาครั้งนี้จึงเหมือนยังคงความเป็นเจ้าอาณานิคม เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไปให้เข้ากับยุคสมัย ผ่านคำว่า "ช่วยเหลือ" ซึ่งกันและกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องของฟุตบอล

ฝรั่งเศส และ เบลเยียม ถือเป็นสองประเทศแรก ๆ ที่เปิดเสรีให้ผู้คนจากอดีตดินแดนในปกครองทั่วทุกมุมโลกสามารถอพยพขึ้นฝั่งมาทำมาหากินได้ ซึ่งแน่นอนว่าส่วนมากก็เป็นการเข้ามาประกอบอาชีพนักฟุตบอลเป็นหลัก เพราะในยุคที่กีฬาชนิดนี้ยังไม่ได้ขับเคลื่อนเข้าสู่ความเป็นทุนนิยมเต็มตัวก็ถือว่าเป็นอาชีพที่ต่ำต้อย ค่าแรงต่ำ และต้องใช้แรงงานมหาศาล เหมาะกับชาวกาฬทวีปเป็นอย่างมาก 

เท่านั้นยังไม่พอ หากใครสามารถยกระดับฝีเท้าจนเทพจริงๆ ขนาดว่าเหนือกว่าคนขาวได้ก็จะได้รับการพิจารณา "ให้สัญชาติ" เป็นการตอบแทน (เลือกหรือไม่เลือกก็ได้ แต่ส่วนมากมักจะคว้าไว้ติดมือ) ทำให้พวกเขาสามารถลงเล่นให้ทีมชาติฝรั่งเศสและเบลเยียมได้

แม้จะยังไม่ถึงระดับทีมชาติ แต่บรรดาแข้งแอฟริกาก็ช่วยให้ลีกภายในประเทศมีการแข่งขันที่สนุกสนานขึ้น สามารถขึ้นมาต่อกรกับ 5 ลีกใหญ่ได้อย่างทรงประสิทธิภาพ จากความอึดถึกทนที่สามารถวิ่งลืมตาย ซึ่งเป็นคุณสมบัติติดตัวของแข้งเหล่านี้

แน่นอนเมื่อเล็งเห็นถึงประโยชน์ของแข้งอพยพเช่นนี้ โปรตุเกสที่ในอดีตในยุค 1950s-1960s เคยประสบความสำเร็จในการนำนักเตะจากดินแดนอาณานิคมมาปั้นจนดังระเบิดอย่าง ลูคัส มาเตตู (Lucas Matetu) ที่ยิงกระจายให้กับสโมสรเบเลเนนเซ่, มาริโอ โคลูนา (Mário Coluna) ห้องเครื่องพรสวรรค์ หรือระดับตำนานอย่าง ยูเซบิโอ (Eusébio) ศูนย์หน้าปรากฏการณ์แห่งเบนฟิกาและทีมชาติโปรตุเกส 

ดังนั้นโปรตุเกสจึงเร่งดำเนินการเฟ้นหาเพชรในตมเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะเจาะจงไปที่กลุ่มประเทศ "เบญจภาคีที่ใช้ภาษาโปรตุเกสในแอฟริกา" (Países Africanos de Língua Oficial Portuguesa : PALOP) หรือก็คือ อดีตประเทศใต้อาณานิคมโปรตุเกสเป็นหลัก

โดย PALOP ประกอบไปด้วย 6 ประเทศ ได้แก่ แองโกลา (Angola), คาเป แบร์เด (Cape Verde), กินี-บิสเซา (Guinea-Bissau), โมซัมบิก (Mozambique), เซาตูเมและปรินซิปี (São Tomé and Príncipe) และ อิเควทอเรียลกินี (Equatorial Guinea) 

ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อช่องทางเปิดให้ดำเนินสะดวกเช่นนี้ นักฟุตบอลในบรรดาประเทศ PALOP จึงเกิดการ "แห่อพยพ" (Exodus) ไปยังโปรตุเกสจำนวนมาก หรือย้ายไปสู่ประเทศในยุโรปอื่น ๆ (ส่วนมากเป็นสเปนและเยอรมนี) 

นั่นจึงทำให้ในขั้นต้นโปรตุเกสถือว่าได้รับทุนทรัพยากรมนุษย์จำนวนมากมายและหลากหลาย เพิ่มตัวเลือกให้วงการฟุตบอลในประเทศได้มากโขและสามารถสนับสนุนระบบอคาเดมีต่อไปได้ยาว ๆ อย่างต่อเนื่อง 

ถึงแม้โมเดลนี้จะรับมาและหลายประเทศก็ใช้ หากแต่โปรตุเกสนั้นถือว่าทำแล้ว "ประสบความสำเร็จ" แทบจะมากที่สุด นั่นเพราะลีกในประเทศสามารถ "ปั้นเพื่อขาย" ที่ช่วยให้ได้กำไรอย่างมหาศาล ซึ่งที่ขายได้ส่วนมากก็เป็นแข้งเยาวชนจากกาฬทวีปที่มาชุบตัวแล้วไปที่อื่นต่อ ทำให้มีเม็ดเงินไหลมาเทมา นับเฉพาะบิ๊กทรีอย่าง เบนฟิกา, สปอร์ติง ลิสบอน และ เอฟซี ปอร์โต รวมกันก็ทะลุหลักพันล้านยูโรเข้าไปแล้ว

มิหนำซ้ำสิ่งนี้ยังเป็นการช่วยเหลือวงการฟุตบอลของประเทศกลุ่ม PALOP อีกทางหนึ่ง เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องใช้ระยะเวลาพัฒนาระบบลีกในประเทศให้มีความแข็งแกร่งหากโปรตุเกสการันตีว่าจะมาดึงไปแน่ ๆ เช่นนี้ พวกเขาเพียงแค่ทำให้เยาวชนมีที่ทางในการแสดงออกถึงศักยภาพในการเล่นฟุตบอลให้มากที่สุดเป็นพอ ที่เหลือก็รอรับเม็ดเงินอย่างสบายใจ

กระนั้นก็ใช่ว่าสิ่งนี้จะส่งผลดีต่อประเทศแอฟริกาแบบสุด ๆ ขนาดที่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย

 

ไม่ต้องขอ ฉันก็จะยอมให้

แม้วิธีการข้างต้นจะถือว่าเป็นสิ่งที่ "วิน-วิน" (Win-Win Situation) กับทั้งโปรตุเกสและประเทศในแอฟริกา เพราะโปรตุเกสก็ได้แหล่งทรัพยากรนักฟุตบอลมาจากแอฟริกา ส่วนแอฟริกาได้เม็ดเงินในการทำนุบำรุงพัฒนาต่อยอดฟุตบอลภายในประเทศ 

หากแต่เมื่อพิจารณาเชิงลึกนั้นอาจจะคาดคะเนได้ว่า ในกรณีนี้แท้จริงทางฝั่งโปรตุเกสนั้นถือว่าได้เปรียบมากพอสมควร 

นั่นเพราะการกระทำดังกล่าวถือเป็นการบังคับทางอ้อมที่ไม่จำเป็นต้องขู่เข็ญ นักฟุตบอลจากกาฬทวีปก็แทบจะยอมอพยพมาค้าแข้งกันบานตะไทอย่างไม่มีเงื่อนไข

แน่นอนว่าในยุคที่ทุนนิยมแบบเสรีนิยมใหม่ที่บูชาตลาดและการไต่เต้าไปสู่จุดสูงสุดสำคัญเหนือสิ่งใด มนุษย์ย่อมต้องตะโกนหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเองเพื่อเติมเต็มความเป็นเลิศอย่างไม่รู้จบเสมอ

ยิ่งผู้คนจากแอฟริกาที่มีความรู้สึกนึกคิดว่าตนนั้นด้อยกว่าผู้คนจากที่อื่น ๆ ก็ยิ่งทำให้แรงขับเคลื่อนแห่งชีวิตจึงมีมากตามไปด้วย

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากโอกาสไปในที่ที่ดีกว่ามาถึง ชีวิตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรไม่อาจคาดการณ์ หากแต่สิ่งที่เป็นอยู่ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นไปมากกว่านี้ การ "ไปตายดาบหน้า" จึงเป็นสิ่งที่พึงกระทำ

นี่เป็นยิ่งกว่าการอธิบายด้วยคำว่า "สมองไหล" เพราะนักฟุตบอลส่วนใหญ่ไปแล้วไปลับไปไม่กลับย้อนมาและยอมละทิ้งมาตุภูมิเปลี่ยนสัญชาติแบบไม่ลังเล มีน้อยคนจริง ๆ ที่ยังคงมีสำนึกรักบ้านเกิดยอมกลับมาเล่นให้ หรือไม่ก็แค่ไปไม่สุดทางแล้วกลับมาตายรัง

อย่าง ทีมชาติแองโกลา ที่ได้ไปลุยศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี 2006 ก็มีจำนวน 9 จาก 23 คนที่ค้าแข้งอยู่ในโปรตุเกส และ 5 คนที่ลีกอื่น ๆ (รวม 14 คน) ถือว่าเกินครึ่งถ้าเทียบกับนักเตะท้องถิ่นเสียเลยทีเดียว

และหากพิจารณาไปที่รายชื่อทีมที่พวกเขาเหล่านี้สังกัดในโปรตุเกสก็จะพบว่า เป็นทีมระดับกลางไปจนถึงท้ายตารางทั้งนั้น มันยิ่งตอกย้ำว่านักเตะจากกาฬทวีปเมื่อมีฝีเท้าดีก็จะไม่มีทางหลุดมาถึงมาตุภูมิเป็นแน่ 

และยิ่งตอกย้ำไปอีกขั้นเมื่ออังโกลาอยู่ในกลุ่ม D ร่วมกับทีมชาติโปรตุเกส ที่ก็มีแข้งเลือดเนื้อเชื้อไขแดนแองโกลาที่เลือกเล่นให้โปรตุเกสอย่าง คอสตินญา (Costinha) กลางรับพันธุ์ดุจาก ดินาโม มอสโก ลงสนามด้วย

ความรู้สึกของเกมดังกล่าวจึงเหมือนกับ โปรตุเกสทีมหลัก ปะทะ โปรตุเกสทีมรอง มากกว่า โปรตุเกส ปะทะ แองโกลา เสียอีก

"พวกประเทศรวย ๆ (ยุโรป) ก็นำเข้าแต่ของดี ๆ (นักเตะ) โดยทิ้งอะไรก็ไม่รู้ที่เปล่าประโยชน์มาให้เรา (แอฟริกา) ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราโดนเอารัดเอาเปรียบชัด ๆ นี่เป็นการสร้างสถานการณ์แบบต้องอิงอาศัย และยิ่งจะทำให้สโมสรและทีมชาติของพวกเรา (ในแอฟริกา) อับจนหนทาง"

คำกล่าวของ อิซซา ฮายาโทอู (Issa Hayatou) อดีตประธานซีเอเอฟและรักษาการประธานฟีฟาชาวแคเมอรูน น่าจะอธิบายถึงความอัดอั้นตันใจถึงประเด็นนี้ได้เป็นอย่างดี

แต่ด้วยปัจจัยเท่าที่กล่าวก็ไม่อาจทำให้โปรตุเกสดำรงวิธีการดังกล่าวมาได้นานได้ขนาดนี้ เพราะยังมีปัจจัยสำคัญอีกประการที่เลี่ยงจะเอามาพิจารณาไม่ได้

 

ฟีฟ่า และ ซีเอเอฟ ห้ามได้ก็ไม่สุด

นอกเหนือจากปัจจัยภายในที่เป็นส่วนส่งเสริมให้โปรตุเกสสามารถดำเนินการเช่นนี้ได้อย่างลื่นไหลและไม่มีอุปสรรค สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือปัจจัยภายนอกที่ไม่ได้เข้ามากำกับ ควบคุม กำหนดทิศทาง หรือแทรกแซงให้โปรตุเกสดำเนินการไม่สะดวกได้ โดยตัวแสดงที่สำคัญในส่วนนี้คือ ฟีฟ่า (FIFA)

ฟีฟ่าเองมีความพยายามในการสกัดกั้นไม่ให้บรรดาแข้งจาก PALOP อพยพเข้ามายังโปรตุเกสมากจนเกินไป และกำหนดให้นักเตะจะต้องมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์เท่านั้นจึงจะเดินทางมาค้าแข้งที่โปรตุเกสได้

รวมถึงให้การช่วยเหลือด้านเม็ดเงินและการจัดตั้งระบบอคาเดมีแก่กลุ่มประเทศ PALOP และทั่วทั้งแอฟริกา ผ่านแคมเปญ GOAL Project เพื่อหวังขัดเกลาและเจียระไนเพชรเม็ดงามไม่ให้ออกไปค้าแข้งที่ไหนไกลอีก

อีกทั้ง สมาพันธ์ฟุตบอลแอฟริกา (Confederation of African Football : CAF) เองมีส่วนร่วมในการจูงใจให้บรรดาแข้งแอฟริกาไม่จำเป็นจะต้องอพยพไปค้าแข้งที่ยุโรป และรณรงค์ให้หันมาร่วมกันสร้างวงการฟุตบอลในแต่ละประเทศแข็งแกร่งขึ้นจะดีกว่า 

โดยทางสมาพันธ์ฯ พยายามตะโกนหาสปอนเซอร์และเร่ขายลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด รวมถึงพยายามสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับทั้งการแข่งขันระดับภูมิภาคอย่างแอฟริกา คัพ ออฟ เนชันส์ ที่ร่นระยะให้มาจัดทุก ๆ 2 ปีจากแต่เดิมที่จัดทุก ๆ 4 ปี รวมถึงย้ายปีจัดไปเป็นปีที่ลงท้ายด้วยเลขคี่แทนเลขคู่ เพื่อไม่ให้ระยะเวลาทับซ้อนกับฟุตบอลโลกและฟุตบอลยูโร

แต่กระนั้นเมื่อแข่งบุญแข่งวาสนาไม่ได้ฉันใด แข่งกำลังเงินกำลังทรัพย์ย่อมไม่ได้ฉันนั้น แม้จะทำทุกวิถีทางแล้วแต่จากเรื่องของเม็ดเงินไม่มีทางที่ซีเอเอฟจะสามารถจัดหามาให้เทียบเท่ากับที่ยุโรปจัดมาได้เลยแบบแทบไม่จะเห็นฝุ่น ไม่ว่าจะพยายามอีกกี่ร้อยกี่พันชาติก็ตาม

ส่วนหนึ่งฟุตบอลยุโรปติดลมบนไปแล้วในตลาดและเข้าครอบครองใจของแฟนบอลทั่วโลกมาอย่างยาวนานจนแทบจะสร้างความเคยชินไปแล้ว มันจึงเป็นการยากที่ผู้เล่นในตลาดหน้าใหม่ ๆ จะก้าวขึ้นมาต่อกรและท้าทายได้

อีกส่วนหนึ่งคือสายสัมพันธ์ที่สุดแสนจะแน่นแฟ้นของกระบวนการสร้างอาณานิคมรูปแบบใหม่ โดยโปรตุเกสที่ก็ไม่ได้เพิ่งมาสร้างในช่วงหลังจากการปลดแอก หากแต่ได้ทำมาตั้งแต่ช่วงอาณานิคมจนถึงปัจจุบันอย่างไม่ขาดตอน จากการนำเงิน นำสัญชาติมาล่อและบังคับโดยอ้อมอย่างที่ได้กล่าวไป

ดังนั้น ฟีฟ่า และ ซีเอเอฟ จึงทำอะไรได้ไม่มากนอกจากการสร้างข้อห้ามหรือการสร้างข้อจำกัดแก่โปรตุเกสให้ได้มากที่สุด ซึ่งก็ทำได้ไม่สะดวกเท่าไร เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าอาณานิคมรูปแบบใหม่นี้ทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่ง ทั้งในแง่ของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในกาฬทวีป รวมไปถึงเม็ดเงินที่จะหลั่งไหลหมุนเวียนในระบบเข้าสู่องค์กรฟีฟ่าและซีเอเอฟ ต่อมาในอนาคต

ท้ายที่สุดแล้ว อาณานิคมรูปแบบใหม่ ที่กล่าวถึง ณ ตอนนี้ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ประเทศไหน ๆ ก็ทำกันไปแล้วโดยไม่ได้มีความรู้สึกตะขิดตะขวงใจ ไม่ชอบมาพากล หรือผิดแปลกเลยด้วยซ้ำไป 

 

แหล่งอ้างอิง

บทความ African Football Labour Migration to Portugal : Colonial and Neo‐Colonial Resource
บทความ Football and Colonialism, Domination and Appropriation: the Mozambican Case
บทความ Football Academies and the Migration of African Football Labor to Europe
บทความ Dark-skinned pioneers in European national football teams patterns and stories
https://www.independent.co.uk/news/world/europe/inquiry-into-slave-trade-in-african-footballers-622877.html 

Author

วิศรุต หล่าสกุล

หน้าตา 4KINGS ฟังเพลง 4EVE

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ