Feature

เตะบอลกันป่วย: ฟุตบอลกับการเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเสริมพลานามัยที่แข็งแรงโดยรัฐไทย | MAIN STAND

“กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ ฮ่าไฮ่ ฮ่าไฮ่ กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลสทำคนให้เป็นคน ผลของการฝึกตน เล่นกีฬาสากล ตะลาล่า” 

 


เนื้อเพลง กราวกีฬา ที่ประพันธ์โดย “ครูเทพ”  เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ท่อนฮุกนี้เป็นท่อนที่ติดหูชาวไทยทั่วแดน และน่าจะบ่งบอกถึงการให้ความสำคัญของการเล่นกีฬาในแง่ที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย ทำให้ประชาชนไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย ๆ ได้เป็นอย่างดี 

แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่ ๆ คนไทยจะเกิดการอยากเล่นกีฬาขึ้นมาเสียเฉย ๆ หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลสำเร็จของ “การส่งเสริมจากภาครัฐ” เพื่อเสริมสร้างสุขอนามัยที่แข็งแรงให้กับประชาชน โดยจัดให้มีการฝึกสอนกีฬาทั้งสายทหารและสายพลเรือน ไปจนถึงการผลิตบุคลากรทางการฝึกสอนกีฬาลงสู่สถานศึกษาของสามัญชนต่าง ๆ มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว

แต่เมื่อเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ 6 ก็ได้มีพระราชดำริให้เติมความแข็งแรงของร่างกายไปอีกมิติหนึ่งด้วยการมุ่งให้ประชาชนหันมา “เตะฟุตบอล” กันมากขึ้น โดยท่านได้รับแรงบันดาลใจมาจากโลกตะวันตกที่นิยมเล่นกีฬาชนิดนี้มานานพอตัว และท่านก็เล็งเห็นว่าฟุตบอลนั้น “กันป่วย” ได้ดีไม่แพ้กีฬาอื่น ๆ รวมถึงสร้างนิสัย “ใจนักเลง หรือ แฟร์เปลย์” แก่ประชาชนได้ดียิ่งขึ้น 

และแน่นอนว่าฟุตบอลก็ได้เข้าไปครอบครองใจทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ได้อย่างถ้วนหน้าในระยะเวลาอันสั้นตั้งแต่ครานั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกแต่อย่างใดที่ตอนนี้จะเห็นคนไทยเตะฟุตบอลกันอย่างดาษดื่น ทั้งการเตะกันขำ ๆ ในระดับรากหญ้าที่เน้นสนุกสนาน เรียกเหงื่อเรียกแรงตามข้างถนน ริมฟุตบาท หรือใต้ทางด่วนก็มีให้เห็น

Main Stand จึงจะพาไปย้อนรอยการนำฟุตบอลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเสริมพลานามัยที่แข็งแรงโดยรัฐไทยในยุคก่อน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่ประสบความสำเร็จของฝ่ายบริหารประเทศจากส่วนกลางในการเข้าไปกำกับวิธีคิดของประชาชนมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

 

รูปแบบใหม่แห่งการเล่นกีฬา

ชาวไทยนั้นคุ้นเคยกับการส่งเสริมการกีฬาจากภาครัฐมาตั้งแต่ประมาณปี 2433 ที่มีการตั้ง ราชกรีฑาสโมสร พร้อมกับ ๆ การตั้ง สมาคมวายเอ็มซีเอ เพื่อให้เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมการกีฬาแก่ประชาชนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัชกาลที่ 5 ผ่านกระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการ ในปัจจุบัน) อีกทางหนึ่ง 

รวมถึงท่านยังได้ให้ประกาศราชกิจจานุเบกษาว่าด้วยการส่งเสริมกีฬา ซึ่งเป็นเหมือนการประกาศ “แผนแม่บท” บอกประชาชนว่าจะทำจริง ๆ อย่างจริงจัง และมันก็ยิ่งสนับสนุนความนิยมด้านกีฬามากยิ่งขึ้น เป็นครั้งแรก ๆ ที่นำกีฬาสากลเข้ามาฝึกสอนในประเทศพร้อม ๆ กับการนำเข้าผู้ฝึกสอนชาวต่างชาติอีกด้วย

แต่กระนั้นกีฬาที่นิยมเล่นและฝึกสอนกันมักเป็นกีฬา “ประเภทเดี่ยว” ไม่ว่าจะเป็นกีฬาไทยโบราณ อาทิ มวยไทย กระบี่กระบอง หรือการเล่นว่าว แม้กระทั่งกีฬาสากลอย่าง มวยสากล แบดมินตัน หรือกรีฑาต่าง ๆ เรียกได้ว่าเป็นการปะทะประชันแบบ “ข้ามาคนเดียว” เก่งก็เก่งไปเลย ไม่เก่งก็ไม่เก่งไปเลย 

จนมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยท่านได้ยก ”กีฬาฟุตบอล” ขึ้นมาเป็นส่วนสำคัญให้เป็นกีฬาหลักและส่งเสริมให้ประชาชนได้เล่นกันอย่างแพร่หลายแทนกีฬาประเภทแบบเดิม ๆ ที่เคยครองใจประชาชนมาตั้งแต่รัชสมัยของพระราชบิดาของพระองค์

ฟุตบอลนั้นเป็นกีฬา “ประเภททีม” ซึ่งไม่เหมือนกับกีฬาประเภททีมที่ได้รับความนิยมรองลงมาในไทยอย่าง ชักกะเย่อ ตะกร้อ หรือเรือพาย นั่นก็เพราะกีฬาเหล่านี้ชิงชัยกันแบบ “จบในตัว” หรือก็คือ หากทำเวลา ทำแต้ม หรือทำเซ็ตได้ครบกำหนดก็ถือว่าชนะไป แต่ฟุตบอลนั้นไม่ได้กำหนดให้จบด้วยสิ่งเหล่านี้ หากแต่เป็นการ “กำหนดด้วยเวลา” ที่ใครทำประตูได้ภายในเวลาที่กำหนดมากกว่าจึงจะกำชัยไปได้

โดยการกำหนดเวลาแบบนี้นับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับวงการกีฬาไทย ณ ขณะนั้นเป็นอย่างมาก เพราะมันส่งผลถึง “ความคุ้นเคยในวิธีการเล่น” จากแต่เดิมที่ได้แต้มแล้วพัก ไปสุมหัวตีมือกันเฮ เหนื่อยอึดใจเดียวแล้วได้แต้มได้เซ็ตก็จบ แต่กับฟุตบอล ผู้ล่นจะต้องกัดฟันวิ่งตลอดการแข่งขัน (สมัยก่อนเตะครึ่งละ 30 นาที) โดยมีเวลาให้พักแค่ระหว่างครึ่งทางเท่านั้นเอง บอกได้คำเดียวว่าไม่หมดแรงข้าวต้มก็ให้มันรู้ไป 

ความแปลกใหม่นี้ส่งผลดีต่อประชาชนในแง่ของการสร้างพละกำลังประมาณหนึ่ง เพราะผู้ที่จะเล่นต้องมีความฟิตระดับเสพยาม้าถึงจะวิ่งได้ครบสองครึ่งของการแข่งขัน รวมไปถึงจะต้องมี “กลยุทธ์” ในการวิ่ง ต้องวิ่งให้ฉลาด รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา เพื่อถนอมเรี่ยวแรงให้ยืนระยะจนจบการแข่งขันให้ได้

รวมไปถึงช่วยสร้างวิธีคิดของการ “ทำงานเป็นทีม” เข้ามาด้วย ฟุตบอลไม่สามารถเล่นคนเดียวได้ นักกีฬาทั้ง 11 คนจะต้องมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การจะทำประตูคู่แข่งจะต้องอ่านจังหวะให้ดี รู้เขารู้เรา โดยเฉพาะการรู้สไตล์ของเพื่อนร่วมทีมว่ามีวิธีการวิ่งแบบไหน ชอบวิ่งไปตรงไหน หรือมีจุดเด่นจุดด้อยอะไร นักกีฬาฟุตบอลต้องอ่านให้ออกทั้งหมดจึงจะสามารถเล่นฟุตบอลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งจุดนี้เองถือเป็นคุณูปการของฟุตบอลที่ส่งผลต่อประชาชนเป็นอย่างมากจนอาจจะเรียกได้ว่าเป็น “กิจกรรมนันทนาการรูปแบบใหม่” ที่ประเทศไทยไม่เคยมีมาก่อนในตอนนั้น

แต่แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญในกีฬาฟุตบอลไม่ได้มีเพียงเรื่องการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดหรือวิธีการเล่นเพียงอย่างเดียว

 

เตะแล้วเป็นยอดชาย

วิธีคิดและวิธีการเล่นที่เป็นของใหม่ก็ส่วนหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ฟุตบอลมาถึงจุดนี้ได้เป็นเพราะ ฟุตบอลต้องการคุณลักษณะของผู้เล่นที่ไปกันได้กับ "ความเป็นสุภาพบุรุษ” หรือ “เยนเติลแมน" ที่รัชกาลที่ 6 มุ่งหมายให้ผู้ชายชาวไทยเป็นอย่างถ้วนหน้า 

ซึ่งเยนเติลแมนนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “ความเป็นชายแบบวิกตอเรียน” ที่กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลกตะวันตก ณ ขณะนั้น โดยมีแก่นสำคัญคือจะต้องเป็นผู้ชายที่มีความกล้าหาญ พร้อมต่อสู้อย่างองอาจ พร้อมเสียสละได้แม้แต่ชีวิตของตนในการปกป้องบ้านเมือง รวมถึงจะต้องเป็นคนมีเหตุมีผล ไม่ด่วนสรุปตัดสินสิ่งใดไปก่อน

และสิ่งที่ขาดไปไม่ได้สำหรับการจะเป็นเยนเติลแมนแบบไร้ที่ติ นั่นคือ จะต้องมี "การข่มจิตข่มใจ ข่มกิเลสตัณหา" เย็นชา นิ่ง ขรึม ใครมายั่วยุให้เกิดอารมณ์ก็ไม่ควรตอบโต้และวางตัวแบบมีมาด ขณะเดียวกันก็จะต้องปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างสุภาพ อ่อนโย่น นอบน้อม ที่สำคัญต้องรักเดียวใจเดียวที่ซื่อสัตย์ต่อหญิงที่รัก 

ซึ่งตรงนี้ถือว่าเข้ากันกับการเล่นฟุตบอลได้อย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย เพราะกีฬาชนิดนี้ จำเป็นจะต้องมีการปะทะทางกายกันแทบจะทุกนาที อาจเบียดไหล่ชนไหล่อย่างหนักหน่วง เข้าสกัดแบบถึงพริกถึงขิง ตัดฟาล์วแบบถอนรากถอนโคน หากบรรดานักกีฬาไม่มีความเป็นเยนเติลแมนแล้วหละก็ สนามหญ้าสีเขียวก็คงนองไปด้วยโลหิตสีแดงฉานจากการแจกหมัดแจกเท้ากันอย่างแน่นอน

โดยการเล่นดังกล่าว ในทางฟุตบอลเรียกว่า แฟร์เพลย์ (Fair Play) หรือที่ในบริบทของไทย จะเรียกว่า “ใจนักเลง หรือ แฟร์เปลย์” นั่นคือ เป็นการเล่นแบบขาวสะอาด เล่นแบบเปิดเผย ไม่มีนอกไม่มีใน มีน้ำใจนักกีฬา แพ้แล้วไม่พาล รวมถึงจะต้องยกเกียรติของคู่แข่งให้เสมอตน เคารพซึ่งกันและกันทั้งในและนอกสนามอีกด้วย

ตรงนี้เป็นความตั้งใจของรัชกาลที่ 6 ที่อยากให้ความเป็นเยนเติลแมนเข้ามาแทนที่ “ความเป็นชาย” แบบเก่าที่จะต้องมีความห่าม ดิบเถื่อน ฟาดฟันอย่างถึงเครื่อง ไม่สิ้นชีพไม่มีหยุดปะทะ แน่นอนว่าความเป็นชายแบบนี้ส่งผลต่อมาถึงการเล่นกีฬาด้วย ซึ่งถือว่าไม่มีความเป็นอารยะสิ้นดี

แต่ท่านเล็งเห็นว่าฟุตบอลนั้นมีที่ทางให้เยนเติลแมน อันเป็นอุดมคติความเป็นชายของท่าน ได้ออกมาโบยบิน สมควรยิ่งที่จะทำให้ชายไทยเป็นชายแบบที่ท่านคิด ดังที่ทรงพระราชอรรถาธิบายถึงฟุตบอลไว้ว่า 

“…เปนสิ่งได้ให้ผลดีกว่าอย่างอื่นในการเพาะความรู้สึกเปนมิตร์ และชักนำให้บุคคลต่างหมู่ต่างเหลาได้มามีโอกาสพบปะกระทำความสามัคคีสนิมสนมซึ่งกันและกัน…เวลาใดที่คนหนุ่ม มาประชุมรวมกันอยู่ในที่แห่งเดียวกันเป็นจำนวนมากจะเป็นทหารหรือพลเรือนก็ตาม ความคะนองอันเป็นธรรมดาแห่งวิสัยหนุ่มจำเป็นต้องมีทางระบายออกโดยอาการอย่างใด อย่างหนึ่ง…”

นั่นก็หมายความว่าการเตะฟุตบอลก็เปรียบเสมือนการได้ฝึกความเป็นเยนเติลแมนไปพร้อม ๆ กับการลดความเป็นชายแบบเดิม ๆ ทิ้งไป เมื่ออยู่ในสนามจะต้องเป็นเยนเติลแมนเท่านั้น หากทำไม่ได้จะถือว่า “เล่นอย่างทุจริต” หรือ ฟาล์ว ในภาษาปัจจุบัน และได้รับทัณฑ์จากผู้ตัดสินตามแต่วินิจฉัย (สมัยก่อนยังไม่มีการแจกใบเหลืองใบแดง)

ทำให้เมื่อเวลาต่อมาที่ฟุตบอลกลายเป็น “กีฬาแมส” ในสังคมไทยมากขึ้น ชายไทยทั่วทุกที่ก็เสมือนได้รับการติดตั้งเยนเติลแมนไปโดยปริยายแบบที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว

 

การพลศึกษาเพื่อควบคุมวินัย

เยนเติลแมนนั้นแม้จะไปกันได้ดีกับฟุตบอล แต่ก็เป็นเพียง “ส่วนทฤษฎี” หากไม่มี “ส่วนปฎิบัติ” ก็ยากที่จะทำให้มะนแพร่สะพัดไปได้ไกลขนาดที่เป็นอยู่ ซึ่งภาริกจที่สำคัญสำหรับเรื่องนี้คือการใช้การพลศึกษา เพื่อ “ควบคุมวินัย” ของประชาชน ให้ตระหนักว่า การเล่นกีฬานั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข

“คนที่ไม่แข็งแรงก็ไม่มีประโยชน์ในการสงคราม นับว่าอยู่เปลืองข้าวสุกเปล่า” และจะถูกเรียกว่า “ไม่ใช่ทหาร” ซึ่ง “…เท่ากับว่า ไม่ใช่ผู้ชาย…” 

คำกล่าวของรัชกาลที่ 6 นี้สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนโดยเฉพาะผู้ชายจะต้องทำตัวให้มีความแข็งแรง มีสุขอนามัยดีอยู่เสมอ หากชายใดปล่อยเนื้อปล่อยตัว ละเลยไม่แยแสสุขภาพของตนเอง ก็อาจทำให้ประเทศชาติขาดกำลังในการปกป้องประเทศได้ 

ท่านจึงพระราชนิพนธ์ “กันป่วย” ในฐานะหนังสือ “ช่วยตัวเอง (Self-help)” สำหรับผู้ชายในการดูแลร่างกาย เช่น อย่าดื่มเหล้า, อย่าสูบยา, อย่าหาโรคใส่ตัว และอย่าคบผู้หญิงไม่ดี โดยเฉพาะผู้หญิงประเภทโสเภณี โดยโสเภณีถูกจัดประเภทให้อยู่สถานะเดียวกับเหล้าและฝิ่น เพราะเป็นพาหะของ “กามโรค” ที่บั่นทอนสุขภาพ

ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งเสริมให้ผู้ชายเล่นกีฬา เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง กำยำ เพิ่มความอดทน มีระเบียบวินัย รู้จักรักษาความสะอาด มีความสามัคคี สร้างมิตรภาพระหว่างผู้ชาย และช่วยให้ผู้ชายมีการข่มจิต ข่มใจ ข่มกิเลสตัณหา ไม่เสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์กับเหล้า ยาสูบ และผู้หญิง อีกด้วย

ซึ่งการทำให้กีฬาเป็นยาวิเศษนี้เองทำให้ประชาชนโดยเฉพาผู้ชาย ต้องมานั่งคิดแล้วคิดอีกว่าจะกินเหล้าดีไหม สูบยาดีไหม ไปเที่ยวโสเภณีคลายเครียดดีไหม เพราะทำแล้วส่งผลให้ร่างกายเสื่อมลง สมรรถภาพลดลง หรือเป็นชายที่ไม่สมชาย ตรงนี้นับว่าเป็นการควบคุมวินัย ที่ได้ผลชะงัดดีเลยทีเดียว

การควบคุมวินัยนี้เองได้ส่งผลถึงยุคต่อมาคือช่วง รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ภาครัฐใช้ประโยชน์ในการยกระดับการควบคุมประชาชนผ่านการเล่นกีฬาไปอีกขั้น โดยกระทำผ่าน “สถาบันการเมือง” เป็นสำคัญ

อย่างการให้กรมสาธารณสุข (ปัจจุบันเป็นกระทรวง) ออกประกาศแนะนำให้ประชาชนหันมาบริโภค “โปรตีน” เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ มีแรงแข็งขันมากขึ้น รณรงค์ให้สร้าง “สถานกายบริหาร” (หรือ ยิม ในปัจจุบัน) สอนออกกำลังกาย และเล่นกีฬา หรือกระทั่งใช้หนังสือพิมพ์ในการประชาสัมพันธ์ “วิธีเล่นกล้ามแบบสายฟ้าแล่บ” ก็ทำมาแล้ว

เรื่อยมาจนถึงยุคสงครามเย็นที่ภาครัฐก็ยังคงให้สถาบันการเมืองเล่นบทบาทนำอยู่ หากแต่เปลี่ยนเป็น “กรมพลศึกษา” ซึ่งเป็นการเข้ามาจัดการการกีฬาโดยตรง 

โดยได้ส่งเสริม “การจัดมหกรรมกีฬา” ขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และความสำคัญของกีฬาในการพัฒนาประเทศ โดยเริ่มจากระดับใหญ่ เช่น กีฬาแหลมทอง (ซีเกมส์ ในปัจจุบัน) ลงมาจนถึงระดับรากหญ้าอย่างกีฬาเขต 

รวมไปถึงการฝึกอบรมบุคลากรทางการพลศึกษให้กระจายไปสอนตามโรงเรียนทั่วทุกภูมิภาค ให้ผู้เยาว์ตระหนักถึงความสำคัญของการเล่นกีฬา เพื่อดูแลสุขภาพร่างกายของตนเอง และแน่นอนว่าในการควบคุมวินัยนี้มีกีฬาอันดับ 1 อย่างฟุตบอลเป็นตัวชูโรง อย่างที่ได้กล่าวไป 

ดังนั้นก็อย่าได้แปลกใจที่ ณ ตอนนี้ การบ้าเข้ายิม เล่นฟิตเนส เสริมกล้ามเนื้อ หรือแม้กระทั่งการกินคลีนหรือกินลีนที่เน้นโปรตีนในมื้ออาหาร จะได้รับความนิยม เพราะพวกนี้เป็นที่ “ต้อง” นิยมมาช้านานแล้ว 

 

แหล่งอ้างอิง

หนังสือพระราชนิพนธ์ กันป่วย
หนังสือ สยาม เยนเติลแมน
บทความ ความเจริญแห่งฟุตบอล ในวารสาร ดุสิตสมิต ฉบับพิเศษ
วิทยานิพนธ์ พัฒนาการของการพลศึกษาในประเทศไทย
วิทยานิพนธ์ การสร้างร่างกายพลเมืองไทยในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม พ.ศ. 2481-2487
https://www.silpa-mag.com/culture/article_34734 
https://www.silpa-mag.com/history/article_89407 

 

Author

วิศรุต หล่าสกุล

หน้าตา 4KINGS ฟังเพลง 4EVE

Graphic

ภราดร ภราดร

อยากจะทำให้ดี ไม่ใช่แค่อยากจะทำให้เป็น