โลกเรานี้มันมีเรื่องแปลกๆมากมาย บางครั้งเราเองก็ไม่แน่ใจว่ากิจกรรมบางอย่างของคนบางกลุ่มถูกยอมรับในสากลได้อย่างไร นั่นล่ะครับเรากำลังจะพูดถึงเรื่องเด่นของเราในวันนี้ นั่นคือกีฬา "แข่งแบกเมีย"
แค่ชื่อก็ดูๆไปแล้วเหมือนหาเรื่องใส่ตัวสำหรับผู้เข้าเเข่งกันฝ่ายชายเป็นอย่างยิ่ง หากท่านผู้อ่านมีประสบการณ์ชีวิตคู่ก็น่าจะพอเข้าใจความรู้สึกได้ว่า ยิ่งคบกันนานเท่าไหร่ น้ำหนักของเหล่ากวางน้อยของก็เรายิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น...ก็เหมือนความรักเราสองคนเลย
จากกรณีดังกล่าวแค่อุ้มเฉยๆก็หลังแทบยอกเเล้ว แต่เมื่อคุณลงเเข่งขัน Wife carrying คุณต้องแบกเมียสุดที่รักวิ่งข้ามอุปสรรคต่างๆนาๆ บ่อโคลนบ้างล่ะ กระโดดข้ามกองฟางบ้างล่ะ หรือแม้แต่วิ่งลุยน้ำก็ยังมี มันจะลำบากแค่ไหนกันหนอ แค่คิดภาพก็ปวดบั้นเอวเเล้ว
กระนั้นมนุษย์เราก็ดั้นด้นผลักดันกีฬาแบกเมียให้เป็นกิจกรรมที่ใหญ่โตระดับโลกจนได้ และถ้าคุณสงสัยว่าพ่อบ้านเหล่านี้คิดอะไรจึงหาเรื่องใส่ตัวแทนที่จะเอาแรงไว้เตะฟุตบอลกลับเอามาแบกเมีย นี่คือเรื่องราวทั้งหมดที่ Main Stand จะพาคุณไปล้วงลึกถึงตำนานกีฬาชนิดนี้
ขุดกันตั้งแต่ต้นกำเนิด
เมื่อมันเป็นกีฬาที่มีความแหวกก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้นกำเนิดมันจะแปลกๆไปตามๆกัน คือเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อช่วงปี 1800 ซึ่งมีกลุ่มโจรกลุ่มหนึ่งชื่อว่า "แก๊ง รอนไคเน่น" ซึ่งถึงว่าเป็นอภิมหาชั่วตัวท็อปแห่งยุคเลยก็ว่าได้พวกเขาเหล่านี้นอกจากยกเค้า, ปล้น และ ขโมยทรัพย์สินมีค่าแล้ว ยังขยี้หัวใจเจ้าของบ้านด้วยการแบกหญิงสาวในหมู่บ้านขึ้นบ่า ก่อนจะพากลับไปยังดินเเดนของตนเเละเปลี่ยน "เมียคนอื่น" ให้เป็น "เมียของข้า" ในช่วงเวลาหลังจากนั้น
ว่ากันว่าเจ้าแก๊ง “รอนไคเน่น” ตำนานแห่งเเดนฟินเเลนด์นั้น เอาจริงเอาจังมากๆกับการขโมยเมียของชาวบ้าน ถึงขนาดที่ว่ามีการฝึกฝนเรื่องการแบกหามโดยเฉพาะ เรียกได้ว่าฝีมือการใช้อาวุธนั้นไม่สำคัญเท่าพลังการแบกหากคุณอยากจะอยู่แก๊งนี้
โดยตามตำนานว่ากันแก๊งคนโฉดนี้สามารถแบกของได้หนักกว่าน้ำหนักตัวเอง 2-3 เท่า และกิจกรรมยามว่างของพวกเขาคือการซ้อมแบกกระสอบเพื่อทำให้การปล้นแต่ละครั้งเสร็จกิจไวที่สุด
แม้คุณผู้อ่านจะคิดในใจว่า "เอ๊ะ แทนที่จะเอาเวลาไปแบกกระสอบเป็นปีๆ เพื่อไปเอาไปแบกเมียคนอื่นเเล้ววิ่งหนี สู้เอาเวลาไปจีบสาวเสียเองเลยมันจะไม่ประหยัดเวลากว่าหรือ?" ....ซึ่งก็ต้องขอบอกว่าา "ใช่ เราก็คิดแบบนั้น" แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ รสนิยมของคนเราไม่เหมือนกัน พวกเขาเหล่านั้นอาจจะชอบเสพความตื่นเต้นจากการแย่งชิงก็เป็นได้….
ทุกตำนานย่อมมีเหตุผลและมีเบื้องลึกที่อาจคลาดเคลื่อนกันได้เสมอดังคำกล่าวที่ว่าประวัติศาสตร์เปลี่ยนได้ด้วยปากกา จากการฝึกซ้อมเพื่อแย่งเมียคนอื่นก็กลายเป็นการฝึกซ้อมความแข็งแกร่งเพื่อแบกเมียของตัวเอง ซึ่งที่สุดเเล้วจากวีรกรรมของขุนโจร ก็กลายมาเป็นกีฬาของเหล่าพ่อบ้านของประเทศฟินแลนด์ใช้เเสดงความรักต่อศรีภรรยาคู่ใจในท้ายที่สุด
การแข่งขันแบกเมียแบบยุคใหม่ครั้งแรกเริ่มขึ้นในเมืองซอนคายาร์วี่ ประเทศฟินเเลนด์ในปี 1992 ซึ่ง ณ เวลานั้นยังเป็นการแข่งกันเองในประเทศ เรียกได้ว่าเป็นงานตามรอยตำนานหากจะพูดให้เห็นภาพก็คงเหมือนเมืองไทยที่มีตลาดน้ำย้อนยุคที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้าจะแต่งตัวในแบบยุคโบราณอะไรประมาณนั้น เพราะผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่จแต่งตัวเหมือนพวกแก๊ง “รอนไคเน่น” ทั้งชุดเกราะและหมวกไวกิ้งเป็นพร็อพที่จะขาดไปเสียไม่ได้
หลังจากผ่านการแข่งขันในปีแรก ก็เริ่มได้รับความสนใจจากคู่ ผัว-เมีย จากหลายประเทศทั่วทุกมุมโลกที่อยากพิสูจน์ความแข็งแกร่งและความรัก จนกระทั่งที่สุดเเล้วก็มีการใช้ชื่อรายการอย่างเป็นทางการว่า "Wife Carrying World Championships" และเพิ่มระดับความยากขึ้นด้วยการเติมอุปสรรคเข้าไปหลายๆด่านทั้งน้ำ, ทราย และ โคลน จากที่ตอนแรกเป็นการวิ่งแข่งกันเท่านั้น
เขาเเข่งกันอย่างไร?
แม้จะเป็นกีฬาที่ดูเหมือนจะเอาฮา แต่เมื่อเป็นการเเข่งขันระดับโลกแล้วก็ต้องมีกฎและกติกากันสักหน่อย เพียงแต่ว่าอ่านมาถึงกฎข้อแรกก็รับรู้ได้เเล้วว่ากีฬาชนิดนี้ไม่ธรรมดา เพราะพวกเขาระบุไว้ว่า "ผู้เข้าร่วมทุกคนต้องสนุกกับการเเข่งขัน" ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการเตือนเอาไว้ก่อนว่าหากแพ้ก็อย่าได้ถือโทษโกรธผัว เพราะกฎข้อต่อไปบอกว่า ภรรยา ที่เป็นฝ่ายถูกแบกจะต้องมีอายุเกิน 17 ปี และมีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 49 กิโลกรัม แต่ถ้าอยากจะเเข่งจริง แต่น้ำหนักเบากว่ากำหนด ก็สามารถใส่ที่ถ่วงน้ำหนักเพิ่มให้ครบ 49 กิโลกรัมได้
แต่ละกฎกติกาดูเหมือนว่าจะไม่ได้คำนึงถึงผลแพ้ชนะกันมากมายนัก นอกจากนี้ยังอนุญาตให้คู่ที่เข้าแแข่งขันไม่จำเป็นต้องเป็นคู่สามี-ภรรยา กันจริงๆก็ได้
แม้ทุกอย่างจะดูชิลๆทว่าเหล่าผู้เข้าแข่งขันก็พยายามจะคิดค้นหาเทคนิคที่จะประหยัดแรงคนแบกให้มากที่สุดจนกระทั่งได้เจอท่าไม้ตายที่เรียกได้กลายเป็นท่าฮ็อตฮิตติดลมบนจนทุกคู่ที่เข้าเเข่งขันวิ่งแบกเมียต้องใช้ท่านี้ ซึ่งนั่นคือท่า "เอสโตเนีย แคร์รี" ซึ่งท่านี้จะให้ผู้หญิงพลิกกลับสลับหัวท้ายกับผู้ชาย และใช้ขาของผู้หญิงมาเป็นที่จับเพื่อช่วยผ่อนแรง ขณะที่ฝ่ายหญิงที่กำลังกลับหัวต้องกอดเอวผู้ชายเอาไว้ให้แน่นเพื่อกันหลุดและหัวทิ่มพื้น ตลอดระยะเส้นทางการแข่งขัน 253.5 เมตร
โดยท่านี้มีต้นกำเนิดจากนักเเข่งสัญชาติเอสโตเนีย ซึ่งนักแข่งสัญชาตินี้คว้าแชมป์ถึง 10 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 1998 ถึงปี 2008 เรียกได้ว่าตั้งแต่ฟินเเลนด์เปิดให้คนต่างชาติเข้าแข่ง ชาวเอสโตเนีย และเทคนิคที่เปลี่ยนโลกของพวกเขา ทำให้ไม่ต้องแบ่งแชมป์ให้กับใครเลยเป็นเวลาร่วมทศวรรษ
"ผมไม่มีความลับอะไรหรอก ก็แค่วิ่งให้เร็วและออกกำลังกายช่วงขาเยอะๆ กางแขนออกจะช่วยรักษาบาลานซ์ระหว่างเดินได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยผ่อนแรงด้วยนะ" นี่คือสิ่งที่มาร์โก้ อูซอร์ก ผู้เข้าเเข่งขันเจ้าของต้นตำรับท่า "เอสโตเนีย แคร์รี่" และคว้าแชมป์ที่ฟินแลนด์ได้ถึง 5 ครั้งเปิดใจถึงเบื้องหลังชัยชนะอันยิ่งใหญ่
แต่จริงๆแล้วหลังจากเราได้ค้นข้อมูลของ อูซอร์ก เเล้วเนี่ย เราคิดว่าเขามีความลับนะ เพียงแน่ว่าเขาคงไม่อยากจะบอกในวงกว้างสักเท่าไหร่ เพราะผู้หญิงที่เขาแบกในการเเข่งขันนี้ชื่อ เอเกิล ซอลล์ ... ซึ่งเธอไม่ใช่ภรรยาของเขา เหตุผลที่เขากล้าทำแบบนั้นก็เพราะว่า สุดที่รักของเขามีน้ำหนักมากเกินไป เรียกได้ว่าถ้ามัวแต่รักเมียจนถึงขั้นเอามาเป็นพาร์ทเนอร์ในการเเข่งด้วยเเล้วรับรองว่าความฝันแชมป์โลกของ อูซอร์ก จอดไม่ต้องแจวแน่ๆ
"ก็เธอหนักเกินไปอะ ...เดี๋ยวนะ นั่นฟังดูไม่ค่อยน่าจะดีเท่าไหร่ เอาใหม่ดีกว่า ผมคิดว่าเธอไม่อ้วนหรอก เพียงแต่เธอหนักเกินไปสำหรับการเเข่งขันนี้" เขากำลังให้สัมภาษณ์แบบเสี่ยงตายถึงคู่ชีวิตของเขาที่มีความสูงเกือบ 6 ฟุต และหนักถึง 127 ปอนด์ ขณะที่ ซอลล์ คู่จิ้นในสนามของเขาสูงแค่ 5 ฟุตและหนัก 101 ปอนด์เท่านั้นเอง
กฎข้อแรกของการเเข่งขันแบกเมีย "ผู้เข้าร่วมทุกคนต้องสนุกกับการเเข่งขัน" แต่ดูเหมือนว่า อูซอร์ก จะไม่สนซะเเล้ว เพราะแม้แต่เมียเขาก็ยังไม่กลัว กล้าแบกสาวอื่นๆด้วยท่าทางที่ประหลาดๆ แม้จะเเลกมาด้วยการเป็นเจ้าของสถิติโลกในเวลานี่ 56.9 วินาที แค่นี้ก็ต้องยอมรับว่าเขาช่างเป็น “พ่อบ้านใจกล้า” ตัวจริง
ฮิตนะครับเป็นเล่นไป
ณ ด้วยความแหวกแนวของการแข่งขัน ที่มีทั้งแบบเเข่งขันกันแบบจริงจังอย่างได้ที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว การแข่งขันแบกเมียนี้ยังถูกจัดประเภทให้สำหรับผู้เข้าแข่งขันที่ไม่ได้หวังชนะแต่อยากจะมาสนุกด้วยการแจกรางวัลคอสตูมหรือเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีการเรียกเสียงฮาด้วยสลับให้ภรรยามาแบกสามีก็มี
ความหลากลายในรูปแบบทำให้ปัจจุบันการแข่งขันแบกเมียชิงแชมป์โลกแข่งขันกันมาอย่างต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับรวมเป็นระยะเวลา 21 ปี นอกจากนี้ยังมีการแตกสาขาเป็นระดับชิงแชมป์หลายสนามหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ออสเตรเลีย, หลายชาติในอเมริกาเหนือ, สหราชอณาจักร, สหรัฐอเมริกา และ เอเชีย โดยเฉพาะฝั่งเอเชียนั้นฮิตมากจนถูกไปทำหนังบอลลีวู้ดชื่อว่า Dum Laga Ke Haisha ซึ่งทำออกมาเป็นแนวโรแมนติกคอมเมดี้
กีฬาแบกเมียประสบความสำเร็จไปทั่วบ้านทั่วเมือง และมีชื่อเสียง ถูกพูดถึงในหน้าสื่อมากขึ้นเรื่อยๆ แชมป์ของสหรัฐอเมริกาอย่าง เอห์ริน และ เอพริล อาร์มสตรอง มีชื่อเสียงโด่งดังได้ไปเป็นแขกรับเชิญของเกมโชว์อย่าง I've Got a Secret.
นอกจากนี้คู่หูผู้ประกาศข่าวอย่าง BBC ไมค์ เบอร์เชล และ สเตฟ แม็คโกเวิร์น ก็ยังถึงกับต้องทำสกู๊ป และลงเเข่งขันเองในปี 2013 ซึ่งการแข่งขันในปีนั้น สเตฟ ที่เป็นผ่ายหญิงเป็นคนที่แบก ไมค์ พิธีกรชายวิ่งเข้าเส้นชัยอีกต่างหาก
ยิ่งเวลาผ่านไปกีฬาแบกเมียยิ่งจะฮิตมากขึ้นเรื่อยๆ และในปี 2019 ที่ผ่านมาก็เพิ่งได้แชมป์ไปสดๆ ร้อนๆ โดยแชมป์เป็นของ วีเทาทัส เกิร์กลิอุสคัส และ เนรินกา เคอร์เคียอุสเกียเน จากลิธัวเนีย ที่เฉือนชนะคู่แข่งจาก ฟินแลนด์ ด้วยเวลา 66.7 วินาที และถือเป็นแชมป์ 2 ปีซ้อนอีกด้วย ซึ่งหลังจากได้แชมป์เขาไม่มีสิ่งใดจะพูดนอกจากบอกว่า "ไม่มีอะไรมาก เมียของผมเธอสุดยอดจริงๆ" ... แบบนี้เรียกว่าอยู่เป็น
เราคิดว่าพ่อบ้านไทยเองก็ไม่น่าจะแพ้ชาติใดในโลกหากมีโอกาสก็ควรจะพาสุดที่รักของคุณไปแบกแข่งกับนักเเข่งทั่วโลก แต่ถ้านั่นเสียวไส้ไม่พอเราขอแนะนำให้คุณแบกคนอื่นที่ไม่ใช่เมีย ...ไม่แน่คุณอาจจะเป็นเจ้าของสถิติโลกเหมือนกับ อูซอร์ก ตำนานแห่งเอสโตเนียก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม บอกไว้ก่อนนะว่าเราไม่รับประกันหากคุณกลับถึงไทยและเมียของคุณมารอรับฮีโร่แชมป์โลกที่สนามบินเหมือนกีฬาอื่นๆ ถึงตอนนั้นแล้วล่ะก็โลกจะได้รู้ว่าคุณเเกร่งจริงจนถึงขั้นรอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชหรือเปล่า...
แหล่งอ้างอิง
https://www.spudart.org/blog/margo-uusorg-rules-estonians-world-wife-carrying-champions-a/
https://www.irishtimes.com/news/margo-and-wife-carry-off-the-prize-1.319017
https://en.wikipedia.org/wiki/Wife-carrying#In_popular_culture
http://www.fredericksd.com/wife-carrying