
การเป็นสโมสรที่วางเป้าหมายไวยิ่งใหญ่ จำเป็นต้องมีสมาชิกที่เข้ามาอยู่ในทีมแล้วต้องเพิ่มจุดแข็ง ไม่ใช่เป็นจุดอ่อน ... นี่คือสิ่งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังมองหาในวันที่พวกเขาเพิ่งคว้าเทรเบิลแชมป์ ในปี 1999
ปีเตอร์ ชไมเคิล ผู้ยิ่งใหญ่จากไป ก็ได้เวลาหาผู้มาแทน ซึ่งหวยไปออกที่ มาร์ค บอสนิช มือ 1 จาก แอสตัน วิลล่า ผู้มาสร้างปัญหา มากกว่าสานต่อความยิ่งใหญ่แบบคนละเรื่อง
นี่คือเรื่องราวที่นักเตะชุด 3 แชมป์พูดตรงกันแทบทุกคนว่า "เหลือจะเชื่อ" ที่ บอสนิช ได้มาอยู่กับทีมอย่าง ยูไนเต็ด ในช่วงที่กำลังพีคสุด ๆ
ติดตามเรื่องของเขากับ Main Stand
เมื่อ "ตำนาน" เดินจากไป
ฤดูร้อนปี 1999 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพิ่งปิดฉากฤดูกาลประวัติศาสตร์ด้วย เทรเบิลแชมป์ พรีเมียร์ ลีก, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ในความยิ่งใหญ่ทั้งหมดนั้น ก็ถือเป็นการเริ่มต้นของเรื่องใหม่ ๆ อีกหลาย ๆ เรื่องเช่นกัน

ปีเตอร์ ชไมเคิล ผู้รักษาประตูระดับตำนาน ตัดสินใจอำลาทีมไป ด้วยเหตุผลของความอิ่มตัว และต้องการออกไปท้าทายประสบการณ์ใหม่ ๆ
ชไมเคิล ไม่ใช่แค่ผู้รักษาประตู และไม่ได้มีหน้าที่แค่เซฟลูกยิงของฝั่งตรงข้ามเท่านั้น แต่เป็นพี่ใหญ่ในแผงเกมรับ เสียงตะโกนของเขาคุมเกมรับได้ดีกว่ากัปตันทีมบางคนเสียอีก และนั่นคืออิทธิพลที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอมรับว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะหาใครสักคนมาแทนที่ของเขา
แต่ถึงจะยาก อย่างไรก็ต้องหาใครสักคนเข้ามาแทนที่ และมันค่อนข้างแปลกที่ในเวลานั้นมีผู้รักษาประตูแถวหน้าของโลกมากมายหลายคนที่ทีม 3 แชมป์อย่าง ยูไนเต็ด จะไปคว้าตัวมาได้ แต่สุดท้ายคนที่เดินเข้ามาท่ามกลางข่าวลือและสร้างความมึนงง กลับเป็นผู้รักษาประตูที่แทบจะโนเนม แถมเพิ่งหมดสัญญากับ แอสตัน วิลล่า อย่าง มาร์ค บอสนิช
ตัวของ บอสนิช นั้นจะว่าไปก็มีดีกรีพอตัว เขาเคยเป็นนักเตะเยาวชนของ แมนฯ ยูไนเต็ด ช่วงสั้น ๆ ก่อนจะย้ายมาอยู่กับ วิลล่า ในฤดูกาล 1991-92 และเป็นตัวจริงให้ทีมสิงห์ผงาดอยู่หลายซีซั่น
แต่เมื่อคนที่จากไปคือ ชไมเคิล และคนที่เข้ามาแทนคือ บอสนิช ไม่แปลกที่หลายคนจะคิดว่าเขาโนเนมเกินไป มีการวิเคราะห์กันไปว่า เฟอร์กี้ เลือก บอสนิช ด้วยเหตุผลหลัก ๆ 4 ข้อคือ การมี DNA ของทีมปีศาจแดงติดตัวอยู่แล้ว, อายุยังไม่มาก, ค่าตัวและสัญญาราคาถูก แถมยังมีประสบการณ์ในระดับพรีเมียร์ลีกอีกกว่า 10 ซีซั่น ... บางทีเขาอาจจะนึกย้อนเหมือนตอนที่ได้ ชไมเคิล มาร่วมทีมก็เป็นได้ เพราะในเวลานั้น "เดอะ เกรท เดนส์" ก็มาในฐานะประตูโนเนมจาก บรอนด์บี้ ในลีกเดนมาร์กเช่นกัน
แต่ก็อีกนั่นแหละ คำถามที่ว่า บอสนิช จะก้าวขึ้นมาเป็นยอดประตูอย่าง ชไมเคิล ได้เหรอ? คือสิ่งที่ทุกคนสงสัย เพราะเหตุผลในข้างต้นที่ยกมา มันไม่ได้บอกทุกอย่าง เพราะเขามีเรื่องราวเบื้องหลังที่มากกว่านั้นเยอะ และส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางลบ ๆ เสียด้วย
ฝีมือไม่แย่ แต่ "ประวัติ" คือระเบิดเวลา
บอสนิช มีประวัติไม่ดีติดตัวมาก็ไม่น้อย สำนักข่าวอย่าง BBC ยังถึงกับงงในวันที่ ยูไนเต็ด ประกาศคว้าตัว บอสนิช กลับมาร่วมทีมอีกครั้ง พวกเขาพาดหัวข่าวว่า "Bosnich's Man Utd misery" พร้อมทั้งแฉประวัติในเนื้อบทความไม่ยั้งว่า
"หากใครจะบอกว่าการคว้า บอสนิช คือสัญญาของความไม่ราบรื่น ผมคิดว่านั่นแหละคุณคิดถูกแล้ว ภายนอกของเขาดูเป็นมิตร แต่ภายในนักเตะอย่าง บอสนิช แฝงไปด้วยความร้ายกาจ และเป็นคนที่จัดการยาก แถมเขาก็สร้างปัญหาไว้ที่ วิลล่า พาร์ค หลายครั้ง"
"ในปี 1996 เขาเคยถูกปรับเงิน 1,000 ปอนด์ จาก FA ฐานทำท่าเคารพแบบนาซีให้แฟนบอล สเปอร์ส ที่ ไวท์ ฮาร์ท เลน, ปีต่อมาเขาขึ้นพาดหัวข่าวว่าหนีออกจากเกมที่ ไพรด์ พาร์ค ด้วยความโมโหก่อนเกมจะเริ่ม หลังพบว่าตัวเองเป็นตัวสำรอง"
"ฤดูกาล 1998-99 ที่เป็นปีสุดท้ายของเขากับ แอสตัน วิลล่า จอห์น เกรกอรี่ (กุนซือในเวลานั้น) หมดความอดทนกับพฤติกรรมของเขาจนถึงขั้นไล่เขาลงจากรถบัสของทีม มันน่าตลกดีที่หลังจบซีซั่นนั้นเขาได้เป็นผู้เล่นของ ยูไนเต็ด อีกครั้ง นี่เป็นดีลที่แปลกมาก เป็นไปได้ว่ามันไม่ใช่ไอเดียของ เฟอร์กี้ แต่มันคือความคิดของ มาร์ติน เอ็ดเวิร์ดส์ ประธานสโมสรมากกว่า" บทความของ BBC ว่าแบบนั้น

มันเป็นการว่ากล่าวเกินจริงหรือไม่? ไม่มีใครรู้ บอสนิช อาจจะกลับตัวกลับใจเมื่อเขาได้โอกาสครั้งสำคัญกับหนึ่งในทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกก็ได้ใครจะรู้ ... ท้ายที่สุด ยูไนเต็ด ก็เสี่ยงกับเขาและวางตัวให้เขาเป็นมือ 1 แทนที่ของ ชไมเคิล ... และหลังจากนั้นก็ต้องบอกว่าพวกเขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเองแบบจัง ๆ ว่าการให้โอกาสกับ บอสนิช คือความผิดพลาดที่สุดครั้งหนึ่งเลยทีเดียว
เฟอร์กี้ ใช้งานเขาแค่ราว ๆ ครึ่งซีซั่นแรกของฤดูกาล 1999-2000 เท่านั้น ปัญหาที่ทุกคนเห็นชัดคือฟอร์มในสนามนี่แหละที่สำคัญที่สุด เขาเชื่องช้า ไร้อิทธิพลในแนวรับ เปิดเกมด้วยลูกเตะและการขว้างไกลแบบ ชไมเคิล ไม่ได้ และแม้แต่ลูกง่าย ๆ ก็เกิดอาการหมูหกแบบพาแฟนบอลปวดหัว จน เฟอร์กี้ ต้องทุ่มเงินอีก 4.5 ล้านปอนด์ เพื่อไปคว้าตัว มัสซิโม่ ตาอิบี้ มาจาก เวเนเซีย ในอิตาลี มาแทนที่ของเขา
แต่ซ้ำร้าย ตาอิบี้ ก็มาทำหมูหก เสียประตูง่าย ๆ หลายลูกในการลงสนามไม่กี่นัด ก่อนที่ ไรมอนด์ ฟาน เดอร์ กาว ประตูตัวเก๋ามือสำรอง จะมารับจบตำแหน่งนี้ในช่วงที่เหลือของซีซั่น
เรื่องมันควรจะจบที่ว่า บอสนิช หลุดเป็นตัวสำรอง และพยายามสู้เพื่อกลับมาชิงมือ 1 อีกครั้ง ... แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นเลย เพราะตัวของเขาเองนี่แหละที่เป็นปัญหา และนำปัญหาจากในสนามไปสู่นอกสนามด้วย
บทเรียนของการ "ดูไม่ครบ"
ปัญหาของ บอสนิช ไม่ใช่แค่ฟอร์มในสนาม แต่ยังรวมถึงสิ่งที่อยู่นอกสนาม ที่ทุกคนในทีม "รับรู้" แต่ไม่มีใครกล้าพูดในช่วงที่พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมทีมกัน อาจจะด้วยเพื่อรักษาสปิริตในทีมหรือใด ๆ ก็ตาม ... ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็พรั่งพรูออกมาภายหลัง ด้วยข้อมูลที่นักเตะในทีมแทบทุกคนพูดตรงกันหมดว่า บอสนิช ไม่ใช่ผู้รักษาประตูที่แย่ แต่เขาคือนักกีฬาที่ไม่เอาไหน และไร้ความเป็นมืออาชีพแบบสุด ๆ หนึ่งในนั้น คือ พอล สโคลส์ ที่งงกับความห่วยของ บอสนิช แบบอดสงสัยไม่ได้
"ผมคิดว่า มาร์ค ก็ดูดีพอได้นะตอนที่เขาเล่นให้ วิลล่า แต่พอเขาย้ายมาอยู่กับเรา ผมก็พอเลย เขาไม่มีความเป็นมืออาชีพเลย เหลาะแหละไปหมด คุณคิดดู ในการซ้อมเซฟประตู ปกติแล้วโกลคนนึงจะต้องรับบอลประมาณ 15-20 ครั้ง แต่เดาสิว่า บอสนิช พุ่งปัดบอลกี่ครั้ง? ... ให้ตายเถอะ 3 ครั้ง พอถึงครั้งที่ 3 เขาบอก 'พอแล้ว ผมเหนื่อย ลัดคิวให้คนอื่นได้เลย' เหลือจะเชื่อไหมล่ะ?"
"สิ่งนี้มันส่งผลจริง ๆ ในสนามแข่ง และผมได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจากเขา เกมนั้นเราเล่นกับ เอฟเวอร์ตัน นอกบ้านในเกมแรกของฤดูกาล และไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าเขาเตะบอลสาดจากตั้งเตะไม่เคยถึงเส้นกลางสนามเลยสักครั้ง ทั้ง ๆ ที่วันนั้นลมก็ไม่มีเลย เป็นวันที่อากาศสมบูรณ์แบบสุด ๆ"
"เขาใส่รองเท้าไซส์ 14 เลยนะ แต่เขาดันเตะขุดดินตลอดเวลา เหมือนกับเขาเอาครีบใหญ่ ๆ มาหวดเลยงั้นแหละ ... นั่นมันน่าผิดหวังมากจริง ๆ"
โดยรวมแล้วคือ วินัยการซ้อมย่ำแย่, สภาพร่างกายไม่ฟิต, ชีวิตนอกสนามสุดโต่ง และข่าวการใช้สารเสพติดที่เริ่มกระซิบกันในวงใน นักเตะซีเนียร์หลายคนเริ่มส่ายหัวตั้งแต่ยังไม่ลงสนามจริง ไม่ใช่เพราะเขาเซฟไม่ได้ แต่เพราะเขาไม่ใช่คนที่ทุกคนไว้ใจให้ยืนอยู่ข้างหลัง จะมีใครที่เล่าเรื่องนี้ได้น่าเชื่อไปกว่าคนที่ส่งเขาลงสนามเป็นตัวจริงถึง 20 เกมอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อีก?
"มาร์คเริ่มต้นได้แย่มาก เขามาสายถึงสามชั่วโมงในวันแรกของการฝึกซ้อม และเขาก็มีน้ำหนักเกิน"
"เขาเป็นมืออาชีพที่แย่มากจริง ๆ เราไปแข่งที่ วิมเบิลดัน และในมื้อค่ำที่จัดไว้ บอสนิช กินทุกอย่างที่ขวางหน้าเลย ทั้งแซนด์วิช ซุป สเต็ก เขากินทุกอย่างในเมนูแบบครบถ้วน" เฟอร์กี้ เขียนเรื่องนี้ในอัตชีวประวัติของเขา
"ผมเห็นแล้วแบบ ... ทนไม่ไหว ต้องบอกเขาว่า 'เห็นแก่พระเจ้าเถอะ มาร์ค พวกเราช่วยแบ่งเบาภาระของแกไปตั้งเยอะแล้ว ทำไมแกไม่ช่วยดูแลตัวเองหน่อยวะ ยัดห่าไปซะขนาดนั้นมันใช้ได้ที่ไหนกัน?"
"หลังแข่งเกมนั้นเสร็จ เรากลับมาถึง แมนเชสเตอร์ แล้ว แต่แทนที่จะสำนึก มาร์ค ก็กำลังใช้โทรศัพท์มือถือสั่งอาหารกลับบ้านจากร้านอาหารจีนอยู่ ผมก็งงว่าการกินของเขามันไม่มีที่สิ้นสุดเลยหรือไง? ผมคิดว่าผมคงเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเขาไม่ได้แล้วล่ะ"
หมดอนาคต
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ปลายทางของ มาร์ค บอสนิช กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จบลงอย่างรวดเร็ว และไม่สวยแบบที่หลายคนคิดไว้
เดือนมกราคม 2001 แมนฯ ยูไนเต็ด ยกเลิกสัญญา ทำให้ บอสนิช ตัดสินใจย้ายไป เชลซี แต่อนาคตของเขาก็ดับวูบลงในเดือนกันยายน 2002 หลังถูกตรวจพบโคเคนในร่างกาย จนสโมสรต้องยกเลิกสัญญาทันที ไม่มีข้อแก้ตัว ไม่มีคำอำลาแบบให้เกียรติ
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะเขาไม่เก่ง แต่เพราะมันคือบทเรียนว่า "การคัดตัวที่ดี ไม่ใช่แค่ดูฝีเท้า แต่ต้องดูว่าเขา 'เป็นใคร' ตอนที่ไม่มีลูกบอลอยู่ด้วย" ซึ่งนี่อาจจะเป็นหนึ่งในดีลที่ เฟอร์กี้ จำฝังใจ และมักจะเลือกนักเตะจากนิสัยและทัศนคติเป็นส่วนสำคัญเสมอในช่วงหลังจากนี้
การแทนที่ตำนาน ไม่ได้ต้องการแค่คนที่ทำงานได้ แต่ต้องการคนที่ทั้งทีมเชื่อใจ และ มาร์ค บอสนิช ไม่เคยเป็นคนนั้นเลย ... เรื่องตัวแทนแสนเศร้าของ ปีเตอร์ ชไมเคิล ก็จบลงอย่างขมขื่นเช่นนี้เอง
แหล่งอ้างอิง
http://news.bbc.co.uk/sport2/hi/football/1124514.stm
https://www.theguardian.com/football/2013/oct/23/sir-alex-ferguson-mark-bosnich-manchester-united
https://www.manchestereveningnews.co.uk/sport/football/football-news/mark-bosnich-angry-sir-alex-6229409
https://rg.org/news/soccer/the-rise-fall-and-redemption-of-mark-bosnich