Feature

แลนโด นอร์ริส : นักซิ่งผู้ใช้ความผิดหวัง ผลักดันตัวเองสู่แชมป์โลก F1 | Main Stand

การแข่งขันรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก ฤดูกาล 2025 รูดม่านปิดฉากอย่างสวยงาม เมื่อ แลนโด นอร์ริส นักขับหนุ่มจากทีม แม็คลาเรน ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์โลกนักขับ F1 ให้แก่ตัวเองได้ เมื่อจบการแข่งขันเรซสุดท้ายในรายการ อาบูดาบี กรังด์ปรีซ์

 


นักแข่งชาวอังกฤษ สร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2025 ด้วยองค์ประกอบที่พร้อมสรรพ ทั้งฝีมือและรถที่แรงเหนือใคร รวมถึงจิตใจที่แกร่งกว่าเดิม แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ เส้นทางสู่แชมป์โลกของ นอร์ริส ก็เรียกว่าต้องฟันฝ่าความผิดหวังในอดีต และเสียงวิจารณ์ คำนินทาที่หลายคนบอกว่าเขาไม่มีทางทำได้

Main Stand ขอนำเสนอการการเดินทางของ แลนโด นอร์ริส เด็กหนุ่มที่เปี่ยมฝัน แชมป์โลกที่เจียระไนตนเองจนเป็นเพชร และประสบความสำเร็จตามที่ตัวเองใฝ่ฝัน

 

ฝันของเด็กหนุ่มจากบริสตอล

"เป้าหมายของผมคือการพาทีม แม็คลาเรน กลับสู่เส้นทางแห่งชัยชนะ นั่นแหละความฝันของผม แล้วผมก็อยากเป็นแชมป์กับทีม แม็คลาเรน คือผมคิดว่าพวกเราต้องออกเดินทางกันสักหน่อยจนกว่าจะทำคะแนนได้ แต่ว่าการเป็นแชมป์โลก นั่นคือความฝัน ดังนั้นผมต้องทำงานหนักเพื่อพยายามและทำคะแนนให้ได้ และเมื่อถึงวันหนึ่ง เป้าหมายของผมก็คือแชมป์โลก"

นั่นคือบทสัมภาษณ์ของ แลนโด นอร์ริส หนุ่มน้อยวัย 19 ปี ที่เปิดใจต่อสื่อหลังได้รับการเลื่อนขั้นมาเป็นนักแข่งสำรอง และนักขับรถทดสอบของ แม็คลาเรน ทีมแข่งชั้นนำของวงการ F1 จากอังกฤษ เมื่อปี 2018

หนุ่มน้อยจากเมืองบริสตอล สร้างชื่อให้ตัวเองมาตั้งแต่สมัยขับขี่โกคาร์ท เก็บเกี่ยวความสำเร็จมาเรื่อย ๆ ทั้งในรายการ Formula 4, Toyota Racing, Formula Renault 2.0 รวมถึง Formula 3 ยุโรป ที่เขาได้แชมป์เมื่อปี 2017 ก่อนขยับไป Formula 2 ที่ได้รองแชมป์ในปี 2018 (ปีเดียวกับที่ อเล็กซ์ อัลบอน นักแข่งชาวไทย จบอันดับ 3) และเป็นประตูที่นำพาเจ้าตัวเข้าสู่การแข่งขันรถอันดับ 1 ของโลกในที่สุด

แม้ไทมิ่งการมาร่วมทีม แม็คลาเรน ของ แลนโด นอร์ริส จะไม่ค่อยดีนัก เพราะ แม็คลาเรน ในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ใช่ทีมที่มีศักยภาพสูง รถของพวกเขาไม่สามารถต่อกรกับทีมยักษ์ใหญ่อย่างเช่น เมอร์เซเดส, เฟอร์รารี่ หรือ เรดบูล ที่ครองหัวแถวของวงการ แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ นอร์ริส ได้เรียนรู้ และปรับตัวกับการขับรถ F1 ผ่านการทดสอบรถในสนามต่าง ๆ

เมื่อปฏิทินพลิกหน้าสู่การแข่งขันฤดูกาล 2019 ก็ถึงเวลาที่ แลนโด นอร์ริส จะได้เดบิวต์บนแทรค F1 อย่างเต็มตัว เมื่อเขาได้รับความไว้วางใจจาก แซค บราวน์ ซีอีโอมากประสบการณ์ ผลักดันให้เป็นนักแข่งประจำทีม ร่วมกับ คาร์ลอส ไซนส์ ทีมเมทชาวสแปนิช โดยทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือร่วมกันพา แม็คลาเรน เก็บคะแนนกลับสู่แถวหน้าของวงการให้ได้

ปีแรกในการเป็นนักขับ F1 ของ แลนโด นอร์ริส จบลงอย่างน่าพอใจเมื่อเขาเก็บคะแนนสะสมได้ 49 คะแนน อยู่อันดับ 11 บนตารางชิงแชมป์โลก จากผลงานการแข่งจบเรซ 17 จาก 21 สนาม ก่อนจะมาฉายแสงให้ทุกคนเห็นด้วยการขึ้นโพเดียมอันดับ 3 ในเรซเปิดฤดูกาล 2020 รายการ ออสเตรียน กรังด์ปรีซ์ อันเป็นโพเดียมแรกของเขาในฐานะนักแข่ง F1

ผลงานของ แลนโด นอร์ริส ดีวันดีคืนตามวันเวลา ยิ่งผ่านไป ฝีมือก็ยิ่งสุกงอม เขาเก็บโพเดียมได้มากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ช่วงเวลาเดียวกัน ศักยภาพรถแข่งรหัส MCL ของ แม็คลาเรน ไม่สามารถสู้กับทีมหัวแถวได้เท่าที่ควร เพราะการเปลี่ยนแปลงกฏตัวรถในปี 2022 ทำให้ทีมงานต้องใช้เวลาเรียนรู้ ลองผิดลองถูกอยู่พอสมควร รวมถึงการปรับลดขนาดทีม อันเป็นผลจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลต่อการทำงานทั้งในแง่บุคคลและงบประมาณ

อย่างไรก็ตาม เมื่อทีมงาน แม็คลาเรน ค้นพบการอัพเกรดรถ MCL ที่ลงตัว บวกกับฝีมือการขับขี่ของ นอร์ริส ยังคงสม่ำเสมอ ผลที่ออกมากลายเป็นว่าเมื่อเข้าสู่ฤดูกาล 2024 กลายเป็นช่วงเวลาที่ นอร์ริส ได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่กับรถ MCL38 ที่ทำให้การแข่งขันแย่งแชมป์โลก F1 มีความตื่นเต้นแบบที่แฟน ๆ ไม่เห็นกันมานาน

 

ความสำเร็จที่ยังมาไม่ถึง

การแข่งขันรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก ฤดูกาล 2024 แม็คลาเรน ทำสิ่งที่แฟนมอเตอร์สปอร์ตทั่วโลกต้องอ้าปากค้าง เมื่อทีมแข่งจากอังกฤษ ที่มาพร้อมกับรถ MCL38 ที่สมบูรณ์แบบที่สุด และไลน์อัพนักแข่งที่แข็งแกร่งที่สุดชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทีมอย่าง แลนโด นอร์ริส กับ ออสการ์ ปิอัสตรี เหยียบคันเร่งคว้าแชมป์และโพเดียมกันเป็นว่าเล่น จนพุ่งทะยานขึ้นไปคว้าแชมป์โลกประเภททีมผู้สร้างได้ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1998

ขณะที่ตัวของ นอร์ริส ก็เป็นปีที่เขาระเบิดฟอร์มสุดยอดออกมา ผ่านพวงมาลัยและคันเร่งของ MCL38 ที่แรงจนซิวกริดสตาร์ท โพลโพซิชั่น ได้หลายครั้ง ทำให้เขาได้ขึ้นโพเดียมอันดับ 1 ในอาชีพ F1 ได้เป็นครั้งแรกที่ไมอามี่ และใช้เทคนิคการขับที่สั่งสมมาจนแกร่งกล้า คว้าแชมป์กับโพเดียมเพิ่มเติมอีกมากมาย ถึงขั้นที่ว่ามีเซอร์ไพรส์ในการแย่งแชมป์โลกประเภทนักขับกับ มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น จอมเก๋าจาก เรดบูล ได้เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ความฝันที่ แลนโด นอร์ริส จะได้เป็นแชมป์โลก F1 อย่างที่เคยพูดเอาไว้ ก็ยังไม่เกิดขึ้น เมื่อกลายเป็นว่าคู่แข่งอย่าง มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น กลับทำผลงานนิ่งและสม่ำเสมอกว่าในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล ประกอบกับ นอร์ริส ไปไม่ถึงโพเดียมในเรซที่ ลาสเวกัส ส่งให้นักแข่งเลือดดัตช์ พารถ RB20 เข้าวินแชมป์โลกนักขับสมัยที่ 4 ส่วน นอร์ริส ทำได้ดีที่สุดคือตำแหน่งรองแชมป์โลก ด้วยช่องว่างห่างกัน 63 คะแนน เมื่อจบฤดูกาล

ในช่วงเวลาแห่งความผิดหวัง นอร์ริส ยอมรับว่าเขายังทำได้ไม่ดีพอ แม้ว่าทีม แม็คลาเรน จะมีรถที่สมบูรณ์แบบ แต่เมื่อไม่สามารถรักษาความสม่ำเสมอเอาไว้ได้ ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับ เวอร์สแตพเพ่น ที่มีประสบการณ์และบริหารจัดการความกดดันในสนามได้ดีกว่า

"ผมมั่นใจว่าต้องทำอะไรสำหรับการต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งแชมป์โลก แต่มันไม่ได้หมายความว่าผมทำได้สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องแข่งกับนักขับที่ใกล้เคียงความสมบูรณ์แบบมากกว่าอย่าง มักซ์ คุณต้องทำตัวเองให้ใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบเสียก่อนถ้าหากคุณจะขึ้นไปท้าทายกับเขา" นอร์ริส กล่าว พร้อมเชื่อมั่นว่าบทเรียนที่เขาได้รับจากการแข่งขันในปี 2024 จะช่วยให้เขากลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม

ส่วนแชมป์โลกอย่าง มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น ที่เคยสู้กับ นอร์ริส มาตั้งแต่สมัยลงแข่งโกคาร์ทในตอนเด็ก กล่าวยอมรับในฝีมือของเพื่อนร่วมอาชีพ ที่ทำให้การชิงแชมป์โลกสูสีจนถึงช่วงท้าย และให้กำลังใจอีกฝ่ายว่าจะประสบความสำเร็จเมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม "เวลาของนายใกล้มาถึงแล้ว ใจเย็นเข้าไว้ ฉันรู้ว่านายจะคว้าแชมป์ได้แน่นอน"

 

แชมป์โลกผู้สยบทุกคำสบประมาท

ตัดภาพมาที่การชิงแชมป์โลก F1 ปี 2025 แลนโด นอร์ริส เปิดหัวได้ดีเมื่อคว้าแชมป์เรซเปิดซีซั่นที่ ออสเตรเลีย ทว่าการที่ ออสการ์ ปิอัสตรี ทีมเมทของเขาก็ทำผลงานคว้าแชมป์ได้หลังจากนั้น ทั้งที่ บาห์เรน, ซาอุดีอาระเบีย และ ไมอามี่ สวนทางกับ นอร์ริส ที่เกิดอาการตุปัดตุเป๋ คุมความแรงของรถไม่อยู่จนวืดแชมป์ไปหลายสนามในช่วงแรก ทำให้สื่อพากันตั้งคำถามทำนองว่า นอร์ริส ดีพอที่จะได้แชมป์โลกปี 2025 แค่ไหน?

DPA สื่อของเยอรมนี พาดหัวว่า "แลนโด นอร์ริส ยังไม่พร้อมสำหรับการเป็นแชมป์โลกหรือเปล่า?" พร้อมเนื้อหาที่ระบุว่านักแข่งชาวอังกฤษ อาจยังไม่สามารถเอาชนะความกดดันและความผิดหวังจากปีที่แล้วได้ ขณะที่ F1-Insider ก็ร่วมผสมโรงว่า "แลนโด พร้อมสำหรับตำแหน่งแชมป์โลกแล้วหรือยัง?" เมื่อสถานะและการถูกยกให้เป็นหนึ่งในตัวเต็งแชมป์โลก กลายเป็นความคาดหวังอันหนักอึ้งที่เขาต้องแบกไว้บนบ่า

แค่การต่อสู้กับจิตใจของตัวเอง การควบคุมรถ MCL39 ที่ยังไม่เข้ามือ โดยมีแชมป์โลก 4 สมัยตัวฉกาจอย่าง มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น เป็นคู่ต่อกรก็ว่ายากแล้ว ออสการ์ ปิอัสตรี เพื่อนร่วมทีม ที่ฟอร์มกำลังเข้าฝัก ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่คอยขัดขวางความฝันเขาอยู่ ยิ่งเมื่อ แม็คลาเรน มี "กฎมะละกอ" (Papaya Rules) ที่ไฟเขียวให้นักแข่งทั้งสองสู้แย่งแชมป์กันได้เต็มที่ภายใต้การแข่งขันที่ขาวสะอาด ไม่มีการใช้ทีมออเดอร์ ก็ยิ่งทำให้ นอร์ริส เจองานยากเพิ่มขึ้นเป็น 2-3 เท่า

การต่อสู้แย่งแชมป์โลกเริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสามนักแข่งทั้ง แลนโด นอร์ริส, ออสการ์ ปิอัสตรี และ มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น มีคะแนนสะสมไล่บี้กันแบบสูสีในช่วงครึ่งหลังของซีซั่น โดยเฉพาะการที่สองคู่หูแม็คลาเรน ถูกปรับดิสควอลิฟาย ไม่มีผลการแข่งที่ ลาสเวกัส เพราะทีมช่างของทั้งคู่เซตติ้งรถเตี้ยเกินไป ทำแผ่นไม้ใต้ท้องรถสึกมากกว่าที่กำหนดไว้ ทำให้ เวอร์สแตพเพ่น ได้ลุ้นแชมป์โลกสมัยที่ 5 ถึงสนามสุดท้าย

อย่างไรก็ตาม ด้วยคะแนนสะสมที่ตุนไว้มากพอ ทำให้ในที่สุด แลนโด นอร์ริส ที่จบการแข่งขันอันดับ 3 ที่ อาบูดาบี ก็ได้ตำแหน่งแชมป์โลกประเภทนักขับสมัยแรกไปครองได้ในที่สุด โดยถือเป็นแชมป์โลกนักขับคนที่ 35 ในประวัติศาสตร์ของวงการ F1 ขณะที่ มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น กับ ออสการ์ ปิอัสตรี ที่แม้จะเข้าที่ 1-2 แต่คะแนนรวมก็ยังน้อยกว่า นอร์ริส เจ้าของแชมป์โลกประจำปี

นอร์ริส ผู้เป็นแชมป์โลกนักขับคนแรกของ แม็คลาเรน นับตั้งแต่ปี 2008 เปิดเผยว่า "มันเป็นความรู้สึกที่น่าทึ่งมาก ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า มักซ์ รู้สึกอย่างไร ยินดีกับ มักซ์ และ ออสการ์ สองคู่แข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมตลอดทั้งฤดูกาล น่ายินดีที่ได้แข่งกับสองคนนี้ และเป็นเกียรติมาก ผมได้เรียนรู้อะไรจากพวกเขามาก ผมมีความสุขและเป็นปีที่ยาวนานเหลือเกิน แต่เราทำได้แล้ว และผมภูมิใจกับทุกคนจริง ๆ"

 

เรียนรู้จากความผิดหวัง

ชัดเจนว่าเส้นทางการคว้าแชมป์โลก F1 ในปี 2025 ของ แลนโด นอร์ริส ไม่ง่ายดายเลย เพราะเมื่อดูจากผลงานตลอด 24 เรซ เขาเองก็ไม่ได้โชว์ฟอร์มอย่างสมบูรณ์อย่างที่ตัวเองตั้งใจ

ความล้มเหลวใน แคนาเดียน กรังด์ปรีซ์ ที่ นอร์ริส ขับจี้ ออสการ์ ปิอัสตรี จนปีกหน้าสะกิดกับล้อหลังเพื่อนแล้วแข่งต่อไม่ได้ ก่อนต้องออกจากการแข่งขันในรายการ ดัตช์ กรังด์ปรีซ์ เพราะรถมีปัญหาน้ำมันรั่วไหลและควันขึ้น ผลลัพธ์อันน่าผิดหวังของสองเรซนี้ ทำให้โอกาสคว้าแชมป์โลกของ นอร์ริส เกิดอาการแกว่งขึ้นมา

"ผมขอโทษ มันเป็นความผิดพลาดของผมเอง โชคร้าย ขอโทษที ผมมันโง่เอง" นอร์ริส พูดถึงความผิดพลาดที่ทำให้เสียโอกาสทำคะแนนชิงแชมป์โลก

ความล้มเหลวในสองเรซนี้ บวกกับผลงานของ ออสการ์ ปิอัสตรี ที่มาแรงและมาตรฐานสม่ำเสมอมากกว่า ทำให้เสียงวิจารณ์ของบรรดาสื่อต่าง ๆ ที่เคยตั้งคำถามว่า "แลนโด นอร์ริส ดีพอจะเป็นแชมป์โลกหรือเปล่า?" ดังขึ้นมาเรื่อย ๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับมาตั้งสติได้ นอร์ริส ที่เคยมีมายด์เซ็ตส่วนตัวว่าต้องทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบที่สุดเพื่อแชมป์โลก ก็ได้เรียนรู้ว่า ความตั้งใจที่มากเกินไป อาจกลับมาทำลายความเชื่อมั่นของตัวเองจนกลายเป็นความผิดหวังได้ ดังนั้น สิ่งที่เจ้าตัวทำก็คือ ยอมรับความผิดพลาด ไม่โทษตัวเองมากเกิน และต้องตัดสินใจให้รอบคอบกว่าเดิมเวลาลงแข่ง

เช่นเดียวกับการถูกตัดสินโทษ DSQ ที่ ลาสเวกัส ที่แม้จะทำให้ตัวเองจบเรซแบบไม่มีแต้ม แต่ นอร์ริส ก็ไม่ได้แสดงอาการสติแตก หรือวิตกกังวลใด ๆ กลับกันคือ เขาควบคุมตัวเองและเอาชนะความกดดันที่มีได้ แล้วผลลัพธ์ก็ออกมาในเรซสุดท้ายที่ อาบูดาบี เมื่อเขาขับได้อย่างไร้ที่ติ สงบนิ่ง เยือกเย็น ไม่เสี่ยงเกินความจำเป็น จนในที่สุดก็สามารถขึ้นโพเดียมได้ตามเป้าหมาย อันเป็นเงื่อนไขที่เพียงพอแล้วในการส่งตัวเองขึ้นเป็นแชมป์โลก

"ผมฝันถึงสิ่งนี้มานานแล้ว นานเหลือเกิน ทุกคนเองก็คงฝันเหมือนกัน" นอร์ริส พรั่งพรูความรู้สึกเมื่อเดินทางถึงเส้นชัยที่รอคอย "ฤดูกาลนี้มีหลายสิ่งเกิดขึ้นมากมาย ทั้งดีและร้าย แต่ทั้งหมดนั้นไม่สำคัญเลย ตราบใดที่คุณมีความพยายามและมุ่งหน้าคว้าชัยชนะให้ได้ นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องทำ"

"ไม่ใช่แค่ปีนี้ แต่เป็นตลอด 7-8 ปีที่ผ่านมา ผมอยู่กับ แม็คลาเรน มาตั้งแต่อายุ 16-17 ผมพยายามไล่ตามความฝันนี้ แล้วในที่สุด วันนี้เราทุกคนก็ทำได้แล้ว ผมมีความสุขมาก"

ชัยชนะที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของนักแข่งหนุ่มจากบริสตอล แต่ยังพิสูจน์ด้วยว่าเขาเติบโต และแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะปัญหาต่าง ๆ ได้ทั้งหมด ทั้งเรื่องสภาพจิตใจ การรับมือกับความกดดัน หรือเสียงวิจารณ์เชิงตั้งคำถามจากคนที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเขา

และด้วยวัยที่ยังหนุ่มยังแน่น หากยังคงรักษามาตรฐานที่ยอดเยี่ยมนี้ไว้ได้ ตำแหน่งแชมป์โลก F1 ของ แลนโด นอร์ริส อาจไม่จบแค่สมัยเดียว

 

แหล่งอ้างอิง :

https://www.bbc.com/sport/formula1/articles/czrk61y2nyjo
https://www.france24.com/en/live-news/20251207-how-lando-norris-won-the-f1-title
https://www.news18.com/sports/formula-one/why-world-champion-lando-norris-said-made-a-kids-dream-come-true-after-winning-f1-ws-ln-9755812.html#google_vignette
https://www.gpblog.com/en/news/norris-on-not-having-the-right-mindset-for-f1-have-to-live-to-belive-it.html
https://www.grandprix.com/news/norris-not-ready-for-f1-title-pressure-says-media.html

Author

วัลลภ สวัสดี

ฟังไปเรื่อย ดูไปเรื่อย เขียนไปเรื่อย

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ