
ว่าด้วย "ฟุตบอลสองยุคสมัย" ผ่านมุมมองของโค้ชที่เติบโตในบริบทต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คาร์โล อันเชล็อตติ ผู้ผ่านความดิบของฟุตบอลยุค 1980-1990 และ ชาบี อลอนโซ่ ผลผลิตของฟุตบอลยุคโมเดิร์น ที่ทั้งเข้มข้นขึ้น เร็วขึ้น และเต็มไปด้วยรายละเอียดทางแท็คติก
ในวันที่พวกเขาอยู่บนจุดสูงสุดของงานโค้ช ด้วยการเป็นกุนซือของ เรอัล มาดริด พวกเขามีวิธีการทำงานที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมการเติบโตที่แตกต่างอย่างไร?
ติดตามเรื่องของฟุตบอล 2 ยุค ผ่าน อันเช่ และ ชาบี กับ Main Stand
รากเหง้าจากคนละยุค
คาร์โล อันเชล็อตติ เติบโตในยุคที่ฟุตบอลอิตาลีครองโลกเรื่องแท็คติก แต่ยังคงเต็มไปด้วยวิถีชีวิตนักเตะที่ "หลวมกว่า" ยุคปัจจุบันมาก ฟุตบอลยุค 1980-1990 ยังมีวัฒนธรรมการกินหนัก ดื่มหนัก สูบบุหรี่ และการฝึกซ้อมที่เน้นวินัยแบบทหารมากกว่าการบริหารร่างกายเชิงวิทยาศาสตร์อย่างทุกวันนี้
อันเช่ ถูกหล่อหลอมโดยโค้ชระดับตำนาน เช่น อาร์ริโก้ ซาคคี่ ผู้ปฏิวัติฟุตบอลด้วยระบบเพรสซิ่งและไลน์กองหลังสูง และอีกคนที่เจ้าตัวได้อิทธิพลการทำงานมาเต็ม ๆ อย่าง เนเรโอ ร็อคโค่ อดีตกุนซือเอซี มิลาน ในช่วงยุค 1970 ผู้เคร่งครัดต่อวินัย และใช้แท็คติกเป็นหลักในการพิชิตฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเขาคนนี้นี่แหละ ที่ทำให้ อันเช่ มีแนวคิดอยากจะเป็นโค้ชมาตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นนักเตะ

ขณะที่ ชาบี อลอนโซ่ ต้องเรียกว่าเติบโตกันมาคนละยุคสมัย ในช่วงที่ ชาบี เริ่มก้าวเข้าสู่ระบบอาชีพ คือช่วงยุค 2000-2010 และนั่นนำไปสู่ตัวตนในแบบที่เขาเป็นในเวลานี้
ชาบี ผ่านการทำงานกับยอดกุนซือในยุคนั้นมากมายหลายคน ทั้ง ราฟาเอล เบนิเตซ ที่ให้พื้นฐานแท็คติกแบบละเอียดลึก, เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้มอบมุมมองใหม่เกี่ยวกับฟุตบอลเชิงโครงสร้าง, โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ทำให้เขาเข้าใจการจัดการคนระดับโลก และรวมถึง อันเชล็อตติ ที่สอนเขาเรื่องความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง
เหตุนี้เอง ชาบี จึงเป็นผลผลิตของฟุตบอลยุคใหม่ที่ก้าวเข้าสู่ยุคข้อมูล วิเคราะห์ และความเข้มของเกมที่สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด นำไปสู่แนวคิดที่เป็นตัวแทนในยุคสมัยที่เขาถูกเรียกว่า "โค้ชหนุ่มแห่งยุค"
ปรมาจารย์การบริหารคน กับ ข้อมูลและโครงสร้าง
ในขณะที่ ชาบี ก้าวขึ้นมาเป็นโค้ชหนุ่มที่น่าจับตา อันเชล็อตติ ก็ผ่านงานโค้ชมาแล้วกว่า 30 ปี และมีลายเซ็นเป็นของตัวเองจนถูกยกให้เป็นกุนซือที่ขึ้นชื่อเรื่องความยืดหยุ่น ไม่มีระบบการปกครองทีมแบบตายตัว หรือแม้แต่แท็คติกในสนามที่เปลี่ยนผันไปตามคู่แข่งที่เจอ

อันเช่ เริ่มงานโค้ชตั้งแต่ปลายยุค 1990 ยุคที่กุนซือยังเน้น "บารมี" มากกว่า "การอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์" ซึ่งตัวเขาเองเคยออกมายอมรับว่าช่วงแรกของงานโค้ช เขายังดื้อและเชื่อมั่นในแท็คติกและปรัชญาฟุตบอลในรูปแบบเดียว โดยได้รับอิทธิพลจาก ซาคคี่ ที่เน้นระบบตายตัว ซึ่งบางครั้งมันทำให้เขาพลาดอะไรดี ๆ ไป และแทนที่บางปัญหาสามารถหลบเลี่ยงได้ง่าย ๆ แต่การเกาะกับรูปแบบเดิม ก็เหมือนกับเน้นให้เขาพุ่งเข้าปะทะปัญหานั้น
แต่เมื่อเขาผ่านทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว เขาค่อย ๆ เปลี่ยนตัวเอง จากโค้ชระบบตายตัวไปสู่โค้ชที่เชื่อว่า "ทุกทีมต้องมีแท็คติกของตัวเอง ไม่ใช่แท็คติกของโค้ช" เขาก็เหมือนปลดล็อกภารกิจของตัวเองได้ ไม่ว่าจะทำทีมเล็กทีมใหญ่ อันเช่ ก็ไม่มีปัญหา และสามารถดึงศักยภาพทีมที่ดีที่สุดออกมาได้เสมอ
ตัดภาพกลับมาที่ ชาบี อีกครั้ง การเติบโตมาในฟุตบอลยุคเปลี่ยนผ่าน เมื่อเขากลายมาเป็นโค้ช งานของเขาจึงอยู่ในยุคสมัยที่เรียกว่า "โมเดิร์นฟุตบอล" แบบเต็มตัว หลังแขวนสตั๊ด เขาเริ่มคุมทีมเยาวชนของมาดริด ก่อนพิสูจน์ตัวเองกับ เรอัล โซเซียดาด เบ และก้าวสู่การคุม ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น

ปรัชญาเด่นของเขา คือ ทีมต้องมีโครงสร้างที่ชัดเจน นักเตะในทีมต้องมีการเคลื่อนบอลอย่างเป็นระบบ และต้องรู้บทบาทในทุก ๆ ส่วนของสนาม โดยส่วนประกอบสำคัญในการบริหารจัดการทีมของเขา คือข้อมูลและรายละเอียดต่าง ๆ ที่เป็นตัวเลข ซึ่งเขาจะเอามาปรับใช้กับแท็คติกในแต่ละเกมของเขา
ไม่ว่าจะเติบโตมาแบบไหน แต่ที่แน่ ๆ ทั้ง 2 คน ก็ใช้ฟุตบอลของตัวเองสร้างทีมที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้สำเร็จ อันเช่ ประสบความสำเร็จในแทบทุก ๆ ที่ที่เขาไป ขณะที่ ชาบี อลอนโซ่ คือ "แจ็คผู้ฆ่ายักษ์" หรือโค้ชที่สามารถทำภารกิจที่ทุกคนในวงการฟุตบอลเยอรมันยกย่อง นั่นคือการโค่น บาเยิร์น มิวนิค ลงมาจากคอน แถมเป็นการคว้าแชมป์บุนเดสลีกาแบบไร้พ่ายอีกด้วย
ผลงานระดับพรีเมี่ยมของ อันเชล็อตติ และ อลอนโซ่ ยืนยันถึงความสำเร็จของพวกเขาได้เป็นอย่างดี และมันนำพวกเขาไปสู่งานขั้นสูงสุดในฐานะโค้ช นั่นคือการขึ้นมาคุมทีม เรอัล มาดริด ทีมที่ประสบความสำเร็จและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เหนือสิ่งอื่นใด คือการมีลูกทีมระดับแชมเปี้ยนนั่งอยู่เต็มห้องแต่งตัว ซึ่งสิ่งสำคัญพอ ๆ กับแท็คติกของงานนี้ ก็คือการปกครองพวกเขา ให้พวกเขายอมวิ่ง และยอมสู้เพื่อเจ้านายอย่างคุณ
แดดดี้ และ เมนเทอร์
คาร์โล อันเชล็อตติ พาทีม เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้ 3 สมัย และ 2 ครั้งหลังสุดเกิดขึ้นในช่วงเวลา 3 ปี ตรงนี้ชัดเจนว่าการทำงานของเขาผ่านฉลุยเรื่องแท็คติกในสนาม
แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือวิธีการทำงานของเขากับเหล่านักเตะระดับแชมป์ในทีม เป็นการปกครองในแบบที่ลูกทีมของเขาเรียกว่า "ศิลปะ" ไม่ใช่ "คำสั่ง"

อันเช่ เปิดเผยเรื่องดังกล่าวว่า การปกครองห้องแต่งตัวของเขา คือการทำให้เหล่านักเตะมีความสุขกับการลงเล่นและการเป็นแชมเปี้ยน เขาเข้าใจว่ากับนักเตะระดับโลกเช่นนี้ หลายคนต้องการเรื่องความไว้วางใจ ขณะที่บรรยากาศในห้องแต่งตัวต้องไม่เครียดจนเกินไป หรือถ้าจะบอกให้ถูกต้องก็คือ รู้ว่าเวลาไหนควรจะสนุก และเวลาไหนที่ห้องแต่งตัวต้องการความสงบเพื่อโฟกัสกับสิ่งที่รออยู่
วัฒนธรรมจากฟุตบอลยุค 1980-1990 ทำให้เขาเชื่อใน "ความเป็นมนุษย์" ก่อนแท็คติก เขาไม่สั่งนักเตะมากเกินไป แต่สร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนพร้อมเล่นเพื่อทีม และนี่คือเหตุผลที่มาดริดรักเขา เชื่อฟังเขาอย่างเต็มใจ ถึงขนาดที่ว่ากลุ่มนักเตะบราซิลในทีม มาดริด อาทิ วินิซิอุส จูเนียร์, เอแดร์ มิลิเตา และ โรดรีโก้ เรียกเขาว่า "พ่อ" เลยทีเดียว
มีการยืนยันจาก โรเมน โมลินา นักข่าวจาก The Guardian ที่ยกข้อมูลมาอธิบายเพิ่มเติมว่าทำไมนักเตะที่ปกครองยากในทีม มาดริด กลับมีความสุขกับการทำงานแบบ อันเช่ ซึ่งเหตุผลหลัก ๆ ก็คือ อันเช่ บริหารแบบ "พ่อปกครองลูก" กล่าวคือเมื่อลูก ๆ ของคุณสอบได้ที่ 1 หรือแข่งชนะอะไรสักอย่าง สิ่งที่คุณต้องทำเพื่อให้เขาอยากจะชนะต่อไปก็คือ "การให้ของขวัญ" ซึ่งสำหรับนักเตะ มาดริด อันเช่ มอบความอิสระ และไม่ขึงคำว่า "วินัย" จนตึงเกินไป
ยกตัวอย่างเช่น หลังเกมที่ มาดริด ลงเล่นเสร็จแล้ว นักเตะหลาย ๆ คนของ มาดริด จะเดินทางไปที่เกาะปาร์ตี้ชื่อดังของโลกอย่าง อิบิซ่า อันเช่ ก็มักจะอนุญาตและไม่พยายามแทรกแซงเรื่องส่วนตัวของนักเตะ ขอแค่เมื่อถึงเวลางาน ทุกคนต้องทำออกมาให้เต็มที่ นั่นทำให้กลุ่มนักเตะหลายคนแฮปปี้กับการทำงานแบบ อันเช่ จนเรียกเขาว่าพ่อ พูดง่าย ๆ ก็คือ อันเช่ ในยามที่ผลงานดี ทำงานได้ตามเป้า เขาก็จะสนุกไปกับลูกทีมของเขาด้วย จนแทบไม่มีระยะห่างคำว่า "เจ้านาย - ลูกน้อง" มากเกินไปจนห่างเหินเลย เรียกว่านี่เป็นเคล็ดลับที่ อันเช่ ได้รับการยกย่อง จนเขาได้งานเป็นเฮดโค้ชทีมชาติบราซิลในปัจจุบัน

ขณะที่โค้ช เรอัล มาดริด คนปัจจุบันอย่าง ชาบี อลอนโซ่ คนหนุ่มแห่งยุค มาในสไตล์ที่แตกต่างออกไป ฟุตบอลของเขาสะท้อนผ่านตัวตนของเขาเอง ทั้งเรื่องการมีโครงสร้างที่ชัดเจน ทุกอย่างต้องมีระเบียบในทุกส่วน บทบาทนักเตะชัดเจนมากขึ้น และในส่วนของความสัมพันธ์นั้น จะไม่ใช่แบบ พ่อ - ลูก แต่เปลี่ยนเป็น เมนเทอร์ (ที่ปรึกษา) - ผู้เล่น ที่มีความเป็นมืออาชีพ
เรื่องนี้สื่ออย่าง The Athletic ได้อ้างว่า พวกเขาพูดคุยกับแหล่งข่าวใกล้ชิดกับทีม เรอัล มาดริด ทั้งทีมสตาฟโค้ช และฝ่ายบริหารของทีม พวกเขาบอกว่า ความเข้มข้นในทุก ๆ ด้านของ อลอนโซ่ กำลังค่อย ๆ ถูกสร้างขึ้นในทีมชุดปัจจุบัน แม้ว่าผู้เล่นบางคนอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับการทำงานในลักษณะนี้ก็ตาม
แหล่งข่าวรายหนึ่งถึงกับอ้างว่า การมาของ ชาบี เปรียบได้ดังการปฏิวัติของ มาดริด เลยทีเดียว
"เรามาจากโค้ชที่แทบไม่คุมซ้อมเลย สู่โค้ชที่ลงมือทำเหมือนเป็นนักเตะอีกคนหนึ่ง ชาบี พยายามทำให้ทุกอย่างมีระเบียบวินัยมากขึ้น ควบคุมตารางเวลา เพิ่มงานยิมเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บ รวมถึงมีคลิปวิดีโอสำหรับทั้งทีมและรายบุคคล"
สื่อดังกล่าวยังอ้างว่า เมื่อ ชาบี อลอนโซ่ เข้ามารับตำแหน่งกุนซือ เรอัล มาดริด ในเดือนมิถุนายน 2025 เขาพบห้องแต่งตัวที่เต็มไปด้วยความเคยชินหลายอย่างที่เขามองว่า "ไม่เหมาะสม" สำหรับทีมฟุตบอลระดับท็อป หลังอยู่ในยุคของ คาร์โล อันเชล็อตติ มานาน 4 ปี
หนึ่งในข้อความแรกที่ อลอนโซ่ บอกนักเตะคือ "กับผม ทุกคนต้องวิ่งให้หนักกว่าเดิม ทำงานให้หนักกว่าเดิมตอนทีมไม่มีบอล ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครการันตีตำแหน่ง" แน่นอนว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน และหลายคนในทีม มาดริด ก็ต้องปรับตัวกับเจ้านายใหม่ของเขา หรือแม้กระทั่ง อลอนโซ่ เองก็ต้องเรียนรู้ไปด้วย เพราะนี่คือ มาดริด ไม่ใช่ เลเวอร์คูเซ่น บางครั้งเขาอาจจะต้องพลิกแพลง หรือปรับปรุงบางอย่างเพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้อย่างสอดคล้องกัน ... และตอนนี้ต้องบอกว่ายังเป็นช่วงของการวางระบบ ที่ไม่สามารถตัดสินได้ว่า สิ่งที่เขานำมาปฏิวัติ เรอัล มาดริด เป็นแนวทางที่ถูกต้องหรือไม่

แต่ที่แน่ ๆ การเติบโตของยุคสมัยใหม่ในยุคปัจจุบัน หลาย ๆ คนสะท้อนว่า การที่พวกเขาเติบโตขึ้นมาในโมเดิร์นฟุตบอล การรีดศักยภาพขั้นสูง ในยุคที่ฟุตบอลสูสีกันมากขึ้น ช่องว่างระหว่างทีมเล็ก-ใหญ่ ถูกลดระยะเข้ามาเรื่อย ๆ สิ่งสำคัญที่จะสร้างความแตกต่างในการแข่งขันได้คือเรื่องของวินัย ความฟิต และทัศนคติแบบผู้ชนะ ซึ่งตอนนี้ ชาบี อลอนโซ่ พยายามจะทำให้เกิดสิ่งนั้น สิ่งที่เรียกกันว่าการเน้นไปที่ "ระบบ" มากกว่าการเล่น "ตามฟีล"
แน่นอนว่ามันเป็นความแตกต่างกับยุค อันเช่ ที่คนเก่งก็เก่งแบบเทวดา ต่อให้กินดื่มแบบไหนก็ยังเหนือชั้นกว่าคนอื่นได้ ดังนั้นการทำงานของทั้งสองคน ไม่สามารถเปรียบเทียบหรือบอกได้ว่า วิธีของใครคือสิ่งที่ถูกต้อง และมันคงไม่แฟร์นักหากคุณจะเอาโค้ชที่มีประสบการณ์ในวงการมากกว่า 30 ปี และคว้าแทบทุกแชมป์ที่ลงแข่งขัน มาเทียบกับคนที่เพิ่งเป็นโค้ชเต็มตัวได้แค่ 3-4 ปีอย่าง อลอนโซ่
ผลงานกับ เรอัล มาดริด คือคำตอบที่ชัดเจนที่ทุกคนรออยู่ ... เราคงต้องมารอลุ้นกันว่าการปฏิวัติราชันชุดขาวของ ชาบี อลอนโซ่ จะออกมาในรูปแบบไหนกันแน่ ซึ่งที่นี่ สิ่งที่ให้คำตอบได้ว่าคุณ "ผ่าน" หรือ "ไม่ผ่าน" คือการชูถ้วยแชมป์หลังจากซีซั่นจบเท่านั้น
แหล่งอ้างอิง
https://www.skysports.com/football/news/11835/13460866/xabi-alonsos-real-madrid-revolution-has-caused-an-early-rift-with-big-stars
https://www.nytimes.com/athletic/6851632/2025/12/01/real-madrid-xabi-alonso-la-liga-girona-news/
https://www.nytimes.com/athletic/6842102/2025/11/28/vinicius-jr-real-madrid-contract-renewal-next/
https://www.nytimes.com/athletic/6835837/2025/11/25/xabi-alonso-real-madrid-vinicius/