
ทีมชาติอังกฤษในยุค โทมัส ทูเคิ่ล ผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก 2026 รอบสุดท้าย ด้วยสถิติแข่ง 8 ชนะ 8 และเก็บคลีนชีตได้ 100%
นี่คือคำตอบและชัยชนะในด่านแรก จากการตั้งข้อสงสัยของสื่อและกูรูหลายคน ในวันที่ ทูเคิ่ล ถูกแต่งตั้งให้เป็นกุนซือทัพสิงโตคำราม
หลายคนบอกว่า ความมีระเบียบแบบคนเยอรมัน จะใช้ไม่ได้ในดินแดนที่ฟุตบอลเป็นเรื่องของทุกคน และทุกความลับของนักฟุตบอลเป็นเรื่องที่แฟน ๆ ต้องได้รู้อย่างอังกฤษ
นอกจากผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม ทูเคิ่ล เปลี่ยนแปลงอังกฤษในยุคของเขาให้แตกต่างจากโค้ชคนก่อนอย่างไรบ้าง ? ติดตามกับ Main Stand
บทเรียนจากโค้ชต่างชาติ
เมื่อสมาคมฟุตบอลอังกฤษตัดสินใจแต่งตั้ง โทมัส ทูเคิ่ล ให้เป็นเฮดโค้ชทีมชาติอังกฤษ คำถามแรกที่ดังขึ้นจากทั้งแฟนบอลและสื่อคือ "กุนซือชนดะ ยอมหักไม่ยอมงอคนนี้ จะทำงานที่ยากที่สุดในประเทศอังกฤษไหวเหรอ ?"
เหตุผลหลักที่หลายคนตั้งคำถามก็คือ การแต่งตั้ง ทูเคิล เข้ามารับตำแหน่งนี้ มันไม่ใช่การเปลี่ยนโค้ช แต่มันคือการเปลี่ยนอัตลักษณ์ของฟุตบอลอังกฤษครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคโมเดิร์นฟุตบอลเลยก็ว่าได้

อังกฤษมีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนักกับโค้ชต่างชาติ ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเลือกไม่เชื่อคนบ้านเดียวกัน และให้โอกาสโค้ชมากฝีมือจากต่างชาติ คือการแต่งตั้ง ฟาบิโอ คาเปลโล่ กุนซือเกรด A ในยุคนั้น คุมทีมระหว่างปี 2008 (แต่งตั้งปลายปี 2007 แต่เริ่มทำงานจริงปี 2008) ถึง 2012 ซึ่งผลงานย่ำแย่ในสนาม ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก 2010 ก่อนจะลาออกก่อนเริ่มแข่ง ยูโร 2012
และในขณะเดียวกัน เรื่องการสร้างวัฒนธรรมในทีมก็ล้มเหลว โค้ชไปทาง นักเตะไปทาง เพราะวัฒนธรรมของชาวอิตาเลียนอย่าง คาเปลโล่ ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกับเหล่าสตาร์ทีมชาติอังกฤษในยุคนั้นที่ถือว่าเป็นยุคทองเลย ทีมมีปัญหาทั้งเรื่องบรรยากาศในทีมที่ตึงเครียด, การสื่อสารที่ไม่ลงตัวเพราะความต่างทางวัฒนธรรม, การถูกกดดันจากสื่อ (กรณีปลด จอห์น เทอร์รี่ ออกจากตำแหน่งกัปตันทีม นำมาสู่การลาออกในที่สุด) หรือแม้แต่การที่ คาเปลโล่ ออกมาพูดภายหลังว่า นักเตะอังกฤษชุดนั้นมีอีโก้เยอะเกินไป ทั้ง ๆ ที่จิตใจไม่มั่นคง และไม่พร้อมจะเล่นเกมใหญ่
จากทั้งหมดนี้ เรื่องไหนจริง เรื่องไหนสื่อสร้างข่าวบ้างก็ไม่รู้ แต่ท้ายที่สุด ความล้มเหลวก็เกิดขึ้น ต่างฝ่ายต่างแตกพ่ายกันทั้งคู่ และแยกทางจากกันไป จากนั้นอังกฤษก็ใช้แต่โค้ชท้องถิ่นมายาว ๆ จนกระทั่งเปลี่ยนมาเป็น ทูเคิ่ล ในช่วงต้นปี 2025 หรือ 13 ปีให้หลังจากการปลด คาเปลโล่
การมาของ ทูเคิ่ล ยิ่งดูน่าอันตรายกว่า คาเปลโล่ ด้วยซ้ำ กุนซือชาวเยอรมันรายนี้ คือคน "เยอรมันแทร่" จากการบอกเล่าของอดีตนักเตะและคนที่เคยร่วมงานด้วย มีความเป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ ใส่ใจรายละเอียด, เชื่อมั่นในการทำงานหนักมากกว่าพรสวรรค์, เคร่งครัดเรื่องวินัย, อารมณ์รุนแรงในทางโค้ช และพร้อมจะฟาดงวงฟาดงากับคนที่ตำแหน่งใหญ่กว่าเสมอ
นั่นแหละเป็นคำถามว่า นักเตะอังกฤษ หรือสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) จะรับมือกับโค้ชอย่างเขาได้หรือไม่ จนกระทั่งงานของเขาเริ่มขึ้น ภาพของความเป็นคนเยอรมัน ที่กำลังพยายามปกครองนักฟุตบอลอังกฤษที่มีภาพลักษณ์เหมือนกับดาราเริ่มชัดขึ้น ด้วยการลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ที่แตกต่างจากที่เคยเป็นมา
แก้เรื่องสำคัญที่สุด
ทูเคิ่ล เคยทำงานในอังกฤษมาแล้วกับ เชลซี ระหว่างปี 2021-2022 และนั่นอาจจะทำให้เขาพอเข้าใจลักษณะการทำงานกับทีมชาติอังกฤษว่า อะไรคือสิ่งสำคัญ สิ่งแรกที่เขาพยามปรับตัวเองเข้าหาทุก ๆ คน คือเรื่องของการสื่อสาร ซึ่งป็นสิ่งที่โค้ชต่างชาติในอดีตสอบตกแบบไม่เป็นท่า

แม้ ทูเคิ่ล จะไม่ได้วางตัวถึงขั้นเป็นเพื่อน ที่นักเตะสามารถเข้าถึงได้ง่ายเกินไป แต่ ทูเคิ่ล จัดการเปลี่ยนแปลงเรื่องการสื่อสารกับนักเตะทีมชาติอังกฤษทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีรายชื่ออยู่ในการแข่งขัน หรือแม้กระทั่งนักเตะที่อยู่ในข่าย "มีโอกาสก้าวขึ้นมาติดทีมชาติ" และ "นักเตะที่หลุดจากทีมชาติไปแล้ว"
เรื่อง ซามี่ ม็อกเบล นักข่าวอาวุโสของ BBC บอกว่าสิ่งที่ ทูเคิ่ล ทำนั้น ใกล้ชิดนักเตะมากกว่ายุคของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ด้วยซ้ำ และการที่เขาพยายามเข้าถึงนักเตะทุก ๆ คนที่อยู่ในข่าย ทำให้มีนักเตะในทีมชาติอังกฤษหลายคนประทับใจ ทูเคิ่ล ในเรื่องนี้
ทูเคิล จะคอยเช็กฟอร์ม เช็กสภาพจิตใจ และพูดคุยกับนักเตะแต่ละคนเป็นรายบุคคลอยู่เสมอ แม้ไม่ได้เก็บตัวทีมชาติ ขนาดนักเตะที่ไม่ได้ถูกเรียกติดทีมชุดล่าสุด เขาก็จะโทรไปอธิบายด้วยตัวเองว่า ทำไมพวกเขาจึงไม่ถูกเลือก พวกเขาจะต้องปรับเรื่องไหนบ้างจึงจะมีโอกาสกลับมาติดทีมชาติอังกฤษอีกครั้ง ... กรณีศึกษาที่ดี คือการกลับมาติดทีมชาติอีกครั้งของ มาร์คัส แรชฟอร์ด หลังนักเตะเปิดใจคุยกับ ทูเคิล จนทุกวันนี้ แรชฟอร์ด ฟอร์มดีขึ้นมากกับทั้งสโมสรและทีมชาติ
มีนักเตะอังกฤษหลายคนชอบอะไรแบบนี้ เพราะพวกเขาคิดว่ามันแฟร์และโปร่งใส ซึ่งหาได้ยากในฟุตบอลระดับนี้ แต่ในขณะเดียวกัน การคุยตรง ๆ ของ ทูเคิ่ล ทำให้นักเตะเข้าใจภาพรวม แต่สำหรับบางคนก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะได้ยิน เพราะมันคือความจริงแบบไม่อ้อมค้อม ... ซึ่งนั่นดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ ทูเคิ่ล ไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะเขาเชื่อว่าการ "ตรงกับทุกคน" จะช่วยให้เขาได้คัดคนที่เหมาะสมที่สุดเข้าสู่ทีม
ล่าสุด กรณีการดรอปนักเตะอย่าง จู๊ด เบลลิงแฮม ที่นักข่าวทั้งอังกฤษรุมตั้งคำถามกับเขา นี่คือปัญหาคลาสสิกของโค้ชอังกฤษ ที่สื่อจะมีปัญหาเสมอหากนักเตะดังสักคนไม่ได้ลงสนาม ซึ่ง ทูเคิ่ล ตอบกลับเรื่องนี้ได้อย่างเฉียบขาด เพราะความหมายที่เขาต้องทำแบบนี้ก็ เพราะเขามองไปไกลถึงตำแหน่งแชมป์โลก ไม่ใช่แค่การชนะในรอบแบ่งกลุ่ม หรือการเล่นดี ยิงขาด แบบเกมต่อเกมให้สื่อเอาไปเขียนข่าวเท่านั้น
"นักเตะหลายคนจะไม่มีวันมีความสุขเมื่อพวกเขาต้องเป็นตัวสำรอง และสำหรับผม พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีความสุขหรอก พวกเขามีสิทธิ์จะโกรธโค้ช โกรธสถานการณ์ที่พบเจอ เพราะไม่มีใครชอบนั่งอยู่บนม้านั่งสำรองอยู่แล้ว ทั้ง ๆ ที่พวกเขาคือคนที่ถูกเลือกอยู่เสมอ"
"แต่เชื่อเถอะว่าเมื่อทัวร์นาเมนต์มาถึง ผมคิดว่าความชัดเจนในบทบาทของแต่ละคนจะสำคัญมาก ถ้าคุณมองไปยังเหล่ายอดทีมที่เป็นแชมป์ คุณจะเห็นว่า ผู้เล่นบนม้านั่งสำรองของพวกเขามีความสำคัญขนาดไหน"
"หากคุณจะเป็นทีมระดับแชมป์ได้ คุณจะต้องเห็นภาพที่นักเตะบนม้านั่งสำรองลุกขึ้นมาช่วยเชียร์เพื่อนในสนาม นั่นเพราะพวกเขาโฟกัสกับเกม แม้จะไม่ได้ลงเล่น พวกเขาก็เตรียมตัวให้พร้อมเสมอ นี่คือสิ่งที่สร้างความแตกต่าง เราต้องไปถึงจุดนั้นโดยที่ไม่มีนักเตะตั้งคำถามว่า 'ฉันควรจะได้ลงเล่น ?' หรือ 'ทำไมฉันไม่ได้ลง ?'" ทูเคิล กล่าวเรื่องนี้ไปสด ๆ ร้อน ๆ หลังพาทีมบุกชนะ แอลเบเนีย 2-0 ในนัดสุดท้ายของรอบคัดเลือก

การตัดสินใจของโค้ชไม่มีทางทำให้ทุกคนพอใจได้ ทูเคิ่ล เข้าใจเรื่องนี้ดี ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้การสื่อสารที่จริงใจและตรงไปตรงมากับทุกคน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตัวเอง และโฟกัสกับทีมเป็นอันดับ 1 โดยที่ไม่ว่าสื่อจะตั้งคำถามอย่างไร ตราบใดเมื่อสิ่งที่เขาตอบสื่อ ตรงกับที่เขาพูดกับนักเตะ นั่นแสดงว่าทั้งหมดคืองาน ไม่ใช่การเลือกที่รัก มักที่ชัง เพราะเป้าหมายที่เขาตั้งไปนั้นสูง และต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อไปให้ถึง
ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้ความจริงและผลประโยชน์ของทีมตอบทุกปัญหาสื่อสงสัย ซึ่งดูเหมือนว่า ณ ตอนนี้ จากผลงานที่เกิดขึ้น มันดูเวิร์ก และสอบผ่านฉลุยในช่วงรอบคัดเลือกที่ผ่านมา
ยอมหัก ... และยอมงอ
ความตรงไปตรงมาของ ทูเคิ่ล คือจุดขายของเขากับทีมชาติอังกฤษที่หลายคนเห็นภาพชัดในเวลานี้ ทว่าตัวของ ทูเคิ่ล ก็มีอีกมุมหนึ่งในการปกครองทีมของเขาเช่นกัน สำหรับบางปัญหา เขายอมหักอย่างตรงไปตรงมา และกับบางเรื่องที่ไม่สำคัญมากจนเกินไป บางครั้งเขาก็ยอมงอเพื่อให้ทีมมีบรรยากาศที่ดีที่สุด

แม้เขาจะขึ้นชื่อเรื่องความเป็นจอมเฮี้ยบ และเอาแนวทางของตัวเองมาใช้ทำงานที่อังกฤษหลายอย่าง แต่สิ่งดี ๆ บางข้อจากยุค แกเร็ธ เซาธ์เกต เขาก็ยังคงเก็บเอาไว้ เพราะเชื่อว่ามันส่งผลดีกับทีมมากกว่าผลเสีย
ทูเคิลเน้นให้มีพื้นที่รวมตัวของนักเตะเยอะขึ้น เช่นการให้พื้นที่และเวลาว่างกับนักเตะในห้องเล่นเกม การจัดโซนสำหรับพักผ่อนให้นักเตะได้อยู่ร่วมกัน และได้พูดคุยกันมาากขึ้น ซึ่งแนวทางนี้ เซาธ์เกต เน้นมาตลอด และทูเคิลก็ต้องการรักษาและพัฒนาแนวทางนี้ให้ดีขึ้นไปอีก
ส่วนเรื่องการรับมือกับสื่อ ที่หลายคนมองว่าจะมีปัญหากับคนอย่าง ทูเคิ่ล เจ้าตัวก็จัดการให้ชัดเจนในแนวทางของตัวเองตั้งแต่การคุยกับสื่อครั้งแรกของเขาในฐานะกุนซือทีมชาติอังกฤษ สิ่งไหนที่นักข่าวอยากถาม ทูเคิ่ล ก็จะตอบอย่างตรงไปตรงมา
ในครั้งนั้น ทูเคิ่ล เปิดคลิปของ รีซ เจมส์ ที่อธิบายว่า "ทำไม ทูเคิ่ล จึงเป็นโค้ชที่ผมอยากร่วมงานมากที่สุด ?" ให้กับสื่อที่มาสัมภาษณ์ก่อนเกมได้ชม จากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายอย่างตรง ๆ ว่า ก่อนหน้านี้ทีมชาติอังกฤษในยุคของ เซาธ์เกต ขาดเอกลักษณ์ที่ชัดเจน และมีทัศนคติแบบ "กลัวการเป็นแชมป์"
คำพูดดังกล่าวของเขา ถูกวิจารณ์ว่าไม่ให้เกียรติ เซาธ์เกต แต่เจ้าตัวก็ทำแบบนี้มาเสมอในการให้สัมภาษณ์สื่อแต่ละครั้ง ... แรก ๆ นักเตะอังกฤษบางคนอาจจะไม่เห็นด้วยที่เขาพูดแบบนั้น แต่เมื่อพาร์ทของการทำงานเริ่มขึ้น ความจริงจังและใส่ใจทุกรายละเอียดของ ทูเคิ่ล ก็สามารถอธิบายให้พวกเขาเข้าใจได้ว่า ทำไมเขาต้องให้สัมภาษณ์ หรือตัดสินใจแบบนั้น
แดน เบิร์น คนที่ติดทีมชาติชุด ทูเคิ่ล มาอย่างต่อเนื่อง เล่าว่า สิ่งที่ ทูเคิ่ล ย้ำกับทุกคนคือ พวกเราทุกคนกำลังทำงานแข่งกับเวลา ณ จากวันที่เขารับงาน ทีมจะมีการซ้อมร่วมกันแค่ 24 เซสซั่นเท่านั้น ก่อนฟุตบอลโลก 2026 จะเริ่มขึ้น เพราะฉะนั้น เพื่อการก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 2 ให้ได้ พวกเขาต้องอยู่กับความจริง และตัดเรื่องที่ไม่จำเป็นออกจากหัวให้ได้มากที่สุด เพื่อทุ่มเทให้กับเป้าหมายที่ตั้งไว้
นอกจากนี้ ยังมีการปรับเปลี่ยนส่วนอื่น ๆ เล็กน้อย ๆ เช่นการเปลี่ยนเวลาซ้อม จากเดิมในยุค เซาธ์เกต ที่จะซ้อมกันในช่วงหลังกินอาหารเช้า แต่ ทูเคิ่ล ก็เปลี่ยนใหม่ ในยุคของเขา มาซ้อมในช่วงบ่ายแก่ ๆ นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวกันว่า ความเข้มข้นในการฝึกจะเกี่ยวข้องกับอุณหภูมิร่างกาย การใช้ออกซิเจน และการฟื้นตัวจากการนอนหลับในเซสชั่นต่อ ๆ ไป บางเซสชั่นดำเนินไปจนถึงช่วงเย็น ซึ่งหมายถึงการฝึกอบรมภายใต้ไฟสปอตไลท์แบบพกพา

ทูเคิ่ล อธิบายกับทุกคนว่า เขาเปลี่ยนเวลาซ้อมมาเป็นช่วงบ่าย เพราะอยากให้นักเตะและสตาฟทุกคนมีเวลาเตรียมตัวสำหรับการซ้อมนานขึ้น นอกจากนี้ การซ้อมช่วงบ่ายใกล้เคียงกับเวลาแข่งขันจริงมากกว่า ซึ่งจะทำให้ร่างกายนักเตะปรับความคุ้นชิน และมีประสิทธิภาพเมื่อถึงเวลาแข่งขันจริง
สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความละเอียดลึกระดับจุลภาคของเขาอย่างแท้จริง เพราะความเป็นเยอรมัน ไม่ใช่แค่ตรงต่อเวลา แต่คือ "ละเอียดแทบทุกฝีก้าว" ทูเคิล เป็นโค้ชที่ใส่ใจรายละเอียดระดับมิลลิเมตร การขึ้นเกม การยืนไลน์ การกดดัน การเปลี่ยนแกนบอลถูกติวแบบห้ามผิดแม้จังหวะเล็ก ๆ น้อย ๆ จนนักเตะหลายคนบอกตรงกันว่า "นี่คือครั้งแรกที่อังกฤษซ้อมบอลเหมือนทีมสโมสรระดับท็อปจริง ๆ"
นี่คือสิ่งที่ โธมัส ทูเคิ่ล สร้างขึ้นใหม่ และบางอย่างเขาก็ต่อยอดจากของเดิมในทีมชาติอังกฤษยุคที่ผ่านมา ... ตอนนี้ ด่านแรกอย่างรอบคัดเลือกผ่านฉลุย ด้วยผลลัพธ์ยอดเยี่ยมจนไร้ที่ติ แต่อย่างไรเสีย งานโค้ชทีมชาติอังกฤษมีบทพิสูจน์สำคัญอยู่ นั่นคือการพิชิตแชมป์โลกให้ได้ ซึ่งภารกิจนี้มักจะโดนสื่อแซวว่าเป็น "มิชชั่น อิมพอสสิเบิล" หรือ "ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้"
ทูเคิ่ล จะทำสำเร็จหรือไม่ ... ด่านต่อไปรอเขาอยู่ในซัมเมอร์ปี 2026 แล้ว
แหล่งอ้างอิง
https://www.nytimes.com/athletic/6800869/2025/11/12/england-home-atmosphere-wembley/
https://www.goal.com/en/lists/revealed-thomas-tuchel-major-change-england-training-compared-gareth-southgate-head-coach-gets-stuck-in-three-lions-squad/blte443029736f701ea
https://www.bbc.com/sport/football/articles/c0rzl9gjznro
https://www.independent.co.uk/sport/football/england-world-cup-thomas-tuchel-squad-b2865314.html