Feature

แมนฯ ซิตี้ vs ลิเวอร์พูล ยุค 2025 : จากศึกตัดสินแชมป์ สู่บททดสอบของยุคใหม่ | Main Stand

ครั้งหนึ่ง การเจอกันของพวกเขา คือเกมที่โลกต้องหยุดหายใจ 

 

วันนี้ ทั้งสองทีมยังยืนอยู่ตรงนั้น … แต่ด้วยโฉมหน้าและรูปแบบใหม่ ศึก "ซิตี้ vs ลิเวอร์พูล" ในปี 2025 อาจไม่เดือดเท่ายุคก่อน

ทว่าความหมายและปลายทางหลังจบ 90 นาทีของมันยังคงเดิม นี่คือเกมฟุตบอลที่บอกเราว่า "ฟุตบอลกำลังเปลี่ยนไปอย่างไร ?" 

 

อดีตคือศึกตัดสินแชมป์ 

มีอยู่ช่วงหนึ่งของพรีเมียร์ลีก ที่ "แมนเชสเตอร์ ซิตี้ vs ลิเวอร์พูล" ไม่ได้หมายถึงแค่เกมใหญ่ของอังกฤษ แต่คือสงคราม เป็นเกมที่ทุกสายตาต้องจับจ้อง และความสนใจจากทุกคู่ถูกหันมาที่ 2 ทีมที่ดีที่สุดในอังกฤษ ที่ยืนระยะบนความสำเร็จแบบแลกกันหมัดต่อหมัดในระยะเวลาอย่างน้อย ๆ 4-5 ปี 

ตัวละครเอกก่อนหน้านี้ แน่นอนที่สุดว่าต้องเป็น เป๊ป กวาร์ดิโอลา จาก ซิตี้ และ เยอร์เก้น คล็อปป์ ของ ลิเวอร์พูล พวกเขาเป็น 2 กุนซือผู้ยิ่งใหญ่ ที่ยืนอยู่คนละฝั่งของสนาม พร้อมปรัชญาฟุตบอลที่แตกต่างกันสุดขั้ว ฝ่ายหนึ่งคือการครองบอลอย่างสมบูรณ์แบบ อีกฝ่ายคือพลังเพรสซิ่งที่วิ่งไล่จนแทบไม่มีอากาศหายใจ 

เมื่อโคตรแท็คติกเฉพาะทาง และผู้ที่ถือเป็นเซียนประจำแนวทางนี้ ต้องวางหมากเฉือนกันแบบนาทีต่อนาที สิ่งที่แฟนบอลได้เห็นคือเรื่องของคุณภาพเกมระดับ 5 ดาว ทั้งในเชิงแท็คติก ความแข็งแรง และความสวยงาม เหนือสิ่งอื่นใด นักเตะทั้งสองฝั่งต่างรู้ดีว่า "นี่คือเกมที่พวกเขาไม่สามารถแพ้ได้" ... ไม่ได้เวอร์ แต่ความเดือดของมันต้องเรียกว่าอยู่ในเบอร์นั้นเลย

นับตั้งแต่ปี 2018-2022 การเจอกันของสองทีมนี้คือ เกมตัดสินแชมป์โดยพฤตินัย เพราะการคว้าแชมป์ และรองแชมป์ มักจะสลับกันอยู่สองทีม ขณะที่บางปีต้องตัดสินแชมป์ผ่านประตูได้เสีย หรือไม่ก็ด้วยระยะห่างแค่ 1 คะแนนเท่านั้น 

ใครแพ้ในแมตช์นี้ มักจะเป็นฝ่ายหลุดจากเส้นทางลุ้นแชมป์ในระยะยาว  มีทั้งเกมคลาสสิก 2-2 ที่เอติฮัด, ลูกปั่นโค้ง ๆ ของ โม ซาลาห์ ที่ แอนฟิลด์ ไปจนถึงการต่อกรกันด้วยแท็คติกระดับมาสเตอร์คลาสที่แทบไม่มีช่องว่างให้พลาด 

มันคือยุคซึ่งพรีเมียร์ลีกถูกยกให้เป็นลีกฟุตบอลที่ "มีสองอัจฉริยะยืนอยู่บนยอด" ... แต่ตอนนี้หลายอย่างเปลี่ยนไป ทั้ง 2 ฝั่งก็ถอยออกจากความ "ไร้เทียมทาน" ลงเล็กน้อย และพวกเขาเองก็รู้ดีว่าเวลาไม่ค่อยท่า ต่างฝ่ายต่างอยากกลับไปอยู่ในจุดที่เคยอยู่ให้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้พรีเมียร์ลีกได้เปลี่ยนไปแล้ว

 

ยุคแห่งการเริ่มใหม่พร้อมกัน 

เวลาผ่านไปไม่นาน แต่โลกฟุตบอลเปลี่ยนไปอย่างมาก ... รู้ตัวอีกที แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เริ่มเข้าสู่ช่วงถ่ายเลือด จากทีมที่เคยสมบูรณ์แบบในทุกตำแหน่ง กลายเป็นทีมที่ต้องเรียนรู้ใหม่อีกครั้งเมื่อขุนพลชุดไร้เทียมทานอย่าง เซร์คิโอ อเกวโร่, เควิน เดอ บรอยน์, แบร์นาร์โด้ ซิลวา และ โรดรี้ เริ่มแยกย้าย และโรยรา 

ไม่ใช่แค่ทีมอื่นเท่านั้นที่พยายามเปลี่ยนแปลงให้แข็งแกร่งขึ้น แต่ เป๊ป เองก็พยายามเปลี่ยนแปลงวิธีการเล่นใหม่ให้เหมาะสมกับนักเตะที่มีอยู่ด้วยเช่นกัน แต่ความสดและความลงตัวไม่เหมือนเดิม 

นักเตะใหม่อย่าง นิโค กอนซาเลซ, ทิจจานี่ ไรจ์นเดอร์ส, รายาน แชร์กี รวมถึงกลุ่มที่ต้องยกระดับขึ้นมาแทนซีเนียร์ชุดเดิมอย่าง ฟิล โฟเด้น, เจเรมี่ โดกู และ ซาวินโญ่ ยังต้องใช้เวลาในการกลายเป็นฟันเฟืองที่สมบูรณ์ ซึ่ง ณ ตอนนี้เห็นจะมีเพียง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ เท่านั้นที่เครื่องแรงไม่มีตก และเป็นคนที่สร้างความแตกต่างจน ซิตี้ ไม่ได้ถดถอยมากกว่าที่เป็นอยู่นี้ 

ด้าน ลิเวอร์พูล ก็ยืนอยู่บนเส้นทางเดียวกัน เพียงแต่มีโค้ชใหม่ อย่าง อาร์เน่อ ชล็อต เป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่าน

หลังยุค คล็อปป์ ทีมยังคงหัวใจเดิมคือการเล่นด้วยพลังและสปิริต แต่เพิ่มความนิ่งและความคิดจากระบบฟุตบอลสไตล์ดัตช์เข้าไป

ชล็อต พา ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในซีซั่น 2024-25 อย่างเหนือความคาดหมาย แต่ทุกคนรู้ดีว่า "นี่คือแค่จุดเริ่มต้น" ของการสร้างทีมใหม่ เพราะ ชล็อต ก็เริ่มใส่ระบบของตัวเองชัดขึ้น และเริ่มเห็นอะไรที่แตกต่างจากยุค คล็อปป์ มากขึ้นเรื่อย ๆ  นักเตะชุดรุ่งเรืองหลายคนอายุมากขึ้น ทั้ง โม ซาลาห์, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ขณะที่นักเตะใหม่ก็ยังต้องปรับตัวไม่แพ้กับฝั่งซิตี้ ไม่ว่าจะเป็น อเล็กซานเดอร์ อิซัค หรือ โฟลเรียน เวียตซ์

กลุ่มนักเตะหน้าเก่าที่ต้องยกระดับขึ้นมาแบกทีม หรือนักเตะหน้าใหม่ที่ต้องพยายามเป็นเนื้อเดียวกันกับทีม และปรับตัวให้เข้ากับแท็คติกแบบที่โค้ชของพวกเขาเตรียมการมา คือสถานการณ์เดียวกันที่ทั้ง 2 ทีมต้องเจอ 

และคงไม่ได้กล่าวเกินเลยไปนัก หากจะบอกว่าหากใครชนะเกมนี้ พวกเขามีสิทธิ์ที่จะรวมทีมเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันให้ลงตัวได้ก่อน เพราะปีนี้การลุ้นแชมป์ไม่ได้มีแค่พวกเขาแค่ 2 ทีมอีกแล้ว 

 

อาจไม่ 5 ดาว แต่โคตรสำคัญ

ในปี 2025 นี้ "แมนฯ ซิตี้ vs ลิเวอร์พูล" อาจไม่ใช่เกมระดับ 5 ดาวแบบที่เคยเป็น แต่ความสำคัญของมันไม่เคยลดลงเลย

เพราะทั้งสองสโมสร ต่างกำลังเดิมพันกับอนาคตและยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองดังที่กล่าวไว้ แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กำลังพิสูจน์ว่ายังเป็นทีมที่ดีที่สุดในอังกฤษได้โดยไม่ต้องพึ่งดาวดังตัวเดิม ๆ ส่วน ลิเวอร์พูล ของ ชล็อต กำลังพิสูจน์ว่าพวกเขาสามารถต่อยอด และยกระดับขึ้นมาด้วยการใส่ไอเดียที่เป็นตัวเอง ให้ทีมมีกลิ่นของความต่างจากยุคที่ คล็อปป์ เคยสร้างไว้ 

และในขณะเดียวกัน "อาร์เซน่อล" ของมิเกล อาร์เตต้า ก็กลายเป็นอีกขั้วอำนาจที่เข้ามาแทรกกลางอย่างเต็มตัว ทำให้พรีเมียร์ลีกไม่เหลือคำว่า "สองทีมผูกขาด" อีกต่อไป และเมื่อช่องว่างระหว่างทีมใหญ่กับทีมกลางเริ่มแคบลงกว่าเดิม ทุกคะแนน ทุกชัยชนะจึงมีความหมายมากกว่าที่เคย

ดังนั้น เมื่อเสียงนกหวีดแรกดังขึ้นในเกมนี้ มันอาจไม่ใช่สงครามของ เป๊ป กับ คล็อปป์ อีกต่อไป แต่คือบทพิสูจน์ของสองโค้ชจากสองยุค

คนหนึ่งกำลังต่ออายุความยิ่งใหญ่ของระบบเดิม อีกคนกำลังเขียนยุคทองบทใหม่ด้วยไอเดียของตัวเอง

และสุดท้าย ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร

… เกมนี้จะยังคงเป็น "กระจกสะท้อนอนาคตของพรีเมียร์ลีก" ได้อย่างชัดเจนที่สุดเกมหนึ่งของฤดูกาล ... แม้จะไม่ใช่เกมที่ตัดสินแชมป์เหมือนเก่า แต่เกมนี้คือเกมที่นักเตะทั้ง 2 ฝั่งจะลงเล่นด้วยทัศนคติเดิม นั่นคือ "แพ้ไม่ได้" 

และที่สำคัญ ชัยชนะในเกมนี้จะเป็นสปริงบอร์ดที่ทำให้ทีมที่คว้า 3 แต้มได้ โกยความมั่นใจครั้งสำคัญหลังผ่านโค้งแรกของพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้อย่างแท้จริง 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.youtube.com/watch?v=3XL9DTZpjdI
https://www.nytimes.com/athletic/6783161/2025/11/07/premier-league-predictions-md11/
https://www.espn.co.uk/football/story/_/id/46871691/after-2024-25-premier-league-nightmare-man-city-prove-spooky-season-truly-vs-liverpool

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ