"มีคำกล่าวที่ว่า 'เราเรียนรู้ที่จะอยู่รอดโดยที่เราแทบไม่มีอะไรเลย' เพราะประเทศนี้แห้งแล้ง ฝนตกไม่บ่อย แล้วก็ยากจน แต่สิ่งที่ทำให้พวกเราได้จากมันก็คือ ความอดทน ยังไงล่ะ"
นี่คือคำกล่าวของ วิกเตอร์ อูโก อดีตนักบาสเกตบอลทีมชาติกาบูเวร์ดี หรือ "หมู่เกาะเคปเวิร์ด" ที่ปัจจุบันพวกเขาเป็นชาติล่าสุดที่คว้าตั๋วไปฟุตบอลโลก 2026 ได้สำเร็จ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติอีกด้วย
ความอดทนเป็นจุดเริ่มต้น และจากนั้นล่ะ ? อะไรที่ทำให้ประเทศแห่งนี้เบียดทีมมหาอำนาจในทวีปอย่าง แคเมอรูน ก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์กลุ่ม และคว้าตั๋วไปฟุตบอลโลกครั้งต่อไปได้ ? ติดตามกับ Main Stand
ฟุตบอลในเคปเวิร์ด
ก่อนจะพูดเรื่องปัจจุบัน อาจจะต้องเท้าความกันให้เห็นภาพสักหน่อย เพราะ "รากของฟุตบอล" ของประเทศเคปเวิร์ดนี้ มาจากมหาอำนาจจากยุคล่าอาณานิคมอย่าง โปรตุเกส
เราจะผ่านช่วงร่ายอดีตนี้ไปแบบไว ๆ เพื่อเข้าเส้นเรื่องหลัก ดังนั้นเรื่องนี้มันอาจจะรวบรัดสักหน่อย แต่เอาเป็นว่า โปรตุเกสปกครองเคปเวิร์ดตั้งแต่ปี 1462 และจนมาถึงช่วงหนึ่งที่ฟุตบอลได้รับความนิยมมาก ๆ ในยุโรป โปรตุเกส ก็เป็นประเทศที่รับฟุตบอลจากอังกฤษเข้ามา เริ่มสร้างสโมสรฟุตบอล และลีกในประเทศของตัวเองเป็นครั้งแรก
จากนั้นในช่วงเวลาดังกล่าว ด้วยความที่โปรตุเกส มีอิทธิพลด้านการเมืองและการปกครองในเคปเวิร์ด พวกเขาจึงได้ส่งเจ้าหน้าที่รัฐ ทหาร พ่อค้า และมิชชันนารีมายังอาณานิคมต่าง ๆ รวมถึงเคปเวิร์ด พร้อมกับนำ "วัฒนธรรมฟุตบอล" มาด้วย
สรุปให้เข้าใจในประโยคเดียวในจุดเริ่มต้นของฟุตบอลในประเทศเคปเวิร์ดนี้ก็คือ คนโปรตุเกสคือ "ผู้นำลูกฟุตบอลลูกแรก" มายังหมู่เกาะเคปเวิร์ดนั่นเอง
จากนั้นฟุตบอลก็เริ่มแพร่กระจายไปตามคนโปรตุเกสที่เข้ามา มีบันทึกว่าเกิดกิจกรรมฟุตบอลขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยกลุ่มแรกที่เล่นฟุตบอลไม่ใช่ชาวพื้นเมือง แต่เป็น ข้าราชการและทหารโปรตุเกส รวมถึงลูกหลานของพวกเขา ต่อมาเด็กและคนในพื้นที่เริ่มเข้ามาร่วมเล่นกับชาวโปรตุเกส และเรียนรู้กติกาจากพวกเขา
สิ่งยืนยันหน้าประวัติศาสตร์นี้ได้ดี ก็คือการมีบันทึกว่า สโมสรฟุตบอลแห่งแรกของประเทศ คือ CS Mindelense (ก่อตั้งปี 1919) ซึ่งได้รับอิทธิพลโดยตรงจากโมเดลสโมสรในโปรตุเกส
จากนั้นฟุตบอลก็กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำหรับการสร้างชุมชน แม้กระทั่งจนถึงวันที่เคปเวิร์ดเป็นเอกราชในปี 1975 ฟุตบอลก็กลายเป็นกีฬาอันดับหนึ่งของประเทศนี้ไปโดยปริยาย และวัฒนธรรมฟุตบอลของพวกเขากำลังเบ่งบางสุดขีดจากการคว้าตั๋วไปฟุตบอลโลก 2026 ครั้งนี้
คลั่งจนเข้าเส้นชัย
ถ้าถามว่าชาวเคปเวิร์ดนั้นคลั่งไคล้ฟุตบอลขนาดไหน ก็ต้องบอกว่าในเกมนัดรองสุดท้ายของฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือกที่ เคปเวิร์ด ต้องไปเยือนทีมชาติลิเบีย ที่ห่างไกลออกไปกว่า 4,410 กิโลเมตร ปรากฎว่าวันนั้นสนามบินแห่งชาติของพวกเขาต้องวุ่นวายที่สุดในรอบหลายปี
เหตุเกิดเพราะชาวเคปเวิร์ดมาต่อแถวรอคิวยาวเหยียดที่สนามบิน บางส่วนบินตามไปเชียร์ถึงลิเบีย ส่วนคนที่มีเงินไม่พอก็เลือกที่จะมาสนามบินในวันที่นักเตะของพวกเขาจะต้องเดินทาง เพื่อส่งกำลังใจก่อนออกล่าตั๋วฟุตบอลโลกอันล้ำค่าที่ชาวเคปเวิร์ดฝันอย่างจะไปให้ถึงสักครั้งในช่วงชีวิต
ในเกมนั้น เคปเวิร์ด เก็บผลเสมอมาด้วยสกอร์ 3-3 หลังจากตามถึง 1-3 และนั่นทำให้เกมสุดท้ายที่พวกเขาเอาชนะ เอสวาตินี ไป 3-0 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2025 ตั๋วถูกขายหมดเกลี้ยงตั้งแต่เปิดขายได้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น และภาพหลังเกมก็เป็นอย่างที่เราได้เห็นกันบนหน้าสื่อ พวกเขาดีใจกันอย่างสุดเหวี่ยง นั่นแสดงให้เห็นว่าฟุตบอลสำคัญกับพวกเขาจริง ๆ
เว็บไซต์ของ FIFA มีการเอาประโยคของ วิกเตอร์ อูโก อดีตนักบาสเกตบอลทีมชาติเคปเวิร์ด กล่าวในเกมที่พวกเขาชนะ แคเมอรูน ในรอบแบ่งกลุ่มมาเปรียบเทียบกับเป็นคาแร็คเตอร์ของผู้คนในประเทศนี้ ที่พัฒนาด้านกีฬาได้อย่างรวดเร็ว และนั่นรวมถึงการพัฒนาฟุตบอลของพวกเขาด้วย นั่นคือประโยคที่ว่า
"มีคำกล่าวที่ว่า 'เราเรียนรู้ที่จะอยู่รอดโดยที่เราแทบไม่มีอะไรเลย' เพราะประเทศนี้แห้งแล้ง ฝนตกไม่บ่อย แล้วก็ยากจน"
"เราขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ แต่เรายังมีทะเลและแสงแดด และผมเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่กำหนดตัวตนของเรา เราอดทนมานานจนแข็งแกร่งขึ้น และความอดทนแบบเดียวกันนี้เองที่ผลักดันนักเตะในสนามในวันนี้ รวมถึงกองเชียร์ที่ยืนหยัดเคียงข้างทีมชาติ ช่วยให้เราคว้าชัยชนะมาได้"
แน่นอนว่าความอดทนเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางที่น่าตื่นเต้นของพวกเขา แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรรู้ก็คือ พวกเขาเอาจริงกับฟุตบอลแค่ไหน จึงกลายเป็นประเทศที่ใช้เวลาสร้างฟุตบอลจริง ๆ จัง ๆ เพียง 40 ปี ก็ได้ไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้สำเร็จ ซึ่งสิ่งที่เกี่ยวข้องมากก็คือโมเดลการหานักเตะมาติดทีมชาติของพวกเขานี่แหละ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงหลัง
กำเนิด เคปเวิร์ด ชุดลุยฟุตบอลโลก
หนึ่งในหัวใจสำคัญที่สุดของทีมชาติเคปเวิร์ดยุคนี้คือการมีนักเตะที่ "เกิดหรือเติบโตในยุโรป" จำนวนมาก โดยเฉพาะใน โปรตุเกส ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นผลจากประวัติศาสตร์ในอดีตดังที่กล่าวไปข้างต้น
พวกเขามีสนามฟุตบอลที่ผ่านมาตรฐานไม่กี่แห่งในประเทศ และฟีฟ่า ก็เพิ่งช่วยสนับสนุนการต่อเติมสนาม อเดริโต เซน่า บนเกาะ เซาบิเซนเต้ ไปเมื่อ 3 ปีก่อน เพื่อให้พวกเขามีสนามที่สามารถใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก
การขาดแคลนเรื่องเชิงโครงสร้าง ทำให้พวกเขาใช้วิธีที่ไม่ต้องเริ่มจากระบบเยาวชนในประเทศ แต่ผ่านการฝึกในศูนย์ฝึกระดับสูงของยุโรปแทน สิ่งเหล่านี้ทำให้นักเตะของพวกเขามีคุณภาพเฉพาะตัว และมีวินัยในเชิงแท็กติกที่สูงกว่าหลายชาติในแอฟริกาในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
พวกเขาบริหารศักยภาพของผู้อพยพได้อย่างชาญฉลาด โดยมีการเปิดเผยว่าสมาคมฟุตบอลมีเครือข่ายในยุโรป คอยตามหานักเตะเชื้อสายเคปเวิร์ดที่เล่นในโปรตุเกส ฝรั่งเศส ฮอลแลนด์ ฯลฯ นักเตะหลายคนที่อาจไม่มีโอกาสติดทีมชาติยุโรป จึงเลือกกลับมาเล่นให้บ้านเกิดเพื่อเพิ่มขุมกำลังที่มีคุณภาพ
ซึ่งระบบนี้คล้าย ๆ กับทาง โมร็อกโก ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากใน ฟุตบอลโลก 2022 หรือที่ อินโดนีเซีย ทำได้ดีในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2026 โซนเอเชีย
วิธีการเช่นนี้อาจจะเป็นวิธีทางลัด แต่ก็เห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน เพราะลำพังด้วยประเทศที่ไม่ได้ร่ำรวย ไม่มีสนามมาตรฐานมากนัก ไม่มีลีกที่แข็งแกร่งและระบบเยาวชนที่ดี แถมยังมีประชากรแค่ 520,000 คน การใช้สายเลือดของพวกเขาที่ไปเติบโตที่อื่น ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมดังที่กล่าวไป
บูบิสต้า โค้ชของทีมชาติเคปเวิร์ดที่ทำงานกับทีมมาตั้งแต่ปี 2020 นั้น เป็นอดีตนักเตะชาวเคปเวิร์ดที่เคยค้าแข้งในโปรตุเกส ก็กล่าวยอมรับว่า การดึงนักเตะสายเลือดเคปเวิร์ดจากยุโรปนั้น ถือเป็นสิ่งที่ทำให้เขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะนักเตะในทีมสามารถเล่นด้วยแท็คติกได้อย่างเข้าใจ ซึ่งแท็คติกที่เขาเน้นย้ำมาตลอดคือการเล่นเกมรับให้แน่น มีวินัย และเส้นสวนกลับเร็วเป็นหลัก
ซึ่งวิธีนี้เองทำให้พวกเขาสร้างความฮือฮาตั้งแต่ฟุตบอล แอฟริกา คัพ ออพ เนชั่นส์ 2023 ที่พวกเขาหลุดเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยการเอาชนะทีมใหญ่ของทวีปอย่าง กานา ในรอบแบ่งกลุ่มได้อีกด้วย
โดยหลังจากผลงานในบอลชิงแชมป์ทวีปครั้งนั้น บูบิสต้า ได้กล่าวผ่านสื่อว่า "ตอนนี้เรากำลังเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นเรื่อย ๆ นักเตะของผมทำตามคำสั่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตอนที่เราเสียบอล ทุกคนเข้าใจตรงกันว่าเป็นหน้าที่ของทุก ๆ คน ทุก ๆ ตำแหน่งที่จะต้องพยายามแย่งบอลคืนกลับมา"
"เราจะไม่หยุดนิ่ง ต่อจากนี้เราจะเดินหน้าและพัฒนากันต่อไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ทุกคนในประเทศนี้สามารถจับต้องได้มากขึ้น" ... ซึ่งสุดท้ายทีมที่ใช้เวลาสร้างมา 5 ปีก็สร้างผลงานต่อเนื่องไปจนถึงการคว้าตั๋๋วฟุตบอลโลก 2026 ได้สำเร็จ
จุดประกายความฝัน
สิ่งที่จะลืมไม่ได้อีกอย่างสำหรับความสำเร็จของเคปเวิร์ดก็คือ แม้พวกเขาจะเป็นประเทศเล็กแต่เคปเวิร์ดมีความมั่นคงทางการเมืองค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศในแอฟริกา สิ่งเหล่านี้ทำให้โครงสร้างทีมชาติและการบริหารไม่ได้ปั่นป่วนจากปัญหาการเมืองภายในมากนัก ซึ่งสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นนโยบายด้านการสร้างทีมชาติที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้ จากการให้เวลาโค้ชอย่าง บูบิสต้า ถึง 5 ปี ก่อนจะได้เห็นผลงานที่เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกนักเตะที่เหมาะสมทั้งคุณภาพและทัศนคติ ไปจนถึงการใส่ระบบการเล่นในแบบที่พวกเขาอยากจะเป็นได้สำเร็จ
ไม่ว่าคุณจะคิดอย่างไรกับการใช้นักเตะที่ไปโตที่อื่น แต่มีสายเลือดเคปเวิร์ดเช่นนี้ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ณ ตอนนี้ ทีมชุดนี้ได้กลายเป็นฮีโร่และจุดประกายทำให้ทุกคนในประเทศนี้ได้เห็นความสำเร็จแบบที่พวกเขาอยากจะเห็นมานาน ซึ่งหลายคนบอกว่าการเปลี่ยนแปลงบนหน้าประวัติศาสตร์ครั้งนี้ จะทำให้เด็ก ๆ ในประเทศของพวกเขา มีความฝันที่จะพัฒนาตัวเองมากขึ้น เพื่อที่จะเดินตามรอยของเหล่าวีรชนที่พวกเขาพร้อมให้กำลังใจอย่างไร้ข้อแม้อย่างทีมชาติเคปเวิร์ดชุดนี้ด้วย
"เราใช้ชีวิตและหายใจด้วยฟุตบอลที่นี่ เราสนับสนุนทีมสโมสรและทีมชาติอื่น ๆ จากทั่วทุกมุมโลกมาตลอด และตอนนี้เรามีโอกาสที่จะสนับสนุนทีมชาติของเราเอง นั่นเป็นสิ่งที่คุณอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ มันคือความภาคภูมิใจถึงขีดสุดในฐานะชาวกาโบเวร์ดีคนหนึ่ง"
"เราได้เห็นชาวกาบูเวร์ดีประสบความสำเร็จในกีฬาประเภทอื่นๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่สำหรับฟุตบอลแล้ว ผมคิดว่ามันพิเศษกว่ามาก ๆ สำหรับเด็ก ๆ ที่คุ้นเคยกับการเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เริ่มเดิน เราเล่นด้วยทุกอย่างที่หาได้ตามท้องถนนและที่โรงเรียน ดังนั้นการที่พวกเขาได้เห็นทีมชาติทางโทรทัศน์ ได้ลงเล่นฟุตบอลโลก ... ผมมั่นใจว่าเด็ก ๆ พวกนี้จะต้องมีความสุขและได้แรงบันดาลใจครั้งใหญ่แน่นอน" คริสเตียโน บาร์โบซา ช่างภาพชาวกาบูเวร์ดี กล่าวกับเว็บไซต์ของ FIFA
คุณไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการเพิ่มจำนวนทีมในฟุตบอลโลก 2026 ทำให้หลายชาติเข้าใกล้ความฝันในการไปฟุตบอลโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของตัวเองมากขึ้น
แต่สิ่งที่เกิดจากเคปเวิร์ดแสดงให้เห็นว่า การที่ทีมฟุตบอลจะประสบความสำเร็จ ต้องใช้หลายสิ่งอย่างประกอบกัน การอดทนในการเริ่มต้น การตัดสินใจเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง การให้โอกาสโค้ชทำงานอย่างเต็มที่ หรือแม้กระทั่งการเมืองในประเทศที่สามารถทำให้รัฐบาลมีเวลามาสนับสนุนทีมฟุตบอลอย่างไม่มีกั๊ก โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปสู้รบกันในเกมการเมืองและสภา
ในเกมแห่งประวัติศาสตร์ที่ เคปเวิร์ด เอาชนะ เอสวาตินี 3-0 รัฐบาลของพวกเขาประกาศให้ประชาชนทั้งประเทศหยุดครึ่งวันเพื่อมาชมเกมฟุตบอลเกมนี้และให้กำลังใจนักเตะและสตาฟโค้ชทุก ๆ คน มันแสดงให้เห็นว่าประเทศของพวกเขาบ้าบอลขนาดไหน และการฟีเวอร์ครั้งนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงอนาคตของวงการฟุตบอลเคปเวิร์ดไปตลอดกาลเลยก็ได้
ในโอกาสหน้า พวกเขาอาจจะมีนักเตะที่เติบโตจากระบบลีกของตัวเองมากขึ้น หรือใด ๆ ก็ตาม ... เราสามารถคิดได้ทั้งนั้น เพราะ ณ ตอนนี้พวกเขาวิ่งเข้าเส้นชัยแรกได้แล้ว
เพียงแต่โลกฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะมันคือการแข่งขันระยะยาว ที่ทุกชาติพร้อมจะแซงหน้าหากคุณหยุดพัฒนาแม้เพียงแวบเดียวก็ตาม
ส่วนฟุตบอลในแบบที่ทุกคนในประเทศเคปเวิร์ดร่วมแรงร่วมใจกันสร้างมาตลอด 5 หลังจะเป็นอย่างไร มีคุณภาพแค่ไหนเมื่อเจอการแข่งขันระดับสูง ... ฟุตบอลโลก 2026 เราจะได้เห็นสิ่งนั้นด้วยตาตัวเองแบบเต็ม ๆ อย่างแน่นอน
แหล่งอ้างอิง
https://inside.fifa.com/associations/news/cabo-verde-dream-first-world-cup-beckons
https://en.wikipedia.org/wiki/Cape_Verde_national_football_team
https://english.ahram.org.eg/News/516116.aspx
https://www.africa-press.net/cape-verde/all-news/cape-verde-coach-calls-for-unity-during-world-cup-qualification
https://www.idiskitimes.co.za/africa-cup-of-nations/cape-verde-coach-how-we-can-beat-bafana