Feature

ไม่ดื้ออาจเป็นผลดี : การปรับแผนของ อลอนโซ่-คอนเต้ ที่ อโมริม ควรดูเป็นตัวอย่าง | Main Stand

"จอดเรือให้ดูฝั่ง จะนั่งให้ดูพื้น" เป็นสุภาษิตไทยที่สอนให้รู้จักพิจารณาและประเมินสถานการณ์รอบ ๆ ตัวอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใจ หรือกระทำการใด ๆ ก็แล้วแต่ เป็นการสร้างนิสัยปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและความเป็นจริง

 

สุภาษิตนี้ ดูเข้ากับสถานการณ์ ณ ปัจจุบันของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอามาก ๆ เพราะภายใต้การคุมทีมของ รูเบน อโมริม ระบบการเล่น 3-4-2-1 ยังคงไม่ลงตัว ทั้งที่เขาติดตั้งระบบนี้มานานเกือบ 1 ปีแล้ว 

ตัดภาพไปที่โค้ชคนอื่น อาทิ ชาบี อลอนโซ่ รวมไปถึง อันโตนิโอ คอนเต้ 2 กุนซือที่เคยใช้ระบบหลัง 3 แล้วพาทีมประสบความสำเร็จใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป แต่ในฤดูกาล 2025-26 พวกเขาทั้งสองคนตัดสินใจปรับเปลี่ยนแผนการเล่นให้เข้ากับผู้เล่นที่มี ทว่าผลงานของพวกเขาก็ยังดีไม่เปลี่ยนแปลง

Main Stand จะมาวิเคราะห์ให้เห็นว่า ถ้าแผนหลัง 3 ของ อโมริม ยังไม่ใช่ ลองหันไปดู อลอนโซ่ กับ คอนเต้ เป็นกรณีศึกษาดีหรือไม่

 

แผนอโมริมที่ยังหลวมทุกจุด

อย่างที่ทราบกันว่า นับตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2024 รูเบน อโมริม เข้ามารับงานคุม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และติดตั้งระบบการเล่น 3-4-2-1 ให้ทีมโดยทันที จริงอยู่ที่ 3 เกมแรกรวมทุกรายการ เขาจะพาทีมชนะ 2 เสมอ 1 ยิง 8 เสีย 3

จนกระทั่งนัดที่ "ปีศาจแดง" บุกไปแพ้ "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล 0-2 ต่อด้วยการพ่ายคาบ้านกับ "เจ้าป่า" น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 2-3 เมื่อปีก่อน ระบบการเล่นของกุนซือรายนี้ก็เริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้น

ระหว่างทาง แผนการเล่นของ อโมริม ก็ยังมีบางเกมที่ทำผลงานได้ดี ยกตัวอย่างเช่น ฤดูกาล 2024-25 เกมในประเทศ พวกเขาสามารถบุกไปเฉือนเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คู่ปรับร่วมเมือง 2-1, บุกไปเสมอ ลิเวอร์พูล 2-2, เสมอกับ อาร์เซน่อล ในเวลาปกติ 1-1 ก่อนเอาชนะการดวลจุดโทษไป 5-3 ในศึกเอฟเอ คัพ รอบ 3 รวมถึงนัดที่ เปิดบ้านเอาชนะ เซาแธมป์ตัน 3-1

ขณะที่รายการบอลยุโรปอย่าง ยูฟ่า ยูโรป้าลีก แมนฯ ยูไนเต็ด ของ อโมริม ก็มักจะทำผลงานได้ดีเมื่อเล่นในบ้าน ไม่ว่าจะเป็น เปิดบ้านถล่ม เรอัล โซเซียดาด 4-1 ในรอบ 16 ทีม, เปิดบ้านเฉือนเอาชนะ โอลิมปิก ลียง แบบพลิกนรก 5-4 ในเกมรอบก่อนรองชนะเลิศ และในเกมรอบรองชนะเลิศ ที่ถล่มเอาชนะ แอธเลติก บิลเบา แบบไปกลับด้วยสกอร์ 3-0 กับ 4-1 ตามลำดับ 

นี่คือตัวอย่างเกมที่ รูเบน อโมริม ใช้แผน 3-4-2-1 แล้วทีมทำผลงานได้น่าพอใจทั้งในแง่สกอร์หรือแม้แต่วิธีการเล่น ซึ่งเห็นได้ว่ามันเป็นแค่ส่วนน้อยที่ปีศาจแดงจะสามารถต่อกรกับคู่แข่งและคว้าแต้มออกไปได้

ฤดูกาลที่แล้ว 42 นัดรวมทุกรายการที่ อโมริม คุมปีศาจแดง ผลคือ ชนะ 17 เสมอ 8 แพ้ 17 ยิง 75 เสียถึง 70 ประตู ส่วนเปอร์เซ็นต์ชนะคิดเป็น 40.48%

เห็นได้ชัดเลยว่าตลอด 6 เดือนแรกที่เข้ามารับเผือกร้อนต่อจาก เอริค เทน ฮาก ตัวของ อโมริม มีสถิติชนะกับแพ้เท่ากันเป๊ะ แถมแผนการเล่นที่ อโมริม เลือกใช้หลายเกมก็ไม่สามารถทำอะไรคู่แข่งได้เลย 

3-4-2-1 ควรเป็นแผนการเล่นที่เน้นความเหนียวแน่นในเกมรับ รอจังหวะตัดบอลและสวนกลับด้วย 3 ตัวรุกพร้อมกับวิงแบ็กซ้าย-ขวา ทว่าแผนและวิธีการเล่นของ อโมริม ที่ใช้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด มันไม่ได้เป็นแบบนั้น 

เพราะ 3 กองหลังที่เขาเลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็น ลุค ชอว์, มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์, แฮร์รี่ แม็คไกวร์ รวมไปถึง เลนี่ โยโร่ ต่างไม่ได้มีภาวะความเป็นผู้นำโดดเด่นออกมา รวมถึงสภาพร่างกายฟิตสมบูรณ์ยืนเป็นแกนหลักได้ยาว ๆ ไม่เหมือนกับหลัง 3 ของ ยูเวนตุส ยุคที่มีทั้ง จอร์โจ้ คิเอลลินี่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ และ อันเดรีย บาร์ซาญี่ หรืออย่างหลัง 3 ของ เชลซี ก็มี แกรี่ เคฮิลล์, ดาวิด ลุยซ์ กับ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ที่สามารถสั่งการได้ทุกคน 

วิงแบ็กซ้าย-ขวา คืออาวุธเสริมในเกมรุก แต่เป็นอาวุธหลักทางริมเส้น ควรมีพลังงานที่เต็มเปี่ยม มีสภาพร่างกายที่แข็งแรง เหมาะกับการวิ่งขึ้น-ลงตลอดทั้งเกม เมื่อถึงเวลาตั้งรับต้องเข้าสกัดได้ ส่วนเกมรุกก็เติมขึ้นมาจ่ายบอลและยิงประตูได้ 

ตัวอย่างที่ดีที่สุด คือ เชลซี ฤดูกาล 2016-17 ของ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่มี มาร์กอส อลอนโซ่ กับ วิคเตอร์ โมเสส เป็นสายพลังงานทางด้านกว้างที่มีส่วนกับประตูถึง 15 ลูกในปีที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก หรือจะเป็นซีซั่น 2023-24 ที่คว้าดับเบิ้ลแชมป์ไร้พ่ายในประเทศของ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น นับแค่เฉพาะในบุนเดสลีกา กับ เดเอฟเบ โพคาล ทั้ง อเล็กซ์ กริมัลโด้ กับ เจเรมี่ ฟริมปง มีส่วนกับประตูรวมกันมากถึง 49 ลูก แทบเป็นอาวุธหลักในการล่าตาข่ายของกุนซือ ชาบี อลอนโซ่ 

มากันที่วิงแบ็กซ้าย-ขวาของ แมนฯ ยูไนเต็ด เรื่องพลังงานขึ้นลงทั้งเกมถือว่าพอใช้ได้ แต่สิ่งที่เป็นปัญหา คือ จังหวะพื้นที่สุดท้ายในเกมรุกที่ไม่สามารถจบสกอร์ หรือแอสซิสต์ได้เท่าที่ควร หลายครั้งที่วิงแบ็กไม่ว่าจะ แพทริค ดอร์กู หรือ ดิโอโก้ ดาโลต์ ได้โอกาสเติมขึ้นมา พวกเขาเปิดบอลเข้าเป้าได้น้อยมาก เป็นหนึ่งในสาเหตุที่กองหน้าหรือตัวรุกจบสกอร์ได้ไม่เยอะ

คู่กองกลางในแผนหลัง 3 จะต้องมีความครบเครื่องพอสมควร ทั้งการมีทักษะเรื่องแก้เพรสซิ่ง คุมจังหวะ และตัดเกมได้อย่างเด็ดขาด หลังแย่งบอลเสร็จจังหวะถัดไป ถ้าไม่ผ่านบอลทะลุขึ้นหน้า ก็ควรมีทักษะเลี้ยงบอลจากแดนกลางขึ้นไป 

การมี มานูเอล อูการ์เต้ กับ กาเซมิโร่ เป็นกลางรับ เรื่องตัดเกมไม่ได้น่าห่วงมาก แต่ควรจะน่าห่วงจังหวะหลังจากนั้น เพราะเมื่อแย่งบอลได้ ฝ่ายตรงข้ามจะวิ่งมารุมกดดัน คู่กลางของ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ว่าจะ อูการ์เต้, กาเซมิโร่, ค็อบบี้ เมนู หรือ บรูโน่ แฟร์นันด์ส แต่ละคนหากผ่านบอลไม่ค่อยละเอียด ก็จะเจอปัญหาโดนตัดบอลสวนกลับอีก

ถ้าวิงแบ็กเปิดบอลไม่แม่น แดนกลางผ่านบอลไม่เฉียบขาด มันก็ยากที่บรรดาเกมรุกจะทำอันตรายคู่แข่งได้ตลอดทั้งเกม จุดหลวมที่เกิดขึ้นตั้งแต่กองหลังยันกองหน้าส่งผลกระทบเป็นทอด ๆ ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เจอกับผลการแข่งที่ไม่น่าอภิรมย์

 

แผนชัดแต่วิธีกวัดแกว่ง

เมื่อไหร่ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สกอร์กำลังตามหลัง รูเบน อโมริม มักจะหาทางปรับเปลี่ยนผู้เล่นใหม่ลงไปเสมอ แต่เขายังคงยึดมั่นในแผน 3-4-2-1 เหมือนเดิม ซึ่งหลาย ๆ ครั้งเราก็เห็นว่ามันไม่สามารถเปลี่ยนผลการแข่งได้

เรื่องวิธีการเล่นภายในทีมก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่สาวกปีศาจแดง รู้สึกฉงนงุนงงอยู่ไม่มากก็น้อย ยกตัวอย่างเช่น เกมพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2025-26 ในศึก แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ที่ออกไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ระหว่างเกม แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ใช้ เบนยามิน เชชโก้ เป็นกองหน้าตัวจริง ซึ่งดาวยิงชาวสโลวีเนียโดดเด่นในเรื่องการจบสกอร์ รวมไปถึงลูกกลางอากาศ เพราะเขาเป็นที่กระโดดได้สูงมาก

มีหัวหอกรูปร่างสูงใหญ่ วิธีการเบื้องต้น มันควรจะพยายามเปิดป้อนบอลไปหากองหน้าให้มากที่สุด ถ้าผ่านบอลภาคพื้นไม่ได้ ก็ต้องเป็นการครอสบอลจากด้านข้างเข้าไปในกรอบเขตโทษหวังลุ้นโขกทำประตูบ้าง 

แต่กลายเป็นว่าตลอด 80 นาทีที่ เชชโก้ ลงสนาม เขาได้โอกาสยิงไป 1 ครั้งถ้วน เกิดขึ้นตั้งแต่นาทีที่ 4 เป็นจังหวะที่ เชชโก้ ลองยิงนอกกรอบเขตโทษไปติดเซฟ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า คิดเป็นค่า xG แค่ 0.03 แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะผ่านมือนายด่านชาวอิตาเลียน

ส่วนสถิติที่เห็นแล้วตาค้าง คือ เกมเจอกับ แมนฯ ซิตี้ กองหน้าอย่าง เบนยามิน เชชโก้ ไม่มีโอกาสจับบอลในกรอบเขตโทษคู่แข่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในขณะเดียวกัน แพทริค ดอร์กู จับบอลในกรอบเขตโทษคู่แข่งถึง 12 ครั้ง, ไบรอัน เอ็มเบอโม่ 9 ครั้ง, อาหมัด ดิยัลโล่ 3 ครั้ง แม้แต่ เลนี่ โยโร่ กับ โจชัว เซิร์กเซ่ ที่นาทีลงสนามน้อยกว่ายังมีโอกาสจับบอลในกรอบเขตโทษคู่แข่งไปคนละ 1 ครั้ง

นอกจากนี้ ช่วงที่ เชชโก้ ลงเล่นอยู่ ทีมมักจะขึ้นเกมด้วยการจ่ายบอลสั้นสลับยาวบนพื้นเป็นหลัก แถมเสียบอลเร็วหลังผ่านบอลไปได้ไม่กี่สิบครั้ง ทำให้ศูนย์หน้าชาวสโลวีเนียไม่ได้โอกาสจบสกอร์ในกรอบเขตโทษเลย 

กลับกัน พอ อโมริม เลือกเปลี่ยนตัว เชชโก้ ออกและส่ง แฮร์รี่ แม็คไกวร์ กับ โจชัว เซิร์กเซ่ ที่เป็นผู้เล่นตัวสูงใหญ่ กุนซือชาวโปรตุเกสดันสั่งให้ลูกทีมเปิดครอสมากขึ้น แทนที่จะทำตั้งแต่มี เชชโก้ อยู่ แต่จนแล้วจนรอดแท็คติก โยน โยน ของ อโมริม ก็ดูจะไร้พิษสงจับทางได้ง่าย

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีจุดข้อสงสัยในเรื่องแท็คติกที่ อโมริม สั่งการลูกทีม แต่ผลลัพธ์มันไม่ได้อย่างแรง เช่น การให้คู่กลาง "ปีศาจแดง" ดันสูงไปเพรสซิ่งกองกลางของคู่แข่ง ทว่ากลับไม่ให้ 3 เซ็นเตอร์แบ็กขยับตามขึ้นมาด้วย เกิด Between the lines หรือ พื้นที่โล่ง ที่เหมาะแก่การเชื้อเชิญฝ่ายตรงข้ามให้ขึ้นมาทำเกมรุกตอบโต้        

 

แก้เกมทั้งทีควรมีแผนเสริม 

ปัจจัยในการแก้เกม นอกจากจะมีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นแล้ว เรื่องการเปลี่ยนระบบการเล่นก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ในระบบ 3-4-2-1 จริง ๆ แล้วมันสามารถปรับลูกเล่นระหว่างเกมได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเอา 2 ตัวรุกหลังกองหน้าขยับเข้าในมาช่วยคู่กองกลาง ป้องกันการโดนรุมเหมือนกับที่ อลอนโซ่ ทำตอนอยู่ เลเวอร์คูเซ่น

หรือถ้าอยากจะบุกสุดตัว อลอนโซ่ ก็จะให้ วิงแบ็กขึ้นสุดปรับเป็น 3-2-5 แต่หากทีมโดนนำแล้วต้องการจะขยับจากหลัง 3 เป็นหลัง 4 เพื่อรุกเต็มสูบ อันโตนิโอ คอนเต้ เคยใช้วิธีนี้อยู่บ้างในบางเกม คือ การถอดเซ็นเตอร์แบ็กหรือวิงแบ็กคนใดคนหนึ่งออก ก่อนจะส่งตัวรุกอาชีพลงไปแทนปรับแผนมาใช้ระบบ 4-2-4 

กลับกัน กรณีอยากปรับแผนให้ทีมเล่นเกมรับ แผน 5-4-1 รวมไปถึงแผน 5-3-2 เป็นวิธีเบื้องต้นในการจะให้ทีมไม่เสียประตู คือ การสั่งให้ผู้เล่น 8-9 คนถอยร่นไปตั้งรับบริเวณหน้ากรอบเขตโทษและในกรอบเขตโทษ ซึ่งโค้ชที่เล่นแผนหลัง 3 เป็นกิจจะลักษณะน่าจะเข้าใจตรงนี้เป็นอย่างดี

แต่พอเป็น รูเบน อโมริม การแก้เกมหวังบุกเพื่อเอาประตู เขาไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยน Formation และ Overload ตัวผู้เล่นเลย มีแค่การเปลี่ยนผู้เล่นใหม่ลงไปแทนผู้เล่นเก่าแบบที่หลาย ๆ ครั้งก็ดูสะเปะสะปะ

ใครจะไปคิดว่า เมสัน เมาท์ ที่ร้อยวันพันปีเล่นเป็นตัวรุกชอบวิ่งป้วนอยู่ตรงพื้นที่ Half space ระหว่างเซ็นเตอร์แบ็ก กับฟูลแบ็ก จะต้องมาเล่นวิงแบ็กซ้ายในเกมลีกคัพที่เจอกับ กริมสบี้ ทาวน์ เช่นเดียวกับ ดีโอโก้ ดาโลต์ ที่รับเหมาคนเดียว 4 ตำแหน่งในเกมนั้น แต่ก็ไม่สามารถช่วยทีมเอาชนะและผ่านเข้ารอบไปได้ 

บรูโน่ แฟร์นันด์ส ที่ถนัดหมายเลข 10 มาทั้งชีวิต จ่ายบอลกล้าได้กล้าเสียเสี่ยงให้ทีมมีลุ้นในการได้ยิงประตู แต่ อโมริม ก็ยังให้ บรูโน่ ถอยต่ำลงมาเล่นกองกลางหมายเลข 8 คุมเกม ทั้งที่เขาก็ไม่ได้เป็นคนจ่ายบอลละเมียดละไมขนาดนั้น

อาจจะมีภาพแซวเป็นไวรัลว่าเทรนเนอร์วัย 40 ปีมีแฟ้มแท็คติกแผนการเล่นเอาไว้คอยทดลองปรับแก้ แต่สุดท้ายแฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด ร้อยทั้งร้อยก็น่าจะเดาได้ว่า รูเบน อโมริม จะใช้แผนการเล่นอะไรในการแก้เกม    

 

ปรับแผนตามคนที่มี

ในขณะที่ รูเบน อโมริม กำลังเครียดเรื่องการแก้ไขแผนการเล่น 3-4-2-1 รวมไปถึงกลยุทธ์ในการเข้าทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด หันไปดูที่ 2 กุนซืออย่าง ชาบี อลอนโซ่ กับ อันโตนิโอ คอนเต้ ตอนนี้พวกเขาไม่ได้ใช้แผนหลัง 3 บ่อยครั้งเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ตัวของ อันโตนิโอ คอนเต้ ช่วงที่สร้างในการคุมทีมกับ เซียน่า เพียงแค่ 1 ฤดูกาล ในซีซั่น 2010-11 แต่นายใหญ่ชาวอิตาเลียนกลับใช้แผนการเล่นมากถึง 6 แบบ ไม่ว่าจะเป็น 4-4-2, 3-5-2, 4-3-3, 4-3-1-2, 4-3-2-1 และ 4-5-1 เป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างความหลากหลายให้จับทางได้ยาก 

พอย้ายมาคุมทีม ยูเวนตุส ช่วงแรกเขาก็ใช้แผนหลัง 4 เป็นส่วนใหญ่สลับกับแผนหลัง 3 ในบางเกม แต่หลังคว้าแชมป์เซเรียอา คอนเต้ ก็เริ่มมั่นใจในศักยภาพตัวผู้เล่นที่มีเลยปรับมาใช้แผน 3-5-2 เป็นกลยุทธ์หลัก ซึ่ง คอนเต้ มีส่วนสำคัญในการตั้งต้นให้ "ม้าลาย" เล่นระบบหลัง 3 บ่อยครั้งมากขึ้น แถมยังเป็นผู้นำก่อกำเนิดสามประสาน Italian BBC อย่าง อันเดรีย บาร์ซาญี่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ และ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ ด้วย 

ทว่าทีมที่ คอนเต้ เข้ามาพลิกโฉมระหว่างฤดูกาลแล้วกลายเป็นที่ฮือฮา คือ สมัยที่เขาคุม "สิงห์บลู" เชลซี ในฤดูกาล 2016-17 เพราะตอนแรกเริ่มเขาใช้แผน 4-1-4-1 แล้วปรากฏว่าเริ่มจะไม่เข้าท่าโดน อาร์เซน่อล กดยับไปถึง 3 ประตู 

จากนั้น คอนเต้ ก็เริ่มมองถึงขุมกำลังทั้งหมดที่เชลซีมี ก่อนจะได้แผนอันแปลกแหวกแนวในพรีเมียร์ลีกอย่าง 3-4-3 กลายเป็นว่าเขาพา "สิงห์บลูส์" กดสูตรชนะรวด 13 นัดในลีกเข้าป้ายซิวแชมป์พรีเมียร์ลีกมาได้ตั้งแต่ปีแรกที่มาคุมทีม 

หลังออกจาก เชลซี ไม่ว่าคอนเต้จะย้ายไปคุมทีมใดก็ตาม เขามักจะมีแผน A B C หรืออาจมีถึง D E F อยู่ในชุดความคิด ซึ่งเขาจะดึงแผนขึ้นมาใช้ตามทรัพยากรบุคคลของแต่ละสโมสร แล้วพอใช้แผนให้เหมาะกับคน กลยุทธ์ที่เขาคิดก็ติดสูตรจนเป็นแชมป์ไปแล้วมากมาย 

ขณะที่ ชาบี อลอนโซ่ กุนซือมาดคุณชายสมัยที่เขาเริ่มคุม เรอัล โซเซียดาด ชุดเบ แผนการเล่นหลักของเขา ก็คือหลัง 4 มากกว่าจะเป็นหลัง 3 แต่พอเขาได้โอกาสไปรับงานคุม ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น อลอนโซ่ ก็เลือกติดตั้งแผน 3-4-3 ลงไปเล่นตั้งแต่เกมแรก 

เหตุผลง่าย ๆ คือ เลเวอร์คูเซ่น เป็นทีมที่เกมรับไม่แน่น บางเกมถึงขั้นเสียประตูเยอะ ชาบี อลอนโซ่ เลยปรับให้มาเล่นแผนหลัง 3 ซึ่งนักเตะหลายคนก็ฟอร์มดีขึ้นมาอย่างชัดเจน ยิ่งทีมได้เสริมผู้เล่นใหม่ให้เข้ากับแผน มันกลายเป็นการอัปเกรดอาวุธชุดใหม่ให้ดูน่ากลัวขึ้นเป็นกองจนพวกเขาไร้พ่ายยาวนานถึง 51 เกม คว้าแชมป์มาได้ 3 รายการภายในเวลาแค่ 2 ปี

ล่าสุด ฤดูกาล 2025-26 ชาบี อลอนโซ่ ที่เพิ่งย้ายมาคุม เรอัล มาดริด และอันโตนิโอ คอนเต้ ที่ได้รับการสานต่องานเดิมในการป้องกันแชมป์ลีกกับ นาโปลี 

2 กุนซือของทั้ง 2 ทีมเริ่มหันมาใช้แผนหลัง 4 กันมากขึ้น โดยมีเหตุผลมาจากการที่ขุมกำลังของทีมชุดปัจจุบันไม่เหมาะกับการเล่นแผนกองหลัง 3 คน ทั้งในแง่ของจำนวน วิธีการ และอาการบาดเจ็บ แถมพวกเขาทั้งคู่ก็มีแนวคิดในการให้ความสำคัญเรื่องอิทธิพลแดนกลางด้วย เพราะทีมคู่แข่งส่วนใหญ่มักใช้กองกลางประมาณ 3 คนเพื่อสร้างสามเหลี่ยมครองบอล หรือ Triangle Possession

ผลงานหลัง 4 ของทั้ง เรอัล มาดริด กับ นาโปลี ณ ตอนนี้เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม ทั้งสองทีมเกาะกลุ่มหัวตารางในลีกของประเทศตัวเองอย่างเหนียวแน่น และคว้าชัยในถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกได้แล้วเช่นกัน

การเล่นแผนหลัง 3 หรือหลัง 4 ไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นข้อบังคับในโลกของฟุตบอล โค้ชทุกคนมีแนวคิด มีวิธีการเป็นของตัวเอง ทว่าการมีแค่แผนหลักแบบที่ไม่มีแผนอื่นมารองรับ มันอาจเป็นทัศนคติที่ไม่ถูกต้องนัก ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของฟุตบอลแต่รวมไปถึงการใช้ชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงด้วย

ขืนยังมีแนวคิดที่ยึดมั่นถือมั่นผสมกับนิสัยที่ดื้อดึงแบบนี้ ก็มีโอกาสที่ รูเบน อโมริม เทรนเนอร์ชาวโปรตุเกสจะไปได้ไม่ยืดยาวกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 

ณ ตอนนี้ เส้นทางของฤดูกาล 2025-26 ยังเหลืออีกยาวไกล ถ้าอยากให้ผลลัพธ์เกิดการเปลี่ยนแปลง บางที รูเบน อโมริม อาจต้องยอมวางทิฐิตรงนี้ลงบ้าง แล้วลองศึกษากลยุทธ์อื่น ๆ เพิ่มเติมนำมาปรับใช้ให้เข้ากับทีม เพื่อรอดูผลลัพธ์ใหม่ ๆ แบบที่ไม่ใช่แค่การจัดแผนเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.transfermarkt.com/ruben-amorim/leistungsdatenDetail/trainer/65202/plus/0?saison_id=&verein_id=985&liga=&wettbewerb_id=&trainer_id=
https://www.transfermarkt.com/antonio-conte/leistungsdatenDetail/trainer/3517/plus/0?saison_id=&verein_id=6195&liga=&wettbewerb_id=&trainer_id=
https://www.transfermarkt.co.za/xabi-alonso/leistungsdatenDetail/trainer/63052/plus/0?saison_id=&verein_id=418&liga=&wettbewerb_id=&trainer_id=
https://www.fotmob.com/matches/manchester-city-vs-manchester-united/2wabz2#4813412:tab=lineup
https://breakingthelines.com/tactical-analysis/conte-reinvention-napoli/
https://www.bbc.com/sport/football/articles/cjw658eeyd2o

Author

พงศทร​ อริ​ย​ภู​ชัย

เด็กสิงห์บลู​ส์เมืองคอน​ คลั่งฟุตบอล​ ชอบมวยปล้ำ

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ