ลิเวอร์พูล ในยุคของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ถือว่าเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของโลก ณ ช่วงเวลาหนึ่งเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ทีมที่ว่ากันว่ายอดเยี่ยมไร้ที่ติ กลับได้แชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองแค่สมัยเดียวเท่านั้นในฤดูกาล 2019-20
จากนั้น พวกเขาเริ่มฤดูกาล 2020-21 ด้วยฐานะแชมป์เก่าและเต็มหนึ่งประจำซีซั่น ทว่าฤดูกาลดังกล่าวก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากเกม เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องเจอกับฤดูกาลที่วุ่นวายที่สุด ชนิดที่ว่าหมดสภาพแชมป์เก่าเลยทีเดียว
หงส์แดงยุคเรืองรอง
ลิเวอร์พูล จบฤดูกาล 2019-20 ด้วยฟอร์มที่ต้องใช้คำว่า "ไร้เทียมทาน" ได้อย่างสมภาคภูมิ แนวรับถูกซ่อมแซมอย่างสมบูรณ์แบบด้วย 2 นักเตะที่ทุบสถิติค่าตัวแพงของสโมสรอย่าง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ และ อลีสซง เบ็คเกอร์ กองกลางกับส่วนผสมที่สุดแสนจะลงตัวของ เจมส์ มิลเนอร์, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ขณะที่แนวรุกก็เป็นชุดที่อันตรายที่สุดในยุโรปอย่าง ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ โม ซาลาห์
ด้วยขุมกำลังขนาดนั้น ทำให้ คล็อปป์ พาทีมคว้าแชมป์แบบม้วนเดียวจบ ชนิดทิ้งห่างอันดับ 2 แบบไม่เห็นฝุ่นและไม่ต้องลุ้นกันให้เหนื่อย ปิดฉากการรอคอยแชมป์ลีกสูงสุด 30 ปี ของเหล่า เดอะ ค็อป ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในตอนนั้นมันผิดแผกไปจากปกติ เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 มาตรการต่าง ๆ ของทางรัฐไม่เอื้ออำนวยให้แฟนบอลหงส์แดง ทั้งในเมืองลิเวอร์พูล และทั่วโลกฉลองกันได้เต็มที่นัก เพราะถูกจำกัดคนดูในสนาม รวมถึงการรวมตัวในการแห่ฉลองแชมป์
คุณลองคิดดูว่า ถ้าครั้งแรกในรอบ 30 ปี เกิดขึ้นในช่วงที่ไม่มีโควิด แฟนหงส์แดงทั่วโลกจะหลั่งไหลไปร่วมฉลองแชมป์ถึงที่มากมายขนาดไหน ไม่แน่เราอาจจะได้เห็นการฉลองที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษเลยก็เป็นได้ ... ทั้งหมดนี้คือความน่าเสียดายเพียงอย่างเดียวของแชมป์ที่พวกเขารอคอย
อย่างไรก็ตาม ด้วยขุมกำลังชุดเดิมที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา รวมถึงการมีกุนซืออย่าง คล็อปป์ และเสริมทัพด้วยนักเตะที่มีคลาสในระดับโลกอย่าง ติอาโก้ อัลคันทาร่า มาจาก บาเยิร์น มิวนิค และ แนวรุกระดับตัวท็อปของพรีเมียร์ลีกอย่าง ดิโอโก้ โชต้า ทำให้หลายคนคิดว่า พวกเขามีโอกาสจะป้องกันแชมป์ได้ ยืนยันได้จากบ่อนพนันถูกกฎหมายทั่วประเทศที่ยกให้พวกเขาเป็นเต็ง 1
เพียงแต่ว่าฟุตบอลมันมีอะไรหลายอย่างมาเกี่ยวข้อง และการแข่งขันไม่ได้วัดกันบนหน้ากระดาษ เมื่อฤดูกาล 2020-21 เริ่มขึ้น หงส์แดง ก็เริ่มถูกเปิดแผลที่พวกเขาซ่อนไว้จากฤดูกาลที่ไร้เทียมทานให้เห็น และเริ่มซีซั่นได้ไม่นานนัก แผลใหญ่ที่สุดก็เผยตัวออกมา
คืนนั้นที่ กูดิสัน พาร์ค
ลิเวอร์พูล เริ่มต้นซีซั่นได้สมราคาเต็งแชมป์ พวกเขาอาจจะอึดอัดหน่อยในเกมเปิดสนามที่ชนะน้องใหม่อย่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด ไป 4-3 แต่ 2 เกมต่อมาก็ไล่อัดทีมหัวแถวอย่าง เชลซี และ อาร์เซน่อล ได้อย่างไม่ยากเย็น 3 นัดกับเกมยาก ๆ แต่ 9 แต้มเต็มแบบนี้ต้องบอกว่าไม่มีใครสามารถคาดหวังอะไรมากกว่านี้ได้อีก
ทว่ากลิ่นแปลก ๆ ก็เริ่มขึ้นในเกมนัดที่ 4 ของฤดูกาล ลิเวอร์พูล ออกไปเยือน วิลล่า พาร์ค ของ แอสตัน วิลล่า และในเกมนั้นก็เป็นเกมที่เหลือเชื่อ เพราะแชมป์เก่าอย่าง หงส์แดง โดน วิลล่า สอยไปถึง 7-2 นี่คือสกอร์ที่เหลือเชื่อ เพราะไม่มีใครคิดว่าทีมอย่าง ลิเวอร์พูล ในยุคนั้นจะโดนอัดถึง 7 ลูกในเกมเดียวได้
เกมนั้นได้เปิดแผลของเกมรับของพวกเขาให้ทีมอื่น ๆ ได้เห็น วิลล่า ใช้ฟุตบอลเข้าเพรสซิ่งด้วยความรวดเร็วและหนักตั้งแต่กลางสนาม และเมื่อตัดได้ จะใช้บอลไดเร็กต์ไปข้างหน้าทันทีด้วยจังหวะที่น้อยที่สุด และการเล่นสวนกลับแบบนั้น มันเป็นอะไรที่แทงเข้าหัวใจของ ลิเวอร์พูล อย่างจัง ไม่ใช่รูปแบบการเข้าทำเท่านั้น นักเตะวิลล่ายังอยู่ในร่างทองพร้อมกันหมด จ่ายยังไงก็หลุด เลี้ยงยังไงก็ผ่าน ยิงยังไงก็เข้า จนที่สุดแล้วก็กลายเป็นสกอร์ที่เหลือเชื่อตามที่กล่าวไป
อย่างไรก็ตาม การแพ้แบบนี้มันอาจจะเป็นอุบัติเหตุลูกหนัง แม้สภาพจะยับเยิน แต่เมื่อมองไปที่ผลลัพธ์นั้นก็คือ 0 แต้ม ไม่ได้เสียหายอะไรไปมากกว่านั้น ด้วยขุมกำลังที่มี ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ว่า พวกเขามักจะฟื้นคืนจากความพ่ายแพ้ได้อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเกมที่ 5 ที่ กูดิสัน พาร์ค บ้านของ เอฟเวอร์ตัน นี่แหละ ที่เปลี่ยนซีซั่นของพวกเขาแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
เกมนั้น ซาดิโอ มาเน่ ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำในนาทีที่ 3 จากการเปิดของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แต่ระเบิดก็ลงหลังจากนั้น เมื่อ ฟาน ไดค์ ต้องเดินกะเผลกออกจากสนาม จากการเข้าปะทะกับ จอร์แดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตู เอฟเวอร์ตัน และเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เมื่อไร้แม่ทัพในแผงหลัง ความกลัวของคู่แข่งที่มีต่อ ลิเวอร์พูล ก็ลดลงทันที
เอฟเวอร์ตัน กลับมาเล่นแบบไม่กลัวเมื่อ ฟาน ไดค์ โดนเปลี่ยนตัวออกไป พวกเขาได้ประตูจาก ไมเคิล คีน ในนาทีที่ 19 และนับเป็นประตูแรกในดาร์บี้แมตช์ ณ กูดิสัน พาร์ค ที่ เอฟเวอร์ตัน ทำได้ในรอบ 5 ซีซั่นหลังเลยทีเดียว
ลิเวอร์พูล พลิกแซงอีกครั้งจากประตูของ โม ซาลาห์ ในนาทีที่ 72 แต่เมื่อเวลาเหลืออีกแค่ 9 นาที โดมินิก คัลเวิร์ต เลวิน ก็โหม่งประตูตีเสมอ 2-2 แบบสุดสะใจ
จบเกมนั้น ลิเวอร์พูล อยู่ในอันดับ 2 ของตาราง ถือว่าเป็นอันดับที่ไม่แย่เกินไปนักสำหรับการออกสตาร์ท แต่ข่าวร้ายระดับพลิกสถานการณ์ก็คือ หลังเกมจบไม่นาน มีการเปิดเผยว่า ฟาน ไดค์ เอ็นไขว้หน้าขาด และต้องพักรักษาตัวยาวจนจบซีซั่น ... นั่นแหละจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด
"พิคฟอร์ด เข้าปะทะ ฟาน ไดค์ แบบคนที่โง่เขลาสิ้นดี" BBC พาดหัวข่าวแบบไม่มีกั๊ก และนักเตะ ลิเวอร์พูล หลายคน รวมถึงแฟนบอลก็ออกมาประนามการกระทำของ พิคฟอร์ด ที่ฝั่งหงส์แดงเชื่อว่าเป็นการตั้งใจ "เล่นคน" มากกว่า
"ไม่มีผู้เล่นในทีมคนไหนของเรานอนหลับเลยจากเหตุที่เกิดขึ้นในคืนวันเสาร์ ในความคิดของผมคือเขาเล่นหนักเกินไป ผมรู้ว่าทุกคนอยากจะชนะในเกมดาร์บี้ แต่นี่มันเกินเลยคำว่าเข้าสกัดไปแล้ว จังหวะที่ ริชาร์ลิซอน ไล่เตะ ติอาโก้ ก็เช่นกัน แย่มาก" ไวจ์นัลดุม กล่าวหลังเกม
ขณะที่คำพูดของ คล็อปป์ หลังรู้อาการบาดเจ็บของ ฟาน ไดค์ ก็แสดงออกถึงความวิตกไม่ต่างกัน นี่คือสิ่งที่เขาและทีมไม่ได้เตรียมตัวว่าจะต้องเจอ และเรื่องมันแย่กว่าก็คือ นอกจาก ฟาน ไดค์ จะพักยาวแล้ว โจแอล มาติป และ โจ โกเมซ คู่เซ็นเตอร์อาชีพ ก็เจ็บไม่พร้อมลงเล่นเช่นกัน
"มันคือการปะทะที่ผมยากจะยอมรับ ... ฟาน ไดค์ คือคนของเรา เป็นนักเตะระดับโลก เราะต้องคิดถึงเขาแน่นอน 100% ผมเข้าใจว่าอาการบาดเจ็บเกิดขึ้นได้ในโลกฟุตบอลเสมอ แต่แบบนี้มันคือการปะทะที่เกินกว่าเหตุ" คล็อปป์ กล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก
"สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความอ่อนไหวให้เราจริง ๆ คำถามหลังจากนี้คือ เราจะทำอะไรกับเวลาของตลาดซื้อขายนักเตะที่เหลือ ถึงเวลาที่เราจะต้องพยายามแก้ไขเรื่องนี้ด้วยกันแล้ว"
แม้ พิคฟอร์ด จะไม่ได้ตั้งใจ และได้ขอโทษไปยัง ฟาน ไดค์ เป็นการส่วนตัว แถม ฟาน ไดค์ ก็เข้าใจเรื่องนี้ แต่การปะทะดังกล่าวก็ส่งผลต่อจิตใจแฟนหงส์แดงเป็นอย่างมาก ยืนยันได้จากหลังเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น พิคฟอร์ด ก็ถือเป็นนักเตะที่ถูกเหล่า เดอะ ค็อป เกลียดมากที่สุดคนหนึ่งในรอบหลาย ๆ ปีเลยทีเดียว
ส่วนเรื่องของการเสริมทัพในตลาดนักเตะฤดูหนาวเดือนมกราคม 2021 นั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ลิเวอร์พูล ที่กำลังต้องรัดเข็มขัดเรื่องการเงินจากเหตุการณ์การระบาดของโควิด ไม่สามารถคว้านักเตะแนวรับชั้นดีได้ ... พวกเขาทำได้เพียงแค่คว้า เบน เดวี่ส์ จาก เปรสตัน นอร์ธเอนด์ มาในราคา 5 แสนปอนด์ กับยืมตัว โอซาน คาบัก มาจาก ชาลเก้ 04 มันจึงทำให้หายนะที่ไม่มี ฟาน ไดค์ ถูกจับคูณ 2 เข้าไปอีกเมื่อพวกเขาปิดตลาดซื้อขายเช่นนี้
ฤดูกาลที่ไร้หางเสือ
ก่อนหน้านี้มักจะมีคำถามว่า ระหว่างขาด ฟาน ไดค์ กับขาด ซาลาห์ ใครจะทำให้ ลิเวอร์พูล เสียหายกว่ากัน ... ซึ่งมันค่อนข้างชัดในวันที่ ฟาน ไดค์ ต้องพักยาว เพราะภาพความโกลาหลมากมายเกิดขึ้น ชนิดที่ว่าแชมป์เก่าหมดสภาพ ฟอร์มพลิกเป็นคนละทีมเลยก็ว่าได้
แม้ในช่วงแรกที่ไร้ ฟาน ไดค์ คล็อปป์ จะประคองทีมได้ อย่างน้อยหลังจากเกมกับ เอฟเวอร์ตัน พวกเขาก็ยังไม่แพ้ใครในลีกติดต่อกันถึง 11 เกม แต่เมื่อเวลาเริ่มล่วงเลยไป ปัญหามันไม่ได้อยู่แค่ที่การขาด ฟาน ไดค์ นักเตะ ลิเวอร์พูล ที่ลงกรำศึกหนักมานาน เริ่มทยอยบาดเจ็บกันไปทีละคน ทีละคน ทั้งตัวหลักบ้างไม่หลักบ้าง
แต่ที่แน่ ๆ คือเกมรับมีปัญหาจริง ๆ ลิเวอร์พูล เปลี่ยนคู่เซ็นเตอร์บ่อยมากจนไม่สามารถจับคู่ที่ลงตัวได้เลย นักเตะอย่าง มาติป, โกเมซ, เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่, แนท ฟิลลิปส์, เดวี่ส์, รีส์ วิลเลี่ยมส์ และ คาบัก ลงเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กแบบสลับกันไป ซึ่งแต่ละคนก็มีความผิดพลาดแบบจับต้องได้แทบทั้งสิ้น
ถ้านักเตะเหล่านี้ได้ยืนกับ ฟาน ไดค์ เรื่องมันอาจจะไม่เป็นแบบนี้ เพราะ ฟาน ไดค์ จะคอยสั่งการเป็นแม่ทัพอยู่ตลอด แต่เมื่อต้องมาจับคู่กันเอง ไม่มีใครคุ้นเคยกับใคร แถมหลายคนยังไม่ใช่ตำแหน่งถนัด ความหายนะก็เกิดขึ้นในแทบทุกสัปดาห์
หลังเข้าเดือนมกราคม ลิเวอร์พูล แพ้เป็นว่าเล่น (ใช้คำนี้ได้จริงๆ) ไม่ว่าจะเจอทีมเล็ก ทีมกลาง ทีมใหญ่ พวกเขามีโอกาสแพ้ได้ทั้งหมด อาทิ แพ้ เซาธ์แฮมป์ตัน, เบิร์นลี่ย์, ไบรท์ตัน, เลสเตอร์ ซิตี้ และคู่ปรับอย่าง เอฟเวอร์ตัน โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พวกเขาแพ้ถึง 4 เกมลีกติดต่อกันเป็นครั้งแรกในยุคของ คล็อปป์ จนอันดับในตารางหลุดไปถึงอันดับที่ 8 เลยด้วยซ้ำ ส่วนในฟุตบอลถ้วยก็ชิงตกรอบเร็วทุกรายการ
ถึงตอนนั้นใคร ๆ ก็คิดว่าพวกเขาไม่น่ากลับมาได้แล้ว ทว่า ลิเวอร์พูล ก็ยังคงเป็น ลิเวอร์พูล ในช่วงโค้งสุดท้าย แม้พวกเขาจะหมดลุ้นแชมป์ลีกไปแล้ว แต่คล็อปป์ ก็ปลุกสปิริตนักเตะชุด "ตามมีตามเกิด" ได้อย่างเหลือเชื่อ โดยนับตั้งแต่เกมที่ 29 ถึงเกมที่ 38 ของพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครเลย โดยชนะไปถึง 8 เกม และเสมอแค่ 2 เกมเท่านั้น
หากใครจำบรรยากาศในช่วงโค้งสุดท้ายได้ คุณจะเห็น ลิเวอร์พูล ชุดที่เปลี่ยนแปลงตัวจริงแทบทุกเกม แต่กลับเล่นได้แบบมีความเป็นนักสู้สุด ๆ มีหลายเกมที่พวกเขาเปลี่ยนผลการแข่งขันจากจะแพ้เป็นเสมอ จากเสมอเป็นชนะ หรือบางครั้งก็พลิกแซงจากตามหลังกลายเป็นชนะขาดลอยเลยก็มี
คล็อปป์ อธิบายถึงฤดูกาลดังกล่าวว่า ทุกคนไม่เคยถอดใจแม้สถานการณ์จะย่ำแย่จนแทบไม่เหลือทรงเดิม แต่ด้วยการปรับวิธีการเล่นให้มีจังหวะที่ช้าลงบ้างในบางครั้ง การให้ผู้เล่นทุกคนใส่ใจกับเกมรับมากเป็นพิเศษ และการให้ความสำคัญกับลูกตั้งเตะจากทุกระยะ พวกเขาเริ่มค่อย ๆ เหนียวแน่นขึ้น และเหนือสิ่งอื่นใดที่สำคัญที่สุดคือ นักเตะทุกคนยังคงเชื่อว่าทีมจะกลับมาคว้าท็อปโฟร์ได้
ซึ่งภาพที่สะท้อนออกมาก็เป็นแบบนั้น นักเตะที่โดนแฟนบอลด่าว่าแย่อย่าง แนท ฟิลลิปส์ กลายเป็นคนที่คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนเมษายน ด้วยการยกระดับที่ดีขึ้นมากในการจับคู่กับ รีส์ วิลเลี่ยมส์ ดาวรุ่งของทีม ที่สุดแล้วทั้งคู่ก็ซื้อใจแฟนหงส์แดงได้สำเร็จ จนมีแฟนบอลต้องทำป้ายขอบคุณพวกเขาในวันสุดท้ายของซีซั่น
และที่ลืมไม่ได้ก็คือความเป็นนักสู้ของทุกคน ที่แม้แต่ อลีสซง ก็ยังขึ้นมาโหม่งประตูชัยในเกมกับ เวสต์บรอมวิช ในช่วงท้ายเกม 2-1 จนที่สุดแล้ว หลังจากที่หลุดท็อป 4 มาตั้งแต่สัปดาห์ที่ 15 ลิเวอร์พูล กลับมาจบในอันดับที่ 3 ของลีกได้อย่างเหลือเชื่อในซีซั่นนั้น
แม้ฤดูกาลนั้นจะจบลงด้วยความสุขและความสำเร็จในแบบที่น่าพอใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดปี แต่มองอีกมุม มันก็เป็นปีที่น่าเสียดายสุด ๆ เพราะหากตอนนั้นไม่มีการระบาดของโควิด สโมสรไม่ต้องมีนโยบายรัดเข็มขัด ทีมอาจจะคว้าตัวนักเตะดี ๆ มาร่วมทัพมากกว่าแค่ โชต้า และ ติอาโก้ โดยเฉพาะตัวแทนของ ฟาน ไดค์ จะต้องเป็นนักเตะในเกรดที่ดีกว่า เดวี่ส์ แน่ ๆ
จากที่เป็นตัวเต็งป้องกันแชมป์ ท้ายที่สุดพวกเขาก็จบอันดับที่ 3 ... จากที่ควรจะต่อยอดความสำเร็จและความยิ่งใหญ่ได้ กลายเป็นช่วงเวลาที่ทีมหยุดชะงักไป และท้ายที่สุดหงส์แดงในยุคของ คล็อปป์ ก็ไม่เคยคว้าแชมป์ลีกได้อีกเลย จนกระทั่งวันที่เขาวางมือ
นี่คือเรื่องที่น่าเสียดายที่สุด แต่อย่างน้อยเราก็ได้เห็นฝีมือของ คล็อปป์ ที่บริหารจัดการนักเตะในช่วงเวลาที่วิกฤติจนหาทางออกที่ดีให้กับทีมได้ และยังรักษามาตรฐานทีมเอาไว้ให้สูงอยู่เสมอ
เหนือสิ่งอื่นใด ต้องซูฮกหัวใจแข้งหงส์แดงทุกคน ... แม้จะเสียตัวหลัก แต่ตัวตนและจิตวิญญาณนักสู้ของพวกเขายังคงทรงพลังเสมอ และเชื้อแห่งนักสู้นี้ยังคงถูกส่งต่อมาจนถึงทีมชุดปัจจุบันอย่างไม่ต้องสงสัย
แหล่งอ้างอิง
https://www.bbc.com/sport/football/54623158
https://www.premierleague.com/en/match/2128328?tab=recap
https://www.skysports.com/football/news/11671/12111126/virgil-van-dijk-jordan-pickford-really-sad-over-extent-of-liverpool-defenders-injury-says-carlo-ancelotti