Feature

นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ : "ไข่มุก" จากครอบครัวประมงที่ราชวงศ์กาตาร์ส่งมาครองโลกฟุตบอล | Main Stand

"เกิดในตระกูลใหญ่ก็ประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งตัว" ... คำกล่าวนี้อาจจะใช้ไม่ได้กับชายผู้กลายเป็นบุคคลทรงอิทธิพลของโลกฟุตบอลในเวลานี้ นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ ประธานสโมสรฟุตบอล ปารีส แซงต์ แชร์กแม็ง

 

นี่เป็นเรื่องราวคล้าย ๆ กับบทหนังฮอลลีวู้ดอย่าง Slumdog Millionaire เพราะเขาเติบโตจากชนชั้นกรรมกร แต่กลับกลายเป็น "กุนซือ" แห่งการลงทุนที่ราชวงศ์ในกาตาร์ยังต้องพึ่งพามันสมองของเขา 

จากนับหนึ่งจนถึงจุดที่เป็นยอดผู้ทรงอิทธิพล ... ติดตามเรื่องราวทั้งหมดกับ Main Stand 

 

ไข่มุก ของครอบครัวชาวประมง

กาตาร์ เป็นประเทศขนาดเล็กที่ขาดแคลนชนชั้นแรงงาน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องจ้างแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศอื่น ๆ ในเอเชียเพื่อเข้ามาประกอบอาชีพที่ชาวกาตาร์ไม่อยากจะทำในหลายสายงาน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นงานใช้แรงทั้งสิ้น 

ครอบครัวของ นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ ไม่ใช่แม้กระทั่งชาวกาตาร์ด้วยซ้ำ ต้นตระกูลของเขามีเชื้อสายโอมาน ปู่ของเขาถูกจ้างมาทำงานประมงที่ประเทศกาตาร์ ก่อนจะเริ่มตั้งหลักสร้างครอบครัวได้จากอาชีพชาวประมงไข่มุก และในปี 1976 "นาสเซอร์" ก็ลืมตาดูโลกในฐานะประชากรประเทศกาตาร์ 

การทำมาหากินของครอบครัวในช่วงที่เขายังเป็นเด็กไม่ได้แตกต่างออกไปจากรุ่นปู่หรือรุ่นพ่อ เขาออกทะเลตั้งแต่อายุ 11 ปี และเคยมีบางแหล่งข่าวบอกว่า เขาและพ่อเคยประสบอุบัติเหตุติดอยู่ในกลางทะเลหลายวันจนเกือบเสียชีวิต แต่ก็ได้รับการช่วยเหลือจากเรือที่แล่นผ่านบริเวณนั้นทันเวลา ... นั่นคือตัวอย่างที่ยืนยันได้ว่าบุคคลที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดในธุรกิจโลกฟุตบอลในเวลานี้ ถีบตัวเองได้แรงขนาดไหนจึงหนีพ้นความจนที่มาพร้อมกับชาติกำเนิดได้ 

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือครอบครัวของเขาต้องย้ายบ้านมาอยู่ที่หน้าสนามเทนนิส ซึ่ง ณ เวลานั้นเป็นสนามเดียวในกรุงโดฮา งานของเขาจึงสบายขึ้น จากการเป็นชาวประมง เปลี่ยนมาเป็นบอลบอย คอยเก็บลูกเทนนิสที่นั่น 

เด็กชาย นาสเซอร์ ทำงานไปพร้อม ๆ กับการดูคนอื่นเล่น เขาดูพร้อมกับทำการครูพักลักจำ และเมื่อได้โอกาสสนามไปเล่นเป็นครั้งแรก เขาก็ตกหลุมรักกีฬาชนิดนี้ตั้งแต่วันนั้น และดูเหมือนว่าเขาจะมีแวว เพราะ นาสเซอร์ ถูกเจ้าของสนามจ้างให้เป็นคู่ซ้อม ของเด็ก ๆ ในตระกูลที่ร่ำรวยที่มาเล่นเทนนิส เขาทำแบบนั้นอยู่ 3 ปี จนกระทั่งเจอคอนเน็คชั่นสำคัญของชีวิต 

ตอนอายุ 14 ปี คู่ฝึกซ้อมของ นาสเซอร์ คือเด็กชายวัยไล่เลี่ยกันชื่อ ทามิม บิน ฮามัด อิล-ธานี ด้วยความที่พวกเขายังเด็ก เรื่องในหัวสมองไม่มีเรื่องของชนชั้น ฐานะ หรือความเหมาะสมใด ๆ ทั้งคู่สนิทกันและคบกันเป็นเพื่อน จนกระทั่ง นาสเซอร์ มารู้ภายหลังว่าคู่ซ้อมของเขาคือ พระราชโอรสองค์ที่ 4 ของ เอมีร์ ฮามัด บิน คาลิฟา อัล-ธานี ซึ่งเป็นเจ้าผู้ปกครองแห่งกาตาร์  

3 ปีกับชีวิตในสนามเทนนิส ทำให้ นาสเซอร์ ได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตา ได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ได้เห็นโลกกว้างผ่านคำบอกเล่าของคนอื่น ๆ มันทำให้เขากล้าจินตนาการถึงฝันของตัวเองในแบบที่แตกต่างออกไป การใช้แรงงานกับการงมหอยไข่มุกถูกลบไปจนหมด ณ นาทีนี้ การเล่นเทนนิสเป็นอาชีพเท่านั้น คือเส้นทางที่เขาลิขิตให้ตัวเอง 

ด้วยความที่เขาเป็นคนทันคน ทันโลก และมองอะไรที่ลึกกว่าแค่เปลือกนอก ทำให้ ทามิม บิน ฮามัด อิล-ธานี ที่คบเขาเป็นเพื่อน คอยปรึกษาและช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด เส้นทางการเป็นนักเทนนิสอาชีพของทั้งคู่ก็เริ่มพร้อม ๆ กัน เพียงแต่ด้วยแรงถีบของชนชั้นล่างนั้นมีพลังเสมอ ในขณะที่ ทามิม บิน ฮามัด ต้องคอยใช้เวลาในการเรียนรู้เพื่อสืบทอดบัลลังก์ ทำให้เขาถอยห่างจากเทนนิสไปเรื่อย ๆ แต่ นาสเซอร์ นั้นแตกต่าง นี่คือเป้าเดียวที่เขามี เขาจึงพยายามสุดความสามารถ และในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ถึงความสำเร็จ

เขากลายเป็นนักกีฬาเทนนิสอาชีพ และใช้เวลาแข่งขันรวมถึงหาเงินกับอาชีพนี้อยู่เกือบ 10 ปี คว้ารางวัลในระดับประเทศมาได้ ส่วนในระดับโลกนั้นเขาไปได้สูงสุดที่อันดับ 995 ของโลก และกลายเป็นเทนนิสที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของ กาตาร์ หลังผ่านรอบคัดเลือกลงแข่งขันในรายการ เดวิส คัพ 

 

เกมมันสมอง ที่มีแบ็กระดับประเทศ

แม้จะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ นาสเซอร์ ต่างรู้ดี ว่าเขาไม่ได้มีพรสวรรค์ทางด้านนี้เท่าไรนัก ... ถ้าเขาเก่งจริงเขาต้องไปได้ไกลกว่านั้น 

อย่างไรเสีย การเดินบนเส้นทางนักเทนนิส ก็ให้อะไรบางอย่างที่เขาไม่ทันได้รู้ตัว สิ่งนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า "โลกทัศน์" หรือการมองโลกด้วยแง่มุมที่กว้างขึ้น การเดินทางไปแข่งขันต่างประเทศ เปิดโลกให้ได้เห็นมาตรฐานการจัดการกีฬาระดับสากล

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ เทนนิสทำให้เขาได้รู้จักผู้คน ได้สร้างเครือข่าย และได้รับการยอมรับในฐานะนักกีฬาที่มีวินัยและทุ่มเท แม้จะไม่ได้เป็นแชมป์ แต่เขาก็เก็บเกี่ยวบทเรียนมากมายจากสนามแข่งขัน จากแนวคิดนี้ก็เปลี่ยนทิศทางชีวิตใหม่ทันที เขานำเงินเก็บทั้งหมดที่มีไปลงเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ที่มหาวิทยาลัยกาตาร์ และเมื่อเขาได้รับปริญญา เจ้าชายทามิม สหายเก่าก็ติดต่อเขามาอีกครั้ง 

โดยครั้งนี้เป็นการเชิญชวนให้เขาเริ่มทำงานในบริษัทการแห่งประเทศกาตาร์หรือ QIA (Qatar Investment Authorities) ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดยราชวงศ์ เพื่อกระจายการลงทุนนอกเหนือจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ ที่นี่แหละที่ทำให้ทุกคนรู้ว่า นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ มีพรสวรรค์ที่แท้จริงในโลกแห่งธุรกิจ

ความหลักแหลมในการคิดวิเคราะห์ รวมถึงการเป็นคนกล้าได้กล้าเสียของ นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ นำมาซึ่งความแตกต่างในองค์กรแห่งนี้ แนวคิดของเขาเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นทุนให้กับ QIA ได้อย่างมากมายมหาศาล แม้เขาจะเพิ่งเข้ามาทำงานได้เพียง 2 ปีเท่านั้น ตำแหน่งต่าง ๆ ของเขาก็เพิ่มขึ้นจากการได้รับความไว้วางใจจากเจ้าชายทามิม

จะบอกว่าเป็นวาสนาของ นาสเซอร์ ก็ว่าได้ เพราะหลังจากนั้นไม่นานนัก เจ้าชายทามิม ก็กลายเป็นรัชทายาทหมายเลข 1 ซึ่งหมายความว่าในอนาคตอันใกล้เขาจะได้เป็นเจ้าผู้ปกครองแห่งกาตาร์ ซึ่งจุดนี้เอง ด้วยความไว้ใจที่พระองค์มีต่อ นาสเซอร์ ตำแหน่งใหญ่ ๆ สำคัญ ๆ ในเชิงธุรกิจ ก็ถูกยกให้ นาสเซอร์ เป็นคนจดการแทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นมาเป็น CEO ของ Al Jazeera สำนักข่าวระหว่างประเทศแห่งแรกของภูมิภาคตะวันออกกลาง และเข้าสู่หนึ่งธุรกิจที่ทำให้เขาโด่งดังที่สุดนั่นคือการเป็นผู้บริหาร beIN Media Group ที่ถือเป็นบริษัทด้านสื่อกีฬาระดับโลกในเวลานี้ 

เมื่อมีอำนาจมากมายในองค์กรต่าง ๆ ของประเทศ อีกทั้ง เจ้าชายทามิม ก็กรุยทางสู่การเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของกาตาร์ (ก่อนได้รับการสถาปนาเป็น เอมีร์ เจ้าผู้ปกครองกาตาร์ในปี 2013) ทำให้ นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ กล้าฝันใหญ่มากยิ่งขึ้น ปี 2010 เขาเสนอโปรเจ็กต์ "ซื้อทีมฟุตบอล" เพราะมองเห็นว่าตลาดฟุตบอลกำลังโตขึ้นเรื่อย ๆ  มันไม่ใช่แค่กีฬาอีกแล้ว แต่มันยังสร้างอาณาจักรที่สามารถทำเงินได้ทั้งในและนอกสนาม อีกทั้งยังเป็นการโปรโมตองค์กรผ่านการแสดงฝีมือบริหารทีมได้อีก 

มีสโมสรมากมายที่ราชวงศ์กาตาร์อยากจะลงทุน แต่สุดท้ายด้วยปัญหาอะไรหลาย ๆ อย่าง พวกเขากระโดดลงมายัง ลีกเอิง ประเทศฝรั่งเศส ที่ในภาษาธุรกิจเรียกว่า "บลูโอเชี่ยน" เปรียบได้กับตลาดที่นักลงทุนมีน้อย กลุ่มทุนต่างชาติมาซื้อสโมสรในฝรั่งเศสน้อยมาก หากเทียบกับทีมในพรีเมียร์ลีก หรือ กัลโช่ เซเรียอา ซึ่ง อัล เคไลฟี่ จิ้มไปที่ ปารีส แซงต์ แชร์กแม็ง ทีมจากเมืองหลวงที่มีพร้อมทั้ง สนาม แฟนบอล และที่ตั้งที่เหมาะสม ซึ่งทั้งหมดนี้สำคัญในการต่อยอดเชิงธุรกิจทั้งสิ้น สุดท้ายดีลซื้อ เปแอสเช ก็สำเร็จภายในปี 2011 โดยที่ นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ ขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารสโมสรด้วยตัวเอง 

แน่นอนว่าแรกเริ่มมันทำให้ทุกคนแปลกใจ "แขกอาหรับ" ที่ลงมาทำเรื่องนี้เองโดยไม่จ้างผู้เชี่ยวชาญจะไปรอดหรือไม่ ? เนื่องจาก นาสเซอร์ ไม่มีความรู้เรื่องฟุตบอลเลย และไม่เคยทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับวงการฟุตบอลมาก่อน มันทำให้หลายคนสงสัยว่านี่อาจจะเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า ... ทว่า นาสเซอร์ ประกาศในวันเข้ารับตำแหน่งว่า 

"ฟุตบอลยุคนี้คือเกมของธุรกิจ ผมอยากสร้างแบรนด์ระดับโลก ... เราต้องการสร้างสโมสรฟุตบอลที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีที่สุดในโลกและมีฐานแฟนบอลทั่วโลก ทั้งหมดนี้จะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อเรากลายเป็นสโมสรที่ดีที่สุดในโลก" 

แน่นอนว่าเมื่อประโยคนี้ออกมาเมื่อ 14 ปีก่อน คนส่วนใหญ่คงคิดว่านี่เป็นดีลขายฝัน แต่อย่างที่เรารู้กันในตอนนี้ก็คือ นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ พา เปแอสเช เข้าใกล้เป้าหมายเมื่อ 14 ปีก่อนได้แล้ว 

 

ปากไม่ต้อง ... เงิน + สมอง สิสำคัญ

การที่คนภายนอกบอกว่า นาสเซอร์ เป็นพวกไม่รู้จักหรือเชี่ยวชาญด้านฟุตบอล เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะเรื่องนี้แม้แต่เขาเองก็บอกแบบนั้น ... แต่ใช่ว่าการไม่รู้จะทำไม่ได้ เมื่อไม่รู้ ก็ต้องใช้วิธีที่แตกต่างออกไป 

นาสเซอร์ไม่เคยอ้างว่าตัวเองเก่งเรื่องแท็กติกหรือการจัดทีม เขารู้จุดอ่อนของตัวเองดี แทนที่จะพยายาม "สั่งการแทนโค้ช" เขาเลือกที่จะวางระบบที่ดึง "คนเก่งที่สุด" ในแต่ละด้านเข้ามาทำงาน ไม่ว่าจะเป็นโค้ชระดับโลก หรือแม้กระทั่งทีมงานด้านต่าง ๆ เช่น ผู้อำนวยการฟุตบอลที่มีเครือข่ายกว้างที่จะมาทำหน้าที่จัดการเรื่องในสนามแทนเขา ... นี่คือการจัดการกับจุดอ่อนของตัวเองในแบบง่าย ๆ แต่รายละเอียดนั้นลึกและซับซ้อนกว่านี้แน่นอน 

จุดอ่อนไม่ต้องยุ่งมาก แต่จุดแข็งนี่แหละที่เขาไม่ยอมใคร จุดแข็งของ นาสเซอร์ และ สโมสร เปแอสเช ของเขาก็คือความเชื่อมโยงกับ QSI (Qatar Sports Investments) ภาคลงทุนในวงการกีฬา ที่อยู่ในเครือ QIA และราชวงศ์กาตาร์ ในขณะที่หลายคนตลกที่เห็น เปแอสเช จ่ายเงินแบบยับ ๆ กับนักเตะหลายคน บางคนดี บางคนแย่ นาสเซอร์ อธิบายว่าเขาไม่ได้มองแค่เรื่องแพงไม่แพง ซื้อมาแล้วเก่งหรือไม่เก่งเท่านั้น แต่การลงทุนกับนักเตะระดับแถวหน้า คือเป็นการสร้างแบรนด์ PSG ให้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลก ทำให้คนจดจำชื่อทีม ๆ นี้ได้ภายในเวลาไม่กี่ปี ซึ่งมันก็เป็นจริงเช่นนั้น 

ในขณะที่เกมในสนามเดินหน้าไปตามแผนงานที่วางไว้ สโมสร เปแอสเช ก็จะทำหน้าที่เป็น "หน้าต่างของกาตาร์สู่โลก" เพราะการลงทุนกับทีมนี้ไม่ใช่เพื่อกำไรระยะสั้น แต่เป็นการลงทุนระยะยาวทางภาพลักษณ์ ซึ่งทุกอย่างก็สำเร็จไปได้ด้วยดี เพราะความสำเร็จของ PSG ในยุโรปคือการทำให้โลกจับตามองกาตาร์มากขึ้น โดยเฉพาะช่วงก่อนฟุตบอลโลก 2022 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ หรือจนกระทั่งการแข่งขันจบลง 

และคุณเองก็ต้องไม่ลืมว่า นอกจากจะเป็นประธานของเปแอสเชแล้ว นาสเซอร์ ยังเป็นประธานของ beIN Media Group เครือข่ายโทรทัศน์ ถ่ายทอดสด ที่นับวันก็เติบโตเป็นยักษ์ใหญ่ระดับโลก สิ่งนี้ทำให้เขาเข้าใจวงจร "ฟุตบอล-สื่อ-การตลาด" ดีกว่าคนทั่วไป และสามารถต่อยอดให้ PSG เป็นคอนเทนต์ที่ขายได้ในทุกตลาด

และแน่นอนว่าเรื่องภาพลักษณ์ส่วนตัวของเขาก็ยิ่งดูใหญ่ขึ้นไปอีก เมื่อเขาได้นั่งเก้าอี้ประธานสมาคมสโมสรยุโรป (ECA) และเป็นคณะกรรมการของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า สิ่งนี้หมายความว่า เขาไม่ได้แค่เป็นเจ้าของสโมสร แต่ยังมีอิทธิพลต่อ "กติกาและทิศทางของฟุตบอลยุโรป" เรียกได้ว่าจากตำแหน่งนี้ภาพลักษณ์ของเขาได้เปลี่ยนไป จากตัวตลกที่หลายคนมองว่าเอาเงินมาทิ้งในวงการฟุตบอล กลายเป็นภาพลักษณ์ใหม่ นั่นคือการเป็น "นักการเมืองฟุตบอล" ที่ทำให้เขามีอิทธิพลในวงการนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ใช่แค่ตัวเองเท่านั้นที่เขาเปลี่ยนภาพลักษณ์ได้ สโมสร เปแอสเช ในยุคของเขาก็เช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องในสนาม ที่ ณ ตอนนี้ฟุตบอลของ เปแอสเช ได้ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการในยุคของ หลุยส์ เอ็นริเก้ เกมรุกที่หลากหลาย เกมรับที่สามัคคี และความบ้าระห่ำในการแย่งชิงฟุตบอลกลับมาครอง คือสิ่งที่โค้ชชาวสเปนรายนี้ถ่ายทอดให้กับรูปทีมของเขาได้อย่างหมดจด และทุกอย่างยืนยันตัวมันเองด้วยผลงานในสนาม มาตรฐาน และถ้วยแชมป์ยุโรป

ภาพจำของสโมสรนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ... นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ ก็ได้เรียนรู้เรื่องนี้ไปพร้อม ๆ กับนักเตะและแฟนบอลของเขา เพราะ DNA ของทีม ๆ นี้เกิดขึ้นได้จากสิ่งที่พวกเขาแสดงออกมาอย่างโดดเด่นและเต็มไปด้วยคุณภาพทั้งในและนอกสนาม ซึ่งตอนนี้ต้องใช้คำว่า "ระดับท็อป" ทั้งกับตัวเขาและสโมสรที่เขาพยายามสร้างแบรนด์จนติดตลาดได้สำเร็จ

ไข่มุกจากครอบครัวประมงที่ยากจน ได้กลายเป็นอัญมณีล้ำค่าที่โลกต้องหันมอง ... ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องฟลุกหรือการไปสนิทกับคนใหญ่คนโตใด ๆ ทั้งสิ้น เรื่องนี้คือเรื่องของการทำตัวเองให้พร้อมกับโอกาสที่ได้รับ การรู้จักตัวเองว่าทำสิ่งใดได้ดี สิ่งใดทำไม่ได้ ... นี่คือเกมที่ นาสเซอร์ จัดการทุกอย่างอย่างแยบคาย และมันเปลี่ยนให้เขากลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลของวงการฟุตบอลทั่วโลกในเวลานี้ แม้ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับฟุตบอลเลยในวันที่เขาก้าวเข้ามา 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.theguardian.com/football/2012/sep/20/nasser-al-khelaifi-paris-saint-germain
https://en.wikipedia.org/wiki/Nasser_Al-Khelaifi
https://medium.com/@areleaders/nasser-al-khelaifi-qatar-74986b8eab06
https://www.sportspro.com/insights/features/from-the-magazine/qatars_man_in_paris/
https://latinamericanpost.com/sports/nasser-al-khelaifi-the-incredible-story-behind-the-psg-president/?utm_source=chatgpt.com

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ