จากเด็กที่ถูกอาร์เซน่อลคัดทิ้งในวัย 13 ปี สู่การก้าวขึ้นมาเป็น "พ่อมดแห่งปราสาทเรือนแก้ว" และกำลังจะได้กลับบ้านในฐานะนักเตะระดับท็อปของพรีเมียร์ลีกกับอาร์เซน่อล
นี่คือเส้นทางของ เอเบเรชี่ เอเซ่ ที่เต็มไปด้วยบทพิสูจน์และความมุ่งมั่น
เขาเก่งขึ้นทุก ๆ ปีได้อย่างไร และจะช่วยเติมสิ่งไหนให้ปืนใหญ่บ้าง ? ติดตามกับ Main Stand
เริ่มต้นที่อาร์เซน่อล
เอเบเรซี่ เอเซ่ ถือเป็นสายเลือด "กูนเนอร์" โดยกำเนิดเลยก็ว่าได้ เขาเกิดที่ลอนดอน เชียร์ทีมนี้เป็นชีวิตจิตใจ และสโมสรนี้คือสโมสรแรกในฐานะนักฟุตบอลของเขาด้วย
เด็กหนุ่มผู้มี โรนัลดินโญ่ เป็นไอดอล พยายามจะเล่นฟุตบอลให้เก่งกาจเหมือน "เหยินน้อย" มาโดยตลอด เพียงแต่ช่วงจังหวะชีวิตของมนุษย์เรานั้นไม่มีกฎตายตัว บางคนสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้น ขณะที่บางคนต้องเริ่มจากความผิดหวังก่อนจึงจะได้เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ ... ซึ่ง เอเซ คืออย่างหลัง
เขาเป็นนักเตะที่เข้าระบบเยาวชนของ อาร์เซน่อล ตั้งแต่ 7 ขวบ แต่พอถึงปี 2011 หรือตอนที่เขาอายุ 13 ปี เขาก็กลายเป็นคนที่ถูกคัดทิ้ง ซึ่งจะว่าไปการถูกคัดทิ้งครั้งนี้เปรียบเสมือนการเริ่มต้นในสายอาชีพนักฟุตบอลที่แท้จริงของเขามากกว่า
"การถูกปฏิเสธมันทำให้ผมเจ็บปวดมาก มันไม่ง่ายเลยกับการต้องแบกรับตัวเองในฐานะนักเตะของอาร์เซน่อล แต่ด้วยความเชื่อในพระเจ้าบวกกับครอบครัวที่ยังซัพพอร์ตผมอยู่ตลอด มันทำให้ผมยังมีความมั่นใจและสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายนั้นมาได้" เอเซ่ เล่าถึงการรับมือกับความผิดหวังตอนอายุ 13 ปี และเขาสามารถเข้าใจมันได้ภายในเวลาไม่นานว่า นี่ไม่ใช่ความผิดหวังครั้งแรกของเขาแน่นอนตราบใดที่เขายังเลือกเดินทางบนเส้นทางนักเตะอาชีพ ... เส้นทางที่มีคนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่จะไปถึงจุดที่สูงที่สุดแบบที่เขาหวังได้
ดังนั้นความผิดหวังกี่ครั้งจึงไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่สิ่งที่วัดกันชัดเจนที่สุดคือ เมื่อผิดหวังแล้ว คุณได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งนั้นหรือไม่ ... ถ้าคุณเรียนรู้จากมัน นั่นเท่ากับว่ายิ่งคุณผิดหวังมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งได้บทเรียนจากมันมากเท่านั้น นี่คือหัวใจของนักเตะที่ไม่ได้มีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิดอย่าง เอเซ
ตัวของ เอเซ่ ออกจาก อาร์เซน่อล และเล่นให้กับอคาเดมีของ ฟูแล่ม, เรดดิ้ง จนมาถึง มิลล์วอลล์ และจบท้ายกับทีมที่ให้โอกาสเขาเล่นฟุตบอลอาชีพเป็นครั้งแรกอย่าง ควีนสพาร์ค เรนเจอร์ส ในปี 2016 หรือเทียบเวลาก็คือ 5 ปีหลังจากที่เขาล้มลุกในระดับเยาวชนนับตั้งแต่ออกจากอาร์เซน่อลทีมโปรดของตัวเอง
มาร์ค วอเบอร์ตัน ผู้จัดการทีมในเวลานั้นเล่าเหตุผลที่เขาให้โอกาส เอเซ่ ลงเล่นเป็นครั้งแรกก็เพราะความกล้าในการเล่น เอเซ่ ไม่กลัวที่จะแสดงทักษะของตัวเอง หรือฉายภาพในสมองของเขาออกมาในสนาม แม้จะไม่ได้ทรงประสิทธิภาพหากเทียบกับนักเตะระดับหัวแถว แต่ความกล้าและเล่นด้วยจินตนาการนี่แหละ ที่จะทำให้นักเตะคนหนึ่งเติบโตอย่างแตกต่างหากเขาได้โอกาสเก็บประสบการณ์ในการลงสนามเรื่อย ๆ
มันเป็นเรื่องที่ดีเยี่ยมสำหรับ เอเซ่ นักเตะดาวรุ่งลงเล่นให้กับทีมระดับกลางค่อนล่างของ แชมเปี้ยนชิพ ไม่มีความกดดัน ไม่มีการถูกสื่อจับจ้อง และที่สำคัญ โค้ชยังเป็นคนที่อนุญาตให้เขาใช้จินตนาการของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปบวกกับโอกาสลงสนามมากขึ้น ความ "เนียน" และ "เหนือชั้น" ของเขาก็ถูกแสดงออกมาจนกลายเป็นสิ่งที่แบกทีมในช่วงเวลานั้นได้สำเร็จ
เอเซ่ได้ฝากผลงานอันยอดเยี่ยมไว้ที่ถิ่น ลอฟตัส โร้ด ด้วยผลงานยิง 20 ประตูตลอดการค้าแข้งกับทีม โดยเฉพาะฤดูกาลสุดท้ายที่ทำไปถึง 14 ประตู กับ 8 แอสซิสต์ ก่อนที่จะย้ายไป คริสตัล พาเลซ ในปี 2020 ... ซึ่งจากนี้คือปรากฏการณ์ "เก่งขึ้นทุกปี" ของเขา
พัฒนาเต็มระบบที่ คริสตัล พาเลซ
คนที่ตัดสินใจซื้อตัว เอเซ่ มาร่วมทีม คริสตัล พาเลซ คือ ดูกี้ ฟรีดแมน ผอ.กีฬาของทีมในเวลานั้น ที่ตกลงความเห็นร่วมกับ รอย ฮอดจ์สัน กุนซือของทีมในเวลานั้น
ทั้งคู่เห็นในสิ่งเดียวกับที่ทีมสตาฟโค้ชของ คิวพีอาร์ เห็น นั่นคือเรื่องของคาแร็กเตอร์ที่กล้าเล่นกล้าโชว์ มั่นใจในตัวเองสูง เพียงแต่ต้องยอมรับว่าในช่วง 5 ปีก่อนที่ย้ายมาเล่นให้กับ พาเลซ ใหม่ ๆ เอเซ่ นั้นยังดิบมาก ๆ และไม่ได้เก่งกาจขนาดนี้
ในช่วงที่เขายังหาไม่เจอ เขาเหมือนกับปีกผิวดำหลาย ๆ คนในทีมเล็ก ๆ ระดับพรีเมียร์ลีก กล่าวคือมีความเร็ว คล่องตัว และวูบวาบ แต่ครั้นเมื่อถึงเวลาสำคัญชี้เป็นชี้ตาย นักเตะเหล่านี้มักเลือกตัดสินใจผิด มีการพลาดง่าย ๆ ในระดับหมูหกให้เห็นอยู่เป็นระยะ ๆ ... แต่ข้อดีของเขายังคงเหมือนเดิม นั่นคือการพยายามไม่มองข้ามจุดอ่อนของตัวเอง หากเขาเจอมัน เขาจะเรียนรู้และหาวิธีแก้ไขเพื่อให้มันดีขึ้น ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ ฮอดจ์สัน ประทับใจในตัวของเขา และให้โอกาสเขาเรื่อย ๆ
ทุกอย่างกำลังจะไปในทิศทางบวก แต่เมื่อฤดูกาล 2021-22 ที่เขากำลังเริ่มโชว์ฟอร์มได้ดี เขาดันได้รับบาดเจ็บเอ็นร้อยหวายอย่างรุนแรงทำให้ต้องพักยาวข้ามฤดูกาล
เมื่อหายเจ็บกลับมาในช่วงกลางฤดูกาล 2021-22 กุนซือคู่บุญของเขาอย่างฮอดจ์สันได้อำลาทีมไปแล้ว และเป็น ปาทริก วิเอร่า ที่เข้ามารับช่วงต่อ ซึ่งด้วยระบบการเล่นที่เปลี่ยนไป และการเจ็บยาวที่ต้องพักนานกว่า 7 เดือน ทำให้ เอเซ่ ได้ลงเล่นแค่ 6 เกมตลอดทั้งซีซั่นเท่านั้น ... เรียกได้ว่าในยุคของ วิเอร่า นั้น เอเซ่ เกือบต้องถูกขายให้กับทีมในระดับลีกรองไปแล้วด้วยซ้ำ
แต่สิ่งที่คุณต้องยอมรับในตัวของเอเซ่ ก็คือ "ตายยาก" เวลาเดินมาถึงฤดูกาล 2022-23 วิเอร่า ทำทีมแย่ไม่ชนะใคร 11 เกมติดต่อกัน เขาต้องกระเด็นตกเก้าอี้ และทีมได้เรียกตัว ฮอดจ์สัน กลับมาช่วยคุมทีมอีกครั้ง และโค้ชใหม่หน้าเก่าคนนี้นี่แหละถือเป็นคนที่ทำคลอดให้กับ เอเซ่ ในระดับพรีเมียร์ลีกอย่างแท้จริง
ฮอดจ์สัน วางบทบาทใหม่ให้ เอเซ่ ด้วยการเป็นเบอร์ 10 ในระบบ 4-2-3-1 และเมื่อเขามีอิสระในการเล่นมากขึ้น การสร้างเกมบุกจากแดนกลางของทีมจึงมีความอันตรายเพิ่มขึ้นตามไปด้วย รวมเข้ากับวิสัยทัศน์อันยอดเยี่ยมของเขาแล้ว ทำให้เขากลายเป็นตัวกำหนดทิศทางการขึ้นเกมบุกของทีม
เมื่อฟอร์มของตัวเองดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เอเซ่ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ยกย่องฮอดจ์สันว่า "ผมรู้สึกว่าตัวเองมีอิสระมากขึ้น เขา (ฮอดจ์สัน) ให้อิสระผมในการเล่นฟุตบอลแบบที่ผมถนัด ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อส่งแรงบวกให้กับทีม"
ตัวของ เอเซ่ นั้นนอกจากจะได้อิสระเต็มที่แล้ว เรื่องทัศนคติก็สำคัญไม่แพ้กัน ฮอดจ์สัน อธิบายถึง เอเซ่ เพิ่มเติมว่า "นี่คือนักเตะที่สามารถไปได้ไกลเท่าที่ตัวของเขาจะยอมเสียสละเพื่อมัน" โดย เอเซ่ ได้รับคำกล่าวถึงอีกว่าแม้จะเป็นนักเตะที่ดูมีสไตล์การเล่นที่ผ่อนคลาย ชิล ๆ แต่เป็นนักเตะที่ทำงานหนักมากเวลาอยู่นอกสนาม การรักษาความฟิตให้มีแรงเล่นเกมบุกอย่างเต็มที่คือสิ่งที่เขาพยายามพัฒนาจุดนี้ขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่ในส่วนของเกมรุกเท่านั้น ในเกมรับ เอเซ่ ยังเป็นนักเตะที่ติดท็อป 10 ของพรีเมียร์ลีก สำหรับการเป็นแนวรุกที่สามารถเพรสซิ่งและแย่งบอลจากคู่แข่งได้สำเร็จ สิ่งเหล่านี้แฟนบอลส่วนใหญ่ขนานนามให้เขาเป็น "พ่อมดแห่งปราสาทเรือนแก้ว" และเด่นชัดขึ้นอีกในวันที่นักเตะผู้สร้างความบันเทิงคนอื่น ๆ เริ่มย้ายออกไป อาทิ วิลฟรีด ซาฮา และ ไมเคิล โอลิเซ่
ซึ่งเรื่องนี้ต้องขอบคุณอีกหนึ่งคนที่สำคัญมากสำหรับการพัฒนาของ เอเซ่ นั่นคือ โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ กุนซือชาวเยอรมัน ที่ต่อยอด เอเซ่ จากยุคปู่รอย ที่อาจจะเป็นนักเตะเกมรุกระดับท็อป 20 ของพรีเมียร์ลีก ให้กลายมาเป็นนักเตะระดับท็อปของลีกได้ โดยที่ตัวนักเตะได้เพิ่มคุณสมบัติของการเป็น "นักเตะชั้นยอด" ขึ้นมาอีกระดับ
การประกอบร่างสมบูรณ์ โดย กลาสเนอร์
โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ เข้ามาทำทีมในระบบ 3-4-2-1 ซึ่งเป็นระบบคล้าย ๆ กันกับที่ รูเบน อโมริม ทำทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ตำแหน่ง เอเซ่ นั้นจึงต้องรับบทบาทตัวรุก "ดับเบิลเท็น" ไปโดยปริยาย และด้วยตำแหน่งนี้เองที่ทำให้เขาได้เจอร่างที่สมบูรณ์ที่สุดของตัวเอง
สิ่งที่คุณต้องรู้คือ กลาสเนอร์ ใส่ใจกับ เอเซ่ คล้าย ๆ กับที่ ฮอดจ์สัน ทำ สาเหตุก็เพราะว่า กลาสเนอร์ ชื่นชมการเสียสละตัวเองและการทำงานหนักเพื่อทีมของ เอเซ่ นอกจากจะเป็นผู้เล่นสำคัญที่สามารถสร้างโอกาสและคุกคามแนวรับฝ่ายตรงข้ามแล้ว เขายังเป็นคนที่พร้อมจะไล่บอลทุกจังหวะแบบไม่อิดออด และเป็นคนที่มีสมาธิอย่างมากในการจับจ้องจังหวะที่คู่แข่งเล่นผิดพลาด ... เรียกได้ว่าถ้าพลาด เอเซ่ พร้อมเข้าไปขย้ำเอาบอลกลับมาให้ทีมในทันที
กลาสเนอร์ บอกว่าเขาค่อย ๆ ใส่เติมเรื่องพวกนี้ให้กับ เอเซ่ ทีละนิด ๆ เขาไม่ได้กดดัน เอเซ่ ถึงขั้นที่ต้องเอาสถิติมาฟ้องหรืออ้างอิง แต่เขาให้เวลากับ เอเซ่ แบบเกมต่อเกม ในแต่ละนัดเขาใส่รายละเอียดที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งมันสอดแทรกให้ เอเซ่ ไม่ใช่นักเตะประเภทวันแมนโชว์เหมือนตอนแรก ๆ ที่เขาย้ายมาที่นี่ แต่เขากลายเป็นนักเตะที่สามารถเล่นเป็นทีมได้ดีขึ้น มีความยืดหยุ่นทางแท็กติกสูงมาก และเป็นนักเตะที่สงบนิ่งที่สุดในทีมในยามที่ต้องลงเล่นในเกมที่กดดัน หรือเกมใหญ่ ๆ
"ผมพยายามปรับปรุงเขาทีละนัด และเราคุยกันทุกครั้งแบบเกมต่อเกม อะไรบ้างที่เขาสามารถปรับปรุงได้ ทั้งเรื่องการยืนตำแหน่ง การวิ่ง การเล่นที่เป็นจังหวะร่วมกับทีมได้มากขึ้น ผมพยายามทำให้เขาเป็นนักเตะที่ไม่ใช่แค่เก่งคนเดียว แต่สามารถทำให้ทีมโดยรวมดีขึ้นได้ ตอนนี้ผมว่าเขาเป็นนักเตะที่ตัดสินเกมให้กับทีมได้แล้ว" กลาสเนอร์ กล่าวเมื่อซีซั่น 2024-25 ซึ่งแน่นอนว่าปลายทางคือการที่ เอเซ่ นำ พาเลซ คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการน็อก แมนฯ ซิตี้ ในนัดชิงชนะเลิศ
หลังพิชิต เอฟเอ คัพ และ คอมมูนิตี้ ชิลด์ ล่าสุดที่ชนะ ลิเวอร์พูล ได้อีก ... ตอนนี้ เอเซ่ ก้าวขึ้นมาอีกระดับ และ พาเลซ นั้นก็เล็กเกินไปสำหรับเขาที่จะท้าทายตัวเองแล้ว เขากำลังจะเป็นนักเตะของ อาร์เซน่อล ทีมที่ต้องการชัยชนะทุกสัปดาห์ และต้องการจบซีซั่นด้วยการคว้าทุกแชมป์ที่ลงแข่งขันหากเป็นไปได้ ซึ่งความกดดันนี้เองจะทำให้เราได้เห็นว่า เอเซ่ พร้อมแค่ไหนสำหรับการเป็นผู้เล่นในระดับท็อป ในทีมระดับท็อปเช่นนี้
สิ่งที่ อาร์เซน่อล จะได้จากเขาแน่ ๆ ก็คือความโดดเด่นในการเอาชนะการดวลตัวต่อตัว เพราะ เอเซ่ มีสถิติเลี้ยงบอลสำเร็จถึง 2.9 ครั้งต่อ 1 เกมในซีซั่นที่แล้ว นอกจากนี้ยังเป็นนักเตะที่สร้างคีย์พาสได้อีก 2.1 ครั้งต่อนัด เรียกได้ว่าเป็นคนที่สร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมได้อย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ด้วยความที่ เอเซ่ เป็นนักเตะที่มีความหลากหลาย ผ่านการเล่นมาหลายตำแหน่ง หลายแท็กติก เขาจะเป็นนักเตะที่ช่วยแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าให้กับ อาร์เซน่อล ได้ไม่ว่าจะเป็นปัญหาปีกซ้ายที่เขาก็เคยเล่นมาก่อน การเป็นตัวรุกหมายเลข 10 ที่ ณ เวลานี้ทีมยังต้องพึ่ง มาร์ติน โอเดการ์ด คนเดียว การมี เอเซ่ เข้ามาจะช่วยให้ มิเกล อาร์เตต้า สนุกกับการวางแท็กติกได้หลากหลายมากขึ้น และทำให้เขาโรเตชั่นนักเตะได้ดีขึ้นสำหรับการลงชิงชัยถึง 4 รายการในซีซั่นนี้
เหนือสิ่งอื่นใด อาร์เซน่อล จะได้นักเตะที่มีทัศนคติที่ยอดเยี่ยม แถมยังเป็นนักเตะที่เป็นแฟนบอลของทีมมาตั้งแต่เกิดจากการพา เอเซ่ กลับบ้านครั้งนี้
14 ปีที่แล้วเขาจากไปอย่างผู้แพ้ ... แต่ในฤดูกาล 2025-26 นี้ เอเบเรซี่ เอเซ่ เตรียมกลับมาที่ อาร์เซน่อล อีกครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่าเขาเป็นผู้ชนะ และจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ทีมไปสู่จุดนั้นให้ได้เช่นกัน
เส้นทางบทใหม่ที่น่าตื่นเต้นและเดิมพันสูงของเขากำลังเริ่มต้นอีกครั้ง
แหล่งอ้างอิง
https://lifebogger.com/eberechi-eze-childhood-story-plus-untold-biography-facts/
https://www.youtube.com/watch?v=R5rC_-eF1mU&t=280s
https://www.skysports.com/football/news/29210/12257582/premier-leagues-young-stars-the-story-of-eberechi-eze
https://www.tntsports.co.uk/football/premier-league/2024-2025/oliver-glasner-eberechi-eze-crystal-palace_sto20042734/story.shtml?utm_source=chatgpt.com
https://www.skysports.com/transfer/news/12691/13389352/eberechi-eze-to-arsenal-crystal-palace-talisman-can-solve-mikel-artetas-left-wing-problem?utm_source=chatgpt.com
https://www.arsenalinsider.com/transfers/arsenal-make-enquiries-for-68m-forward-they-released-for-free-but-tottenham-also-want-him/?utm_source=chatgpt.com