จูเซปเป้ มาร็อตต้า บุคคลระดับหัวแถวของ อินเตอร์ มิลาน คือชายผู้ที่คิดก่อนพูดและมีวาทะศิลป์เฉียบขาดเสมอ ทว่าครั้งนี้สำหรับบางปัญหาเขากลับพูดชื่อนักเตะระดับ "หัวใจ" ของทีมขึ้นมาบนหน้าสื่อตรง ๆ ... แสดงว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ?
นักเตะคนนั้นคือ ฮาคาน ชาลาโนกลู จอมทัพผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนที่ไม่อยากจะอยู่กับทีม และแสดงพฤติกรรมดื้อเงียบขั้นสุดจนเพื่อนร่วมทีมอย่าง เลาตาโร่ มาร์ติเนซ นั้นอดไม่ไหวที่จะตีวัวกระทบคราด
ทว่า ... เมื่อเราย้อนประวัติของเขา กลับพบข้อมูลที่ชวนสงสัย เพราะทุกที่ที่ ชาลาโนกลู ไป มักเกิดเรื่องลักษณะนี้ขึ้นเสมอ
ติดตามความแสบและการวิ่งชนปัญหาในที่ต่าง ๆ ของเขากับ Main Stand
ปมแรกเมื่อครั้งยังเด็ก
รากฐานของ ฮาคาน ชาลาโนกลู คือครอบครัวชาวตุรกีอพยพ ในเมือง แมนไฮม์ ประเทศเยอรมนี และได้เริ่มหัดเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 7 ขวบ โดยมีความฝันว่าอยากจะเป็นนักเตะอาชีพให้ได้ และพรสวรรค์ของเขาก็เพียงพอต่อการเดินไปถึงจุดนั้น
ชาลาโนกลู เล่นให้กับทีมท้องถิ่นจนอายุ 15 ปี ก็ได้สัญญาเข้ามาเป็นนักเตะของสโมสร คาร์ลสรูห์ ทีมที่เคยลงเล่นในบุนเดสลีกา และเคยผลิตนักเตะชั้นดีหลายคน อาทิ เมห์เม็ต โชล และ โอลิเวอร์ คาห์น
พรสวรรค์คือสิ่งที่ทำให้ ชาลาโนกลู เจอตำแหน่งของตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก เขาลงเล่นในฐานะมิดฟิลด์ตัวรุกมาตลอด และขึ้นชื่อเรื่องเซ้นส์ในการจ่ายบอลซึ่งเป็นจุดแข็งของเขา เหนือสิ่งอื่นใดคือ "เครื่องหมายการค้า" ของเขา นั่นคือการวางเท้ายิงลูกฟรีคิก
"เมซุต โอซิล คือนักเตะที่ผมเฝ้ามองและอยากจะเป็น เราเล่นตำแหน่งเดียวกัน ผมพยายามจะเป็นนักเตะที่สามารถเปลี่ยนแปลงเกมได้ทุกครั้งที่บอลออกจากเท้าเหมือนที่เขาเป็น" ชาลาโนกลู พูดถึงไอดอลของเขา ที่สามารถยิงได้อย่างหนักหน่วงและแม่นยำ จนทำให้ชื่อของเขาเริ่มโด่งดังในวงการฟุตบอลเด็กและมีหลายทีมคอยจับตาตั้งแต่อายุ 17 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่เขาขึ้นมาเล่นให้ชุดใหญ่ให้กับ คาร์ลสรูห์ แล้ว
บนเส้นทางที่สวยสดงดงาม ทำให้ทีมชาติเยอรมันพยายามที่จะดึงตัวเขาขึ้นมาเล่นให้อยู่ทีมเยาวชน ทว่าด้วยการที่เขามีเชื้อสายเติร์ก ทำให้เจ้าตัวเลือกที่จะเล่นให้กับทีมชาติตุรกี มาตั้งแต่รุ่นยู 16 ปี มันคือความชัดเจนมาตั้งแต่แรก และเขาอธิบายต่อว่าถึงแม้จะมีโอซิลเป็นไอดอล แต่เขาจะขอเลือกเส้นทางของตัวเองและพยายามจะเป็น "โอซิล แห่งตุรกี" ให้ได้
ในตอนเด็กมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ชาลาโนกลู ลงเล่นให้กับ คาร์ลสรูห์ ในระดับลีกา 2 ตอนอายุ 17 ปี และในฤดูกาล 2011-12 นั้นเขาไม่สามารถช่วยให้ทีมรอดตกชั้นได้ คาร์ลสรูห์ ตกชั้นไปเล่นในระดับลีกา 3 ซึ่งตัวเขาเองก็มองว่าอยากจะหาโอกาสลงเล่นในระดับที่สูงกว่านี้ เพราะเชื่อว่าตนเองจะพัฒนาฝีเท้าได้ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม คาร์ลสรูห์ การันตีกับเขาว่าในฤดูกาล 2012-13 เขาจะได้รับบทบาทตัวหลักของทีม เขาจึงเปลี่ยนใจและช่วยทีมเพื่อเลื่อนชั้นกลับมาให้ได้ ซึ่งจากนั้นคล้อยหลังไม่กี่เดือน ชาลาโนกลู ยิงไป 17 ประตูและทำไปอีก 12 แอสซิสต์ พาทีมเลื่อนชั้นกลับสู่ ลีกา 2 ได้สำเร็จ และทีมจากลีกสูงสุดอย่าง ฮัมบูร์ก ก็ทุ่มเงินซื้อตัวเขาไปร่วมทีม โดยจองตัวล่วงหน้าตั้งแต่ผ่านไปแค่ครึ่งฤดูกาลเลยด้วยซ้ำ
มันควรจะเป็นเรื่องที่ดี ไม่มีปัญหาใด ๆ เพราะเขาเติบโตตามขั้นบันไดสำหรับการพัฒนานักเตะดาวรุ่งแล้ว
ถึงแม้ตัวของเขาจะข้ามขั้นมาเล่นในลีกสูงสุดของประเทศ ดวลกับเสือสิงห์กระทิงแรดมากมาย แต่ ชาลาโนกลู สร้างชื่ออย่างรวดเร็วในเกมพบ ไอน์ทรัค บราวน์ชไวก์ ฤดูกาล 2013-14 โดยในเกมดังกล่าวทีมของเขานำ 2-0 และกุนซือ ธอร์สเท่น ฟิงค์ ส่ง ชาลาโนกลู ในวัย 19 ปี ลงเล่น ... ไม่นานนักหลังจากเขาลงเหยียบสนาม สกอร์ก็ขยับเป็น ฮัมบูร์ก นำห่างถึง 4-0 จาก 2 สกอร์ที่เพิ่มขึ้นมาด้วยฝีเท้าของ ชาลาโนกลู ลูกแรกเกิดจากการเลี้ยงโซโล่เข้าไปยิงอย่างเหลือเชื่อ และอีกลูกเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาอย่างการยิงฟรีคิกทีสมบูรณ์แบบ
หลังนกหวีดยาว เขาเดินออกจากสนามท่ามกลางเสียงปรบมืออันกึกก้อง มันคือวันที่วงการฟุตบอลเยอรมันรู้จักชื่อของ ฮาคาน ชาลาโนกลู อย่างเป็นทางการ
ความวุ่นวายมาพร้อมชื่อเสียง
เพราะความยอดเยี่ยมผลักดันให้เขาเดินไปข้างหน้าไม่หยุด หลังจบซีซั่นกับ ฮัมบูร์ก ที่ยิงไป 11 ประตูและทำไปอีก 8 แอสซิสต์ ชาลาโนกลู ก็ถูก เลเวอร์คูเซ่น ซื้อตัวไปร่วมทีมด้วยราคา 14 ล้านยูโร
แต่ตอนที่ย้ายนั้น ชาลาโนกลูก็สร้างปัญหาเพื่อขอย้ายออกจากทีม ซึ่งในเวลานั้น เขากับแฟน ๆ ของฮัมบูร์กมีปากเสียงกัน นำไปสู่การที่รถของเขาถูกแฟนบอลทุบ จนเจ้าตัวเครียดและนำจดหมายจากนักจิตวิทยามาเพื่อขอพักการเล่นสี่สัปดาห์ ซึ่งฝ่ายบริหารของทีมก็เห็นด้วย และให้เขาหยุด 4 สัปดาห์ตามตกลง ทว่าหลังเขาย้ายไป เลเวอร์คูเซ่น อาการป่วยก็ดูจะหายเป็นปลิดทิ้ง
"เราคิดว่าเขามีปัญหาสุขภาพจริง ๆ ดังนั้นเราจึงให้เวลาเขา ดูเหมือนว่าเขาจะโกหก" โอลิเวอร์ ครูเซอร์ ผอ.กีฬาของ ฮัมบูร์ก ยืนยันด้วยตัวเอง
ในถิ่น ไบอารีน่า นี้นี่เอง เรื่องราวที่เขาเคยทำในอดีตบางเรื่องกลับแดงขึ้นมา ซึ่งมันทำให้เขาถูกมองว่าเป็น "พวกเห็นแก่เงินจอมปลิ้นปล้อน" ซึ่งถือเป็นรอยด่างพร้อยแรกของเขาในฐานะนักเตะที่กำลังแจ้งเกิดบนเส้นทางอาชีพอย่างแท้จริง ... เพราะเขาถูกแบนห้ามลงสนาม 4 เดือน จากการทำผิดสัญญากับ แทรปซอนสปอร์ ซี่งทำให้หลายคนงงว่าทีมดังจากตุรกีทีมนี้มาเกี่ยวอะไรด้วย ?
การแบนครั้งนั้นเป็นผลจาก 4 ปีก่อนที่เขาเล่นให้กับ คาร์ลสรูห์ (สมัยลงเล่นในลีกา 3) ซึ่งในตอนนั้น ด้วยการที่เขาพยายามจะมองหาทีมใหม่ จึงไปเซ็นสัญญากับ แทรปซอนสปอร์ ที่มอบข้อเสนอดีมาก ๆ สำหรับเด็กอายุ 17 ปีอย่างเขา นั่นคือการให้เงินค่าเซ็นสัญญาเป็นมูลค่าสูงถึง 100,000 ยูโร และมีการเลี้ยงดูปูเสื่อครอบครัวของนักเตะเป็นอย่างดี
นี่คือข้อเสนอที่เขาตกปากรับคำ ทว่าสุดท้ายเมื่อทีมเลื่อนชั้นและเจ้าตัวเริ่มมีชื่อเสียง ก็อย่างที่รู้กัน นั่นคือเขากลับผิดสัญญากับ แทรปซอนสปอร์ และเลือกไปอยู่กับ ฮัมบูร์ก ที่มีข้อเสนอที่ดีกว่า แถมยังได้เล่นในลีกสูงสุดของเยอรมันด้วย
แทรปซอนสปอร์ นำเรื่องนี้ไปฟ้องศาล และหลังจากสู้คดีกันมาหลายปี สุดท้ายมีการตัดสินว่า ชาลาโนกลู มีความผิดจริง โทษของเขาคือการต้องเอาเงิน 100,000 ปอนด์นั้น ชดใช้ให้กับ แทรปซอนสปอร์ ... และที่หนักกว่า คือนักเตะที่กำลังหุงขึ้นหม้ออย่างเข้าต้องติดโทษแบนนานถึง 4 เดือน ซึ่งไม่ดีต่อพัฒนาการของเขาเลย
ในตอนนั้น เขายังเป็นเด็กอายุ 17 ปี และเขาก็เข้าไปอยู่ท่ามกลางเรื่องวุ่นวายนี้โดยไม่รู้ตัว มีการข้อมูลเปิดเผยว่าคนที่ "สั่ง" ให้ ชาลาโนกลู ยอมรับข้อเสนอจาก แทรปซอนสปอร์ ก็คือพ่อของเขาที่อยากให้ลูกชายได้เล่นในลีกตุรกี ซึ่งข้อมูลนี้ก็มาถูกเปิดเผยในภายหลังว่า "เป็นเรื่องจริง" โดยตัวเขาเองเป็นคนให้สัมภาษณ์ว่า
"ผมบังเอิญได้รู้ว่าพ่อของผมได้พบกับคนของ แทรปซอนสปอร์ ในร้านอาหารที่ดาร์มสตัดท์ จากนั้นเมื่อพ่อมาถึงบ้านพ่อก็บอกกับผมว่า ฮาคาน ลูกต้องเซ็นสัญญากับกับพวกเขาเท่านั้น และในวัฒนธรรมของเรา คนเป็นพ่อมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจมากที่สุด ซึ่งตอนนั้นผมอายุแค่ 17 ปี ผมไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก ผมเซ็นสัญญาตามพ่อบอก และผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องของฟุตบอลเท่านั้น"
"ในวัฒนธรรมของเรา พ่อมีสิทธิ์ตัดสินใจขั้นสุดท้าย ผมอายุแค่ 17 ปี ไม่ได้เข้าใจว่าการเซ็นครั้งนั้นมีผลขนาดไหน ผมคิดแค่เรื่องฟุตบอลเท่านั้น" ชาลาโนกลู กล่าว
นอกจากนี้ ในช่วงที่เขาย้ายไปอยู่กับ ฮัมบูร์ก ที่เป็นประเด็น ข่าวคือการอาจมีนอกมีในเกิดขึ้น เพราะคนที่รู้เรื่องการตกลงระหว่างครอบครัว ชาลาโนกลู กับ แทรปซอนสปอร์ ก็คือคนในของสโมสรซึ่งคาดว่าเป็น ผอ.กีฬา ของ คาร์ลสรูห์ คนที่ขายเขาให้กับ ฮัมบูร์ก นั้น ได้โอกาสไปทำงานกับ ฮัมบูร์ก ในภายหลัง และความเป็นวงในของเขา ทำให้ข้อเสนอของ ฮัมบูร์ก เปลี่ยนใจนักเตะและครอบครัวได้สำเร็จ
อย่างไรเสีย คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่คือ เลเวอร์คูเซ่น ที่ต้องเสียหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในทีมไปถึง 4 เดือนในช่วงโค้งสุดท้ายของซีซั่น (กุมภาพันธ์ - มิถุนายน) ... ฝั่ง เลเวอร์คูเซ่น ก็โกรธกับเรื่องนี้ ซึ่งเมื่อจบฤดูกาล 2016-17 เอซี มิลาน ก็ติดต่อเข้ามาและคว้าตัวเขาไปร่วมทีม ในฤดูกาล 2017-18 ด้วยค่าตัว 24 ล้านยูโร
การย้ายทีมครั้งนี้เหมือนการหนีความวุ่นว่ายที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนประเทศไปเลย แต่ใครเลยจะรู้ว่านี่แค่ปัญหาแรกเท่านั้น จากนี้ยังมีเรื่องราวสารพันปัญหาที่เขาอาจจะอยากพูดในใจว่า "เกิดแต่กับ(ชาลาโน)กลู"
มิลาน ... หนักกว่าเดิม
การเล่นให้ มิลาน ของ ชาลาโนกลู เริ่มต้นช้าไปบ้างจากร่างกายที่ร้างสนามไป 4 เดือน แต่พรสวรรค์และการพยายามเรียกความฟิตของเขาเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมไม่นานนัก เมื่อร่างกายเข้าที่ ฝีเท้าของเขาก็เริ่มเปล่งแสง เขาก้าวเข้ามาเป็นตัวหลักของ มิลาน ลงเล่นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยตลอด 4 ซีซั่น แม้จะไม่ได้พาทีมคว้าแชมป์ แต่แฟนบอลก็ถือว่าเขาเป็นแกนกลางในระยะยาวที่จะพาทีมไปยังความยิ่งใหญ่เหมือนครั้งอดีต
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้เจ้าตัวก็มีปัญหาจากการกระทำในอดีตตามมารบกวนเช่นกัน อาทิ ข่าวการเป็นผู้ต้องหาในคดีข่มขู่ผู้หญิงคนหนึ่งและบังคับให้เธอทำแท้งหลังจากมีความสัมพันธ์นอกสมรสกับเธอในปี 2014 ซึ่งเขาก็ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะเคลียร์เรื่องนี้และพ้นผิดได้ แถมผู้หญิงคนนั้นยังถูกตัดสินให้ทำงานบริการชุมชน ในข้อหาโกหกและพยายามทำให้เขาเสียชื่อเสียงอีกด้วย
เรื่องดังกล่าวต้องรบกวนใจเขาไม่มากก็น้อยในช่วงที่เล่นให้กับ มิลาน แต่ไอ้ครั้นที่เขาจะหยุดสร้างปัญหา เขาก็ทำการเปิดโจทย์เพิ่มด้วยการทำในสิ่งที่แฟนบอลรับไม่ได้มากที่สุด นั่นคือการย้ายไปอยู่กับ อินเตอร์ มิลาน คู่ปรับร่วมเมืองในปี 2021 ด้วยค่าจ้างที่ห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น (มิลาน ให้ปีละ 4 ล้านยูโร - อินเตอร์ ให้ปีละ 4.8 ล้านยูโร)
แม้มีนักเตะหลายคนที่ย้ายข้ามฟากกันโดยตรงระหว่างทั้ง 2 ทีม แต่ ชาลาโนกลู นั้นแตกต่าง และสิ่งที่เขาทำ ทำให้แฟน มิลาน เลือกเขาให้เป็นหนึ่งในนักเตะที่แฟนบอลเกลียดที่สุด หลังจากเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการย้ายทีมข้ามฝั่งแบบฟรีอเย่นต์ ทั้ง ๆ ที่สโมสรและแฟนบอลให้ความสำคัญและดูแลสภาพร่างกายและจิตใจของเขามาอย่างดีตลอดในช่วงเวลาที่ผ่านมา
นอกจากไม่ยอมต่อสัญญา และทำให้ทีมไม่ได้เงินแม้แต่ยูโรเดียวแล้ว ชาลาโนกลู ยังทำเหมือนการแล่เนื้อแล้วเอาเกลือทา ด้วยการพูดจาที่ทำให้แฟนบอล มิลาน มองว่าเขาไม่ให้เกียรติทีมหลังย้ายออกเช่นการบอกว่า "ผมอยู่กับสโมสรที่มีเป้าหมายใหญ่กว่า และมีความทะเยอทะยานมากกว่า" หรือการบอกว่า "อินเตอร์ แข็งแกร่งกว่า มิลาน ในทุก ๆ ด้าน"
สิ่งที่ยืนยันความเกลียดชังก็คือ ในแทบทุกเกมที่ทั้ง 2 ทีมเจอกัน แฟนมิลานจะใช้ป้ายผ้า, การโห่, และบทเพลงล้อเลียนเขาในเกมมิลานดาร์บี้หลังจากย้ายทีม รวมถึงการโดน ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ชูถ้วยแชมป์แล้วพูดชื่อ "ฮาคานนนน !" ขึ้นไมโครโฟน เพื่อแซวเขาว่าเลือกทีมผิด ซึ่งกลายเป็นมุกตลกโปกฮาในวันที่ปีศาจแดงดำคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้ซีซั่น 2021-22 หรือหลังจากที่ ชาลาโนกลู ย้ายออกไปพอดิบพอดี
หากเราจะให้ความแฟร์กับเขา สามารถพูดได้ว่า ชาลาโนกลู เองก็มีวิถีของตัวเองซึ่งวิถีนักเตะอาชีพหลายคนทำกัน การเลือกทีมที่มีโครงสร้างดีกว่า มีลุ้นแชมป์มากกว่า และได้เงินมากกว่า ซึ่งความจริงในภายหลังก็ยืนยันได้ว่าสุดท้ายแล้ว ชาลาโนกลู ก็คิดถูกจริง ๆ เพราะเขามีชีวิตค้าแข้งที่ก้าวหน้าขึ้นมาก ทั้งการคว้าแชมป์ เซเรีย อา กับ อินเตอร์ ได้ 1 สมัย, โคปปา อิตาเลีย 2 สมัย รวมถึงการเข้าชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีก 2 สมัย ... เขาคือตำนานของ อินเตอร์ มิลาน ไปแล้วในตอนนี้ ทว่าเขาก็สร้างเรื่องอีกจนได้
ครึ่งเดียวก็ไม่เหลือ
ฮาคาน ชาลาโนกลู ค้นพบตำแหน่งการเล่นใหม่ของตัวเอง จากการยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกแบบโอซิล กลายเป็นมิดฟิลด์ตัวขับเคลื่อนเกมที่ยืนอยู่หน้าคู่เซ็นเตอร์แบ็กแบบ อันเดรีย ปีร์โล่ ในตำแหน่งยอดฮิตของฟุตบอลอิตาลี ที่ตำแหน่งนี้มีชื่อเฉพาะว่า "เรจิสต้า"
ฟอร์มการเล่น สถิติ และความสำเร็จของเขา ทำให้ ชาลาโนกลู ได้โอกาสตอกกลับแฟนบอล มิลาน บ่อย ๆ นอกจากนี้เขาก็เคยประกาศตัวว่า "ผมคิดว่าผมคือนักเตะในตำแหน่ง เรจิสต้า ที่ดีที่สุดในโลก" ซึ่งก็สร้างคามหมั่นไส้ให้กับกองแช่งของเขาเป็นอย่างมาก ... ทว่าความจริงก็คือความจริง ชาลาโนกลู เป็นนักเตะแถวหน้าในตำแหน่งนั้น ถ้าคุณได้เห็นวิธีการเล่นของเขาชัด ๆ สักครั้ง คุณจะไม่แปลกใจที่เขากล้าพูดเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม 4 ปีกับ อินเตอร์ มิลาน ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และการที่เขาเป็นหนึ่งในซีเนียร์ของทีม ก็ทำให้การกระทำของเขาเสียงดังเป็นพิเศษ และในตอนนี้ ณ จุดนี้ เป็นอีกครั้งที่ ชาลาโนกลู ออกอาการ "ดื้อเงียบ" ด้วยเหตุผลเหมือนเดิมกับหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมานั่นคือ "อยากจะย้ายทีม" และหนนี้คือ กาลาตาซาราย ทีมโปรดของเขาตั้งแต่ยังเด็ก ที่พร้อมจะจ่ายค่าเหนื่อยก้อนโตสำหรับนักเตะวัย 31 ปี
การดื้อเงียบของเขา คือการที่เขาแสดงทัศนคติที่แย่ มีการหนีเที่ยว ไม่สนใจทีม แม้ อินเตอร์ จะมีฟุตบอลรายการสโมสรชิงแชมป์โลกให้ลงแข่งขัน โดยตัวของ ชาลาโนกลู ไม่ได้ไปแข่งขันด้วยเพราะบาดเจ็บจากฤดูกาลปกติ แต่แทนที่ในช่วงเวลานี้เขาจะอยู่ในอิตาลีเพื่อเข้ารับการรักษาที่สโมสรจัดให้ เจ้าตัวกลับถูกพบว่าใช้ชีวิตช่วงนี้ไปกับการเที่ยวเตร่ และสังสรรค์ราวกับเป็นวันหยุดซัมเมอร์ที่สโมสรอนุญาตแล้ว
เรื่องดังกล่าวทำให้ เลาตาโร่ มาร์ติเนซ ออกมาด่าเขาแบบอ้อม ๆ ผ่านสื่อ (ภายหลัง จูเซปเป้ มาร็อตต้า ประธานสโมสรออกมายืนยันแล้ว) ว่า "มีหลายอย่างที่ผมไม่ชอบเมื่อได้เห็น ดังนั้นในฐานะกัปตัน ผมจำเป็นต้องพูด"
"ผมต้องการต่อสู้เพื่อชิงแชมป์รายการใหญ่ ใครก็ตามที่ต้องการอยู่ อินเตอร์ เราจะทำแบบนั้นและต่อสู้ร่วมกัน แต่ใครก็ตามที่ไม่ต้องการอยู่ต่อ ... ได้โปรดย้ายออก เราต้องการผู้เล่นทัศนคติระดับท็อปที่อยากสวมเสื้อ อินเตอร์" กัปตันทีมอินเตอร์ กล่าวหลังทีมตกรอบฟุตบอลสโมสรชิงแชมป์โลก
และคำพูดของ "ฮีโร่" อย่าง เอล โตโร่ ก็หนักแน่นพอที่จะทำให้แฟนบอลอินเตอร์ เริ่มมอง ชาลาโนกลู เปลี่ยนไป จากตำนาน กลายเป็นคนที่พวกเขาเริ่มมองแบบ "ติดลบ" และมันอาจลุกลามเป็นความเกลียดชังได้หากมีแอ็คชั่นในเร็ว ๆ นี้ของตัวนักเตะที่เป็นไปในเชิง "แตกหัก" ซึ่งมีโอกาสจะเป็นแบบนั้นไม่น้อย แม้ มาร็อตต้า จะพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ด้วยการบอกว่า อย่าเพิ่งเอา ชาลาโนกลู ไปแขวน เพราะต้องคุยกันก่อนก็ตาม
น่าเสียดายที่การเล่นให้ อินเตอร์ มิลาน เป็นเส้นทางที่สวยงามของเขามาก อันที่จริงถ้าเขาจะย้ายมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกด้วยวัยของเขา และความสำเร็จที่ผ่านมา เพียงแต่สิ่งที่เขาทำ มันเหมือนการทรยศความพยายามของเพื่อนร่วมทีมและความไม่เป็นมืออาชีพ ซึ่งนั่นแหละเป็นสิ่งที่แฟนงูใหญ่ไม่เข้าใจว่า ฮาคาน จะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
และสิ่งที่เขากำลังจะทำ อาจเปลี่ยนแปลงคำพูดในอดีตไปตลอดกาล เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยพูดถึงชีวิตของตนเองในเมืองมิลานว่า "สำหรับเมืองมิลาน ครึ่งหนึ่งของเมืองผมคือไอดอล อีกครึ่งหนึ่งของเมืองผมเป็นศัตรู ... ครึ่งหนึ่งรักผม และอีกครึ่งหนึ่งเกลียดชังผม"
"มันคือชีวิตปกติของผมที่วันหนึ่งพวกมิลานิสต้าจะด่าผมว่า 'ไอ้ทรยศ' ขณะที่ฝั่งอินเตอร์ริสต้าจะตะโกนเรียกผมแล้วบอกว่า 'เรารักคุณ'" เขากล่าวประโยคนี้เมื่อปี 2023 ... และประโยคนี้อาจจะเปลี่ยนไปก็เป็นได้ต่อจากนี้ เมื่อแม้แต่ครึ่งเดียวในเมืองมิลานก็อาจไม่เหลือที่ว่างให้เขาแล้ว
แหล่งอ้างอิง
https://www.milanobsession.com/2018/01/the-troubled-hakan-calhanoglu.html
https://www.theguardian.com/football/2016/jun/07/hakan-calhanoglu-euro-2016-turkish-mesut-ozil
https://www.reddit.com/r/soccer/comments/5rrflj/the_story_behind_hakan_calhanoglus_ban/?utm_source=chatgpt.com
https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/karlsruhe-club-by-club-historical-guide-oliver-kahn-schafer-24171
https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/hakan-calhanoglu-10-things-hamburg-leverkusen-turkey-euro-2024-28008
https://www.goal.com/en-gb/lists/leroy-sane-hakan-calhanoglu-galatasaray-shirt-number-inter-star-turkish-giants/blt19ea98af8e1345e2#csd3f84345dff1e8d3