Feature

มิลอส เคอร์เคซ : เส้นทางสู่แบ็กซ้าย ยู 21 มูลค่าอันดับ 2 ของโลก | Main Stand

มิลอส เคอร์เคซ คือนักเตะในตำแหน่งแบ็กซ้ายอายุไม่เกิน 21 ปีที่มีมูลค่าอันดับ 2 ของโลก รองจาก อเลฮานโดร บัลเด้ แค่คนเดียว

 


และแน่นอนว่านี่แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะเจ้าตัวเคยสัมภาษณ์ว่า เส้นทางข้างหน้าที่เขาตั้งเป้าหมายไว้ คือการ "เป็นหมายเลข 1 ของโลก" 

ณ ตอนนี้ จบฤดูกาล 2024-25 ดูเหมือนว่าเขากำลังเดินอยู่บนเส้นทางนั้น และนี่คือเรื่องราวของเขาก่อนที่คุณอาจจะอยากรู้จัก เพราะในไม่ช้าเขาอาจจะไปถึงจุดที่ตั้งไว้ไก็เป็นได้ ... 

ติดตามบทความจาก Main Stand 

 

เริ่มไกลน่าดู

ย้อนกลับไปในปี 2020 มิลอส เคอร์เคซ เป็นนักเตะอายุ 16 ปี ที่อยู่กับสโมสร เยือร์ ... ทีมชื่อแปลกทีมนี้เป็นทีมในลีกของฮังการี ซึ่งเมื่อเราค้นเข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับสโมสรนี้ เราพบว่านี่เป็นสโมสรเล็กที่มีอายุยืนยาวมากกว่า 120 ปี และที่นี่เป็นจุดกำเนิดของเรื่องที่เราจะเล่าทั้งหมดของเขา 

อย่างที่บอกว่าสโมสร เยือร์ เป็นสโมสรที่มีประวัติศาสตร์ แม้ปัจจุบันจะเป็นทีมเล็ก ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ ระหว่างลีกสูงสุดกับลีกรอง ทว่าในอดีตก็ถือว่าเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของฮังการี 4 สมัย (ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นปี 2012) และถ้าย้อนไปไกลกว่านั้นในยุค 1960s นี่คือสโมสรที่เคยเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ยูโรเปี้ยน คัพ (ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก) ในฤดูกาล 1965-66  โดยแพ้ให้กับ เบนฟิก้า ในยุคของ ยูเซบิโอ ดาวยิงเจ้าของฉายา เสือดำแห่งโมซัมบิก 

ที่เล่าย้อนไปไกลก็เพื่อให้รู้ว่าสโมสรนี้อาจจะไม่ได้เก่งกาจมากนักในปัจจุบัน แต่โครงสร้างส่วนต่าง ๆ ถือว่าเพียบพร้อมในระดับหนึ่ง มีทีมเยาวชนเป็นของตัวเอง มีสนามเหย้าที่จุคนได้ 15,000 คน และเป็นทีมที่ให้ความสำคัญในการสร้างนักเตะท้องถิ่นซึ่ง มิลอส เคอร์เคซ เป็นหนึ่งในนั้น 

ในปี 2020 เคอร์เคซ ที่ถูกทีมดึงตัวมาจาก ราปิด เวียนนา ตอนอายุ 15 ปี ได้เข้ามาอยู่กับทีม เยือร์ และต้องเจอกับเรื่องใหญ่ทันที เพราะในช่วงเวลานั้นเป็นการระบาดของไวรัส โควิด-19 ที่ทุกทีมต้องล็อคดาวน์และมีมาตรการสำหรับนักเตะในทีมที่ "ห้ามกลับบ้าน" ทุกคนจะต้องอยู่รวมตัวกันในโรงแรม อยู่ในการดูแลของสโมสรตลอดทั่งซีซั่นจนกว่าการแข่งขันฤดูกาลปกติจะจบลง

ตัวของ เคอร์เคซ นั้นถูกหนีบไปโดย ซานโดร ซาโต้ กุนซือของทีมในเวลานั้น ที่ต้องการให้เขามาอยู่กับทีมชุดใหญ่เพื่อเก็บประสบการณ์ในทุกด้านแม้เขาจะอายุไม่ถึง 16 ปีเต็มก็ตาม โดย เคอร์เคซ เล่าว่าช่วงเวลานั้นทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรมากมายจากนักเตะรุ่นพี่ โดยเฉพาะนักเตะที่ชื่อว่า ทามาส พริสกิน กองหน้าดีกรีทีมชาติฮังการี ที่เคยไปเล่นในพรีเมียร์ลีกกับทีมอย่าง วัตฟอร์ด, ดาร์บี้, สวอนซี และทีมในระดับลีกรองอีกหลายทีม 

ในตำแหน่งแบ็กซ้ายของ เคอร์เคซ เขาต้องดวลกับ พริสกิน ที่แก่กว่าเขาเกือบ 20 ปีเป็นประจำ และหลายครั้งมันจบด้วยการโดนนักตะรุ่นน้าหลอกจนเสียหลัก แม้ตัวของ พริสกิน จะแทบไม่เหลือความเร็วเหมือนสมัยหนุ่่ม ๆ ก็ตาม 

มันเป็นช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวหลายสิ่ง การเล่นในระดับทีมชุดใหญ่ถูกปลูกฝังลงใส่ตัวเขาตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเฉพาะเรื่องการเล่นที่ไม่ต้องยั้ง ต้องใส่ให้เต็ม 100% ตั้งแต่สนามซ้อมเพื่อชิงการเป็น 11 ตัวจริงในสนามให้ได้ นอกจากนี้ พริสกิน ที่เป็นพี่เลี้ยงของ เคอร์เคซ ยังบอกด้วยว่าการจะเป็นนักเตะอาชีพต้องดูแลตัวเองแค่ไหนเมื่ออยู่นอกสนาม เรียกได้ว่าก้าวแรกสู่สังเวียนของ เคอร์เคซ แทบจะเกิดขึ้นจากที่นี่ทั้งหมดเลยก็ว่าได้ 

"ผมรู้สึกขอบคุณโค้ชที่ เยือร์ โดยเฉพาะ ปีเตอร์ สตาร์ค และ ซานโดร ซาโต้ ที่ช่วยพัฒนาผมจนถึงจุดที่สามารถดึงศักยภาพของตัวเองออกมาได้มากที่สุด"

"ผมไม่เพียงแต่กลายเป็นนักฟุตบอลที่ดีขึ้น แต่ยังเติบโตทางด้านจิตใจด้วย ผมคิดว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นจากช่วงเวลาที่ผมได้ใช้เวลากับทีมชุดใหญ่ในโรงแรมหลายสัปดาห์เนื่องจากสถานการณ์โควิด ผมได้เรียนรู้ในแง่มุมของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพและด้านมนุษย์จาก ทามาส พริสกิน ถ้าจะบอกว่าครอบครัวนี้คือครอบครัวที่  2 ของผมก็ต้องพูดว่าแบบนั้น ... ผมมีแต่ช่วงเวลาแห่งความสุขและน่าจดจำที่นี่ทั้งสิ้น" เคอร์เคซ ว่า

เขากลายเป็นดาวรุ่งระดับประเทศในเวลาต่อมาจาก เรื่องของแววหรือฝีเท้าอาจจะมีติดตัวมาอยู่แล้ว แต่ประสบการณ์ทั้ง 2 ด้านที่รุ่นพี่ในทีมหลายคนช่วยกันปลูกฝัง ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญในช่วงการเติบโตของเขา ในวัย 16 ปี เขาถูกทาบทามจากทีมชาติ ฮังการี ให้ขึ้นมาติดทีมเยาวชนชุด ยู 21 แล้ว แม้ว่า เคอร์เคซ จะเกิดที่เซอร์เบีย และโตที่ออสเตรีย ทว่าสุดท้ายเขาเลือกฮังการี นอกจากเรื่องของเชื้อชาติแล้ว เขาก็รู้สึกว่าตัวเองผูกพันกับทาง ฮังการี มากกว่า โดยเฉพาะกลุ่มนักเตะฮังการี ที่เป็นเพื่อนสนิท และช่วยพัฒนาเขาในหลาย ๆ ด้าน 

ซึ่งลีลาในระดับทีมชาติชุดเยาวชนนี่แหละ ที่เป็นการเปิดประตูให้เขาได้กลายเป็นสมาชิกของสโมสรที่ยิ่งใหญ่อย่าง เอซี มิลาน ในฤดูกาล 2021-22 ด้วยเสียงจากปลายสายของ เปาโล มัลดินี่ แบ็กซ้ายระดับตำนานอันดับ 1 ของโลกลูกหนัง

 

เอซี มิลาน และ อาแซด อัลค์มาร์

เอซี มิลาน ติดตามดูฟอร์มของ เคอร์เคซ มาตั้งแต่อายุ 17 ปี ช่วงที่เขาเป็นตัวจริงของสโมสรและเป็นตัวหลักในระดับเยาวชนทีมชาติฮังการี และคนที่คอยติดตามดูเขาใกล้ชิดโดยที่เขาไม่เคยรู้ก็คือ เปาโล มัลดินี่ ตำนานแบ็กซ้ายหมายเลข 1 ที่ ณ เวลานั้นรับตำแหน่งประธานเทคนิคของ เอซี มิลาน อยู่ 

เคอร์เคซให้สัมภาษณ์ไว้ว่า "เมื่อ เปาโล มัลดินี่ โทรหาผม ผมไม่ต้องคิดอะไรอีกเลย ผมตัดสินใจทันทีว่าจะไปมิลาน" ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาย้ายไปเล่นในอิตาลี 

ภายหลังมีการเปิดเผยว่า มัลดินี่ ไม่ได้แค่โทรหาเท่านั้น แต่ยังเป็นคนที่ติดตามดูฟอร์มของเขาอย่างจริงจัง และเป็นผู้ผลักดันการดึงตัวเข้าสโมสร โดยมิลานถึงกับส่ง เครื่องบินส่วนตัว ไปรับตัวเขา เพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงที่อยากจะได้เขามาร่วมทีม นั่นทำให้ เคอร์เคซ บอกปัดทุกทีมและเลือก มิลาน แทบจะในทันที 

สำหรับนักเตะอายุ 17 ที่เล่นในลีกระดับสองของฮังการี การได้รับโทรศัพท์จากนักเตะระดับตำนาน ถือเป็น แรงผลักดันและกำลังใจมหาศาล และการย้ายทีมครั้งนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนลีก แต่เป็นก้าวกระโดดระดับอาชีพที่ไกลมาก ซึ่ง เคอร์เคซ ก็เล่าในภายหลังว่าการได้มาที่นี่ทำให้เขาได้เห็นถึงระดับการเล่นของนักเตะแถวหน้าโดยเฉพาะคนที่คอยขวางทางเขาอย่าง เตโอ แอร์กน็องเดซ แบ็กซ้ายทีมชาติฝรั่งเศส ที่ยึดตัวจริงให้ มิลาน ในเวลานั้น

สำหรับ เคอร์เคซ นั้น เตโอ เปรียบเสมือนคู่แข่งที่ทำให้เขาฮึกเหิมและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า เตโอ นั้นเล่นได้อย่างแข็งแกร่งจนเขานั้นอยากจะเติบโตไปในแนวทางนั้น แต่ในขณะเดียวกันยิ่งเขาเห็น เตโอ เล่นและซ้อมในทุก ๆ วัน เขาก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองในเวลานั้นจะสามรถเบียดแบ็กพลังไดนาโมอย่าง เตโอ ขึ้นมาเป็น 11 ตัวจริงของ มิลาน ได้หรือไม่ 

"ผมดู เตโอ (แอร์กน็องเดซ) บ่อยมาก และยังคงดูอยู่ เขาสอนผมหลายอย่างเกี่ยวกับการเล่นเกมรุก เช่น วิธีวิ่งหาช่องด้านใน วิธีสร้างพื้นที่ด้วยความเร็วที่เรามี และวิธีใช้ความเร็วของเราให้เกิดประโยชน์สูงสุด" เคอร์เคซ กล่าว

แต่ก็อย่างที่ได้บอกไป ในอีกทางหนึ่ง ยิ่ง เตโอ ท็อปฟอร์มเท่าไหร่ เคอร์เคซ ก็รู้สึกว่ามันอาจจะดีกว่าหากเขาย้ายออกไปเล่นที่อื่นเพื่อหาประสบการณ์ให้มากกว่านี้ เพราะหากยังอยู่กับ มิลาน ต่อไป ก็ยากยิ่งที่จะเบียด เตโอ ในยุคร่างทองได้ 

เคอร์เคซ รู้สึกว่าเขาควรได้รับโอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่มากกว่านี้ และการไม่ได้รับโอกาสนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาตัดสินใจย้ายไปยัง อาแซด อัลค์มาร์

"ผมคิดว่าตัวเองคิดถูกที่เลือกจะย้ายทีมออกมา การมาเล่นในดัตช์ลีกเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยม มันทำให้ผมได้ลงเล่นต่อเนื่องซึ่งเป็นสิ่งที่ดาวรุ่งคนหนึ่งควรได้รับมากที่สุด เพราะที่ อาแซด ผมได้ลงเล่น ผมได้เจอคู่แข่งในลีกทุกสัปดาห์ และออกไปเจอกับคู่ต่อสู้ในระดับยุโรปอยู่ทุกซีซั่น สิ่งที่เกิดขึ้นในสนามซ้อมต่อให้มากเท่าไหร่ก็ไม่เท่าประสบการณ์จริง การมาที่นี่นี่แหละทำให้ผมได้พาตัวเองไปยังก้าวต่อไปที่รออยู่" เคอร์เคซ กล่าว

เคอร์เคซ เป็นตัวหลักของ อาแซด แทบจะในช่วงเวลาไม่ถึง 2 เดือนหลังจากย้ายทีมมาในปี 2022 ช่วงเวลานั้นเขาก้าวขึ้นมาติดทีมชาติฮังการีชุดใหญ่ และชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังมากขึ้นในฐานะแบ็กจอมบุกที่สถิติยิงประตูและแอสซิสต์ดีสม่ำเสมอ และมันทำให้ทีมงานแมวมองของ บอร์นมัธ ในพรีเมียร์ลีกติดตามเขาอย่างใกล้ชิด และตัดสินใจคว้าตัวเขามาร่วมทีมในฤดูกาล 2023-24 ที่ อันโดนี่ อิราโอล่า กุนซือชาวสเปนเข้ามาคุมทีมเป็นครั้งแรก

 

เห็นแล้วชอบเลย

ตามรายงานของแมวมองบอร์นมัธได้ระบุสิ่งที่พวกเขาเห็นจาก เคอร์เคซ ว่าเคอร์เคซเป็นแบ็กซ้ายที่มีความเร็วสูงและมีความแข็งแกร่งทางร่างกาย เขามีความสามารถในการเติมเกมรุกและป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

และทุกอย่างที่กล่าวมาจะเติบโตไปดีอีกภายใต้ฟุตบอลของ อิราโอล่า ที่มีแผนการเล่นที่เน้นการบุกจากแนวหลังและการกดดันสูง เคอร์เคซ มีคุณสมบัติที่ตรงกับความต้องการนี้ โดยเฉพาะความสามารถในการเติมเกมรุกและการเล่นในระบบเพรสซิ่งที่เข้มข้น

เหนือสิ่งอื่นใดคือเรื่องของคาแร็คเตอร์ ที่ เคอร์เคซ ตอบกับ อิราโอล่า ว่า "จะกลายเป็นแบ็กเบอร์ 1 ของโลกในอนาคต" มันเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่น เขาบอกว่าเขาเต็มใจจะเล่นให้กับ บอร์นมัธ และเชื่อว่าฟุตบอลของ อิราโอล่า จะผลักดันเขาไปถึงจุดที่เขาตั้งเป้าไว้

และทุกอย่างหลังจากนั้นก็เสริมส่งกัน อาจจะไม่ได้ใช้เวลาเร็วนัก แต่เมื่อ อิราโอล่า จูนระบบการเล่นของเขาให้กับนักเตะของ บอร์นมัธ ติด ทุกอย่างก็ดูลื่นไหลดุดัน เปลี่ยน บอร์นมัธ จากทีมระดับท้ายตารางกลายเป็นทีมที่อยู่รอดสบาย ๆ และเป็นทีมที่เล่นเกมบุก เกมบู๊ ได้มันที่สุดในพรีเมียร์ลีกทีมหนึ่้ง ซึ่งแน่นอนว่า เคอร์เคซ เป็นแกนสำคัญในการขึ้นเกมทางด้านซ้ายที่รับ-รุก ไม่มีหมด และปรากฏตัวแต่ละเกมด้วยความโดดเด่นขึ้นเรื่อย ๆ 

ถ้าคุณได้ดูพรีเมียร์ลีก คุณคงไม่สงสัยมากนักว่าทำไมเขาถึงได้รับคำชมากมายขนาดนี้ ทุกอย่างที่แมวมอง บอร์นมัธ ส่องมาในข้างต้นปรากฏออกมาในสนามจริง ไม่ได้มีการขายฝัน และด้วยวัย 21 ปีแบบเขา มันหายากจริง ๆ ที่จะมีนักเตะคนหนึ่งที่มีประสบการณ์ค่อนข้างครบทั้งการเป็นตัวหลักในสโมสร การติดทีมชาติเป็นประจำ การมีผลงานที่โดดเด่นในทุกสัปดาห์ สม่ำเสมอและโดดเด่นขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีข่าวกับทีมใหญ่อย่าง ลิเวอร์พูล ในเวลานี้ 

ลิเวอร์พูล จะได้อะไรจากเขา คงไม่ต้องพูดกันเยอะ ในยุคสมัยที่ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ฮีโร่คนเก่าร่วงโรย เคอร์เคซ แทบจะถอดพิมพ์ "ร็อบโบ้" ตอนหนุ่มออกมาเลย ซึ่งเรื่องดังกล่าวสามารถยืนยันด้วยสถิติต่างมากมาย เช่นในเกมรุกที่ เคอร์เคซ ยิงไป 3 ประตูทำไปอีก 7 แอสซิสต์ สร้างโอกาสำคัญให้กับทีมให้ถึง 11 ครั้ง และส่ว่นใหญ่เกิดจากการครอสบอลจากด้านข้างทั้งสิ้น 

นอกจากสถิติเกมรุกแล้ว เคอร์เคซ ก็ยังเป็นแบ็กที่ไม่ทิ้งเกมรับ เพราะเป็นสไตล์ขึ้น-ลง ตลอดเกมอยู่แล้ว ปีนี้กับ บอร์นมัธ สถิติการเข้าแท็คเกิลของเขาค่อนข้างโดดเด่น โดยเข้าปะทะไปทั้งหมด 100 ครั้ง และเป็นฝ่ายชนะเกินครึ่ง (53%) ส่วนสถิติการดวลชนะ การตัดบอล และการเก็บบอลจังหวะ 2 ก็เป็นสิ่งที่ เคอร์เคซ ทำได้ดีตอนที่อยู่กับ บอร์นมัธ เช่นกัน 

ผลงานเหล่านี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความสามารถในการเล่นเกมรุกและเกมรับของ เคอร์เคซ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสม่ำเสมอและความทุ่มเทของเขาในสนาม การที่เขาได้รับความสนใจจากสโมสรใหญ่อย่าง ลิเวอร์พูล และ เรอัล มาดริด ก็เป็นเครื่องยืนยันถึงศักยภาพและผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขาในฤดูกาลนี้

ตอนนี้การอยากเป็นเบอร์ 1 ของโลกสำหรับเขาไม่ใช่เรื่องฝันเฟื่องอีกต่อไปแล้ว ... นี่คือก้าวสำคัญ ก้าวต่อไปที่รออยู่ของเขา ถ้าเขายังพัฒนาได้อีก รับรองได้ว่าทีมไหนที่ได้ตัวเขาไปจะต้องคุ้มค่าในระยะยาวแน่ ๆ สำหรับแบ็กซ้ายที่อายุแค่ 21 ปีแต่โดดเด่นขนาดนี้ 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.theguardian.com/football/2024/dec/14/milos-kerkez-bournemouth-premier-league-football
https://www.transfermarkt.com/deal-moves-closer-why-liverpool-want-bournemouths-marauding-left-back-milos-kerkez/view/news/454109
https://gianlucadimarzio.com/milos-kerkez-interview-bournemouth/?utm_source=chatgpt.com
https://pestisracok.hu/magyar-valogatott-szeretne-lenni-a-gyor-tizenhet-eves-vajdasagi-labdarugoja-akiert-az-ac-milan-kulongepet-kuldott/
https://scoutedftbl.com/milos-kerkez-before-bournemouth/?utm_source=chatgpt.com

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ