Feature

Beautiful Moment of Premier League รวมเหตุการณ์ความสวยงามสุดนุ่มลึก ของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024/2025

 

GUINNESS ในฐานะผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของ Premier League อยากชวนทุกคนมาติดตามเรื่องราว Beautiful Moment of Premier League  รวมเหตุการณ์ความสวยงามสุดนุ่มลึกของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024/2025 ในแบบ GUINNESS BEAUTIFUL GAME SOCIETY 

ฤดูกาล 2024/2025 พรีเมียร์ลีก ได้มอบช่วงเวลาอันทรงคุณค่าที่จารึก  ในความทรงจำของแฟนฟุตบอลทั่วโลก จากอารมณ์อันเปี่ยมล้นไปด้วยบรรยากาศ  อันแสนดื่มด่ำของการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 บนประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของ อาร์เน่อ ชล็อต กุนซือที่สร้างตำนานได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เข้ามาคุมทีม ไปจนถึงน้ำตาแห่งการล่ำลาของ เจมี่ วาร์ดี้  ทุกเรื่องราวล้วนซึมลึกเข้าสู่หัวใจขอ'แฟนบอลทั่วโลก

กระทั่งบทเรียนเรื่องความถ่อมตัว จากปากของ เออร์ลิง ฮาแลนด์ ที่กลายเป็นบูมเมอแรงย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง ความมหัศจรรย์ของประตูพิศวงจาก   ซานโดร โตนาลี่ ที่สร้างความงดงามจากความบังเอิญ ต่างเป็นดั่งองค์ประกอบที่ผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

GUINNESS BEAUTIFUL GAME SOCIETY ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมดื่มด่ำกับช่วงเวลาพิเศษเหล่านี้ไปพร้อมกัน เรื่องราวของฟุตบอลอันยอดเยี่ยมที่ผ่านการคัดสรร และบ่มเพาะอารมณ์ที่ลึกซึ้ง เราเชื่อว่าฤดูกาลพรีเมียร์ลีกที่ผ่านมา ได้มอบช่วงเวลาอันทรงคุณค่าที่จะถูกจารึกไว้ในความทรงจำตลอดไป..ติดตามพร้อมกันที่ Main Stand

 

การคว้าแชมป์สมัยที่ 20 บนลีกสูงสุด ความยิ่งใหญ่ที่แฟนลิเวอร์พูลต่างเฝ้ารอ
 
ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ได้ถูกจารึกลงบนผืนหญ้าแอนฟิลด์ เมื่อ ลิเวอร์พูล สามารถเปล่งเสียงคำรามดังกึกก้องด้วยการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมาครองได้เป็นสมัยที่ 20 ด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ 5-1 เหนือ สเปอร์ส ในเกมที่แฟนบอลหงส์แดง ทั่วโลกต่างรอคอยเสียงเพลง "You'll Never Walk Alone" ที่ดังกระหึ่มไปทั่วสนาม ในขณะเดียวกันน้ำตาแห่งความสุขก็ได้หลั่งไหลออกมาจากตาของผู้เล่นและแฟนบอลที่เฝ้ารอช่วงเวลานี้มานานแสนนาน

เสียงเฮด้วยความปีติยินดีดังกึกก้องไปทั่วเมืองลิเวอร์พูล เมื่อเสียงนกหวีดสุดท้าย ดังขึ้น บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองเริ่มต้นขึ้นทันที แฟนบอลหลั่งไหลลงสู่ท้องถนน  โบกธงสีแดง ขับร้องบทเพลงแห่งชัยชนะที่จะถูกจดจำไปอีกนาน

นี่คือช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่ผู้คนจะเล่าขานสู่ลูกหลานในอนาคตว่า  พวกเขาได้มีส่วนร่วมในการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 อันยิ่งใหญ่ของ "หงส์แดง"  และเป็นช่วงเวลาที่แสดงให้เห็นว่า ความอดทนรอคอยมักจะนำมาซึ่งความหอมหวาน  ในท้ายที่สุดเสมอ

ชัยชนะในครั้งนี้ถือเป็นการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ของสโมสร และเป็นการเทียบสถิติของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดอย่างยิ่งใหญ่  โดยมี อาร์เน่อ ชล็อต เป็นผู้นำทีมสู่ความสำเร็จในฤดูกาลแรกของการคุมทีม นับเป็นทีมที่ 7 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก  ที่สามารถคว้าแชมป์ได้เร็วถึง 4 นัด ก่อนจบฤดูกาล สร้างระยะห่างกับคู่แข่งอย่างอาร์เซน่อล ที่ไม่สามารถไล่ทันได้เลย ทั้งในทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ

ความพิเศษของการคว้าแชมป์ครั้งนี้ยิ่งเพิ่มทวีคูณ เมื่อเทียบกับการคว้าแชมป์ครั้งแรกในปี 2019/2020 ภายใต้การคุมทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์  ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด ที่แฟนบอลไม่สามารถเข้าชมเกมในสนามได้  ดังนั้นการได้ฉลองแชมป์ต่อหน้าแฟนๆ จึงถือเป็นโอกาสพิเศษสุดที่จะเกิดขึ้นในรอบ 35 ปี ของสโมสร

อาร์เน่อ ชล็อต ผู้สานต่อตำนานที่แอนฟิลด์อย่างงดงาม การก้าวลงจากตำแหน่งของ เยอร์เกน คล็อปป์ กุนซือผู้เป็นตำนานของลิเวอร์พูล  หลังจบฤดูกาล 2023/2024 ทำให้ อาร์เน่อ ชล็อต ต้องเผชิญกับความกดดันมหาศาลเมื่อเข้ามารับไม้ต่อ  ด้วยคำถามมากมายที่ว่า “ชล็อต” จะสามารถสานต่อความสำเร็จของทีมได้หรือไม่?  ท่ามกลางความคาดหวังสูงของแฟนบอล "หงส์แดง" ทั่วโลก

คำตอบที่ชัดเจนที่สุดได้ถูกพิสูจน์แล้วบนสังเวียนแอนฟิลด์ เมื่อการคว้าแชมป์ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการทาบสถิติของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นสมัยที่ 20 แต่ยังเป็นการพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของกุนซือชาวดัตช์ที่สามารถเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้เขากลายเป็นกุนซือคนแรกในประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ของลิเวอร์พูล  ที่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้ ในฤดูกาลแรกของการคุมทีม  ความสำเร็จอันน่าประทับใจนี้ยิ่งทวีความพิเศษ เมื่อพิจารณาถึงความกดดันมหาศาล ที่ต้องเผชิญหลังจากการจากไปของกุนซือผู้เป็นที่รักอย่าง คล็อปป์

ด้วยวิสัยทัศน์อันชาญฉลาดและปรัชญาการทำทีมที่สอดคล้องกับรากฐานที่มีอยู่เดิม “ชล็อต” สามารถพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในปีแรกของการคุมทีมได้อย่างน่าประทับใจ ยิ่งเมื่อพิจารณาว่าทีมมีการเสริมทัพเพียงแค่ เฟเดริโก้ เคียซ่า เพียงคนเดียวเท่านั้น บวกกับปัญหาการบาดเจ็บที่รบกวนการจัดตัวแผนผู้เล่นตลอดทั้งฤดูกาล ความสำเร็จนี้จึงเป็นการพิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

อีกหนึ่งสิ่งที่น่าประทับใจในช่วงท้ายเกมแห่งการเฉลิมฉลอง ชาวแอนฟิลด์ได้สัมผัสถึงวัฒนธรรมในการให้เกียรติซึ่งกันและกัน เมื่อ อาร์เน่อ ชล็อต ร่วมร้องเพลงขับขานชื่อของ เยอร์เกน คล็อปป์ แด่แฟนบอล เฉกเช่นเดียวกับที่กุนซือชาวเยอรมันเคยทำเพื่อเขาในเกมสุดท้ายเมื่อ 12 เดือนก่อน สะท้อนให้เห็นถึงการส่งต่อมรดกแห่งความสำเร็จจากรุ่นสู่รุ่นที่จะเติบโตงอกงามในปีต่อๆ ไป

 

การประกาศอำลาของ เจมี่ วาร์ดี้ กับการเดินทางอันแสนวิเศษ 13 ปี ในสีเสื้อเลสเตอร์ ซิตี้ 

ถ้ามีนิทานปรัมปราที่เล่าขานในวงการฟุตบอลอังกฤษ เรื่องราวของ เจมี่ วาร์ดี้ กับ เลสเตอร์ ซิตี้ คงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด การเดินทางจากนักเตะลีกล่างธรรมดา  สู่การเป็นตำนานผู้พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างเหนือความคาดหมาย ก่อนที่ทุกอย่างจะมาจบลงด้วยน้ำตาแห่งความผิดหวังในการตกชั้น แต่นั่นก็ไม่อาจลบเลือนความทรงจำอันแสนวิเศษที่เขาได้สร้างไว้ให้กับสโมสรแห่งนี้
 
"ผมได้ใช้เวลา 13 ปีที่น่าทึ่งกับสโมสรแห่งนี้ พร้อมกับความสำเร็จมากมาย มีช่วงเวลาที่ต่ำลงบ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข แต่ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ต้องบอกลา  ซึ่งผมรู้สึกเสียใจอย่างที่สุด แต่ผมคิดว่าจังหวะนี้เป็นเวลาที่เหมาะสม"
 
"ผมอยากขอบคุณพวกคุณทุกคนอย่างจริงใจที่รับผมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง เลสเตอร์  จะมีที่พิเศษในหัวใจของผมเสมอ และผมจะติดตามสโมสรในปีต่อๆ ไป  ซึ่งผมหวังว่าจะประสบความสำเร็จยิ่งๆ ขึ้นไป แต่สำหรับตอนนี้ นี่คือการบอกลาของผม แต่ทุกคนจะได้เห็นผมอีกครั้งในเร็วๆ นี้ ผมสัญญา ขอบคุณครับ"
 
มรดกที่ วาร์ดี้ ได้ทิ้งไว้ให้กับเลสเตอร์ ไม่ได้มีเพียงแค่ถ้วยรางวัล แต่ยังรวมถึงช่วงเวลาแห่งการหนีตกชั้นอย่างปาฏิหาริย์ในปี 2015 และการพาทีมเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก นอกจากนี้ เขายังซัด 18 ประตู  พาทีมคว้าแชมป์แชมเปี้ยนชิพในฤดูกาลที่แล้ว 

แม้จะจบลงด้วยความโศกเศร้า แต่ชื่อของ เจมี่ วาร์ดี้ จะยังคงถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของ เลสเตอร์ ซิตี้ ตลอดไป ในฐานะนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสร  ผู้พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์และสร้างเรื่องราวอันน่าจดจำที่จะถูกเล่าขานไปอีกหลายชั่วอายุคน  วันแห่งอารมณ์และความทรงจำของ แจ็ค กรีลิช

หนึ่งในช่วงเวลาที่สะเทือนอารมณ์ที่สุดของฤดูกาลนี้เกิดขึ้นในวันที่ แจ็ค กรีลิช ปีกทีมชาติอังกฤษจากทัพเรือใบสีฟ้า สามารถทำลายความเงียบที่ยาวนานกว่า 16 เดือนของเขาในพรีเมียร์ลีก ด้วยการยิงประตูแรกนับตั้งแต่ธันวาคม 2023 แต่สิ่งที่ทำให้โมเมนต์นี้พิเศษเหนือสิ่งอื่นใดคือวันที่ประตูนี้เกิดขึ้น ซึ่งตรงกับวันครบรอบ 25 ปีแห่งการจากไปของ "คีลัน กรีลิช" น้องชายของเขาที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นทารก
น้ำตาที่หลั่งรินออกมาหลังจบเกม และคำพูดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งในการให้สัมภาษณ์ของ กรีลิช ได้แสดงให้เห็นว่าฟุตบอลไม่ใช่เพียงแค่กีฬา  แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน 
ประตูนี้จึงไม่ใช่แค่ตัวเลขบนสกอร์บอร์ด แต่เป็นการบอกเล่าเรื่องราวแห่งความรัก  ความผูกพัน และการระลึกถึงที่ไม่เคยเลือนหายไปตามกาลเวลา  ทำให้ผู้ชมทั่วโลกได้สัมผัสถึงมิติที่ลึกซึ้งของนักเตะที่หลายคนอาจมองข้ามไป 

 

ซานโดร โตนาลี่ กับลูกยิงสุดพิศวงที่ยากเกินจะทำซ้ำ

ในวงการฟุตบอล ประตูที่สวยงามมักถูกจารึกไว้ในความทรงจำเสมอ และซานโดร โตนาลี่ มิดฟิลด์ชาวอิตาเลียนของ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด  ก็ได้สร้างช่วงเวลาแห่งความมหัศจรรย์ที่แฟนบอลจะจดจำไปอีกนาน ด้วยประตูสุดพิศวงในเกมที่ทีมเอาชนะเบรนท์ฟอร์ด ไปได้ด้วยสกอร์ 2-1

จังหวะดังกล่าวเกิดจากความตั้งใจเปิดบอลให้เพื่อนร่วมทีม  แต่ลูกบอลกลับโค้งมุดเสียบเสาไกลเข้าประตูอย่างเหนือความคาดหมาย ความพิเศษของประตูนี้อยู่ที่ความงดงามอันเกิดจากความบังเอิญ  แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงเทคนิคชั้นสูงและความแม่นยำของ โตนาลี่ ได้เป็นอย่างดี  จนทำให้ลูกยิงนี้ถูกเสนอชื่อเป็นหนึ่งในผู้เข้าชิงรางวัลประตูยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก

 

อเล็กซานเดอร์ อิซัค ทำลายสถิติสโมสรในรอบ 23 ปี

อเล็กซานเดอร์ อิซัค กองหน้าความเร็วสูงชาวสวีดิชของ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ได้จารึกชื่อของตัวเองลงในประวัติศาสตร์สโมสร ด้วยการเป็นผู้เล่นคนแรกในรอบ 23 ปีที่สามารถยิงประตูถึง 10 ลูกทั้งในเกมเหย้าและเกมเยือนภายในฤดูกาลเดียว สถิตินี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความคงเส้นคงวาในฟอร์มการเล่น  แต่ยังสะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน

ความสำเร็จของ อิซัค ที่สามารถทำประตูได้อย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นเกมเหย้าหรือเกมเยือน ทำให้เขากลายเป็นหัวใจสำคัญในแนวรุกของทีม "สาลิกาดง"   ที่มุ่งมั่นไล่ล่าโควตาฟุตบอลยุโรปในฤดูกาลนี้ นี่คือรางวัลแห่งความพยายาม ที่เขาไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและอาการบาดเจ็บที่เคยรบกวนในฤดูกาลก่อน


 
ไมล์ส ลูอิส-สเคลลี่ ดาวรุ่ง-อนาคตโรจน์ จากอาร์เซน่อล

โลกฟุตบอลมักจะมีนักเตะดาวรุ่งที่ก้าวขึ้นมาสร้างความประทับใจในทุกฤดูกาลและในปีนี้ชื่อของไมล์ส ลูอิส-สเคลลี่ วัย 18 ปีจากอาร์เซน่อล คือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด แบ็คซ้ายร่างเล็กได้พิสูจน์ให้เห็นว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข ด้วยฟอร์มการเล่น ที่เกินความคาดหมายจนได้รับการยอมรับจากทั้งแฟนบอลและเหล่ากูรู

พัฒนาการที่ก้าวกระโดดของ ลูอิส-สเคลลี่ ทำให้เขาได้รับโอกาสก้าวขึ้นสู่ทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ในยุคของ โธมัส ทูเคิล อย่างรวดเร็ว  แม้จะมีอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น เส้นทางอนาคตของแบ็คซ้ายรายนี้ จึงเต็มไปด้วยความหวังและความสดใสที่น่าจับตามอง เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของดาวรุ่งที่เติบโตขึ้นมา

 

"Stay Humble" เริ่มต้นจากความหยิ่งยโส จบด้วยการเอาคืนอย่างมีชั้นเชิง

เหตุการณ์อันเลื่องชื่อหลังเกมระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ อาร์เซน่อล ที่สนามเอติฮัด สเตเดียม เมื่อ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ พูดประโยค "Stay Humble"  (จงถ่อมตัวไว้) กับ มิเกล อาร์เตต้า หลังจากทำประตูได้  กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ไม่มีใครคาดคิด ด้วยท่าทีอันมั่นใจและคำพูดที่แฝงนัยยะ 

ฮาแลนด์ได้จุดประกายความขัดแย้งที่กลายเป็นเรื่องราวใหญ่ของฤดูกาลนี้ ทว่าเหมือนกรรมจะตามทัน เพราะหลังจากวันนั้น ฟอร์มของดาวยิงชาวนอร์เวย์ กลับดิ่งลงอย่างน่าใจหาย จากประตูที่เคยไหลมาเทมากลับขาดหายไป 

ความมั่นใจก็เริ่มถดถอย จนหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่าคำพูดนั้นกลายเป็นดั่ง  "บูมเมอแรง" ที่ขว้างไปยิ่งแรง ยิ่งกลับมาเร็ว.. และย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง  เป็นบทเรียนอันแสนเจ็บปวดที่สอนให้ทุกคนเข้าใจว่า ความถ่อมตัวคือคุณธรรมสำคัญที่นักกีฬาทุกคนพึงมี

ในเกมที่เอมิเรตส์ สเตเดียม เมื่ออาร์เซน่อลได้เผชิญหน้ากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้อีกครั้ง  คำว่า "Stay Humble" ได้ถูกส่งคืนอย่างสาสมและมีชั้นเชิง กาเบรียล มากัลเญส  กองหลังชาวบราซิเลียนได้วิ่งไปฉลองประตูที่ มาร์ติน โอเดการ์ด ทำได้ ต่อหน้า ฮาแลนด์  พร้อมกับตะโกนคำเดิมใส่ดาวยิงชาวนอร์เวย์กลับไป ในขณะที่ดาวรุ่งวัย 17 ปี

ไมล์ส ลูอิส-สเคลลี ยังเพิ่มเติมการขยี้ด้วยการฉลองท่านั่งสมาธิแบบที่  ฮาแลนด์ เคยใช้ ด้วยจังหวะเอาคืนที่ถูกจังหวะและเวลานี้ได้สร้างเสียงเฮลั่น จากแฟนบอลอาร์เซน่อล สะท้อนให้เห็นถึงความสาสมแก่ใจของผู้ที่เคยถูกดูหมิ่น

นี่ไม่ใช่เพียงแค่การชิงสามแต้ม แต่เป็นการเรียกศักดิ์ศรีกลับคืนมา และเหนือสิ่งอื่นใด  มันคือบทเรียนเรื่องความถ่อมตัวที่สะท้อนออกมาอย่างเจ็บแสบกลางสนามฟุตบอล ยืนยันว่าในกีฬานี้ ไม่มีใครเหนือกว่าใครตลอดไป และความโอหังอาจกลับมาทำร้ายตัวเองได้เสมอ 

 

เมื่อสัมผัสสุดท้ายของฤดูกาลนี้จางหายไป แต่ตะกอนความทรงจำยังคงตกผลึกอยู่ในหัวใจของแฟนบอลทั่วโลก ฤดูกาลพรีเมียร์ลีก 2024/2025 ได้มอบช่วงเวลาแห่งอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งความปีติยินดี ความสะเทือนใจ การพลิกล็อค และบทเรียนชีวิต ที่สอนให้ผู้คนเข้าใจถึงแก่นแท้ของกีฬาฟุตบอล ที่เป็นมากกว่าเกมการแข่งขัน แต่เป็นเรื่องราวความสวยงามที่เต็มไปด้วยมิติอันลึกซึ้ง

จากเสียงโห่ร้องแห่งความสุขที่สะท้อนกึกก้องไปทั่วเมืองลิเวอร์พูล ในวันที่ "หงส์แดง" คว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 จนถึงหยดน้ำตาของ แจ็ค กรีลิช ที่ไหลรินลงบนสนามหญ้าในวันที่เขายิงประตูอุทิศให้น้องชายผู้ล่วงลับ   สู่บทเรียนอันแสนเจ็บปวดในเรื่องความถ่อมตัวของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ เมื่อคำพูด  "Stay Humble" ย้อนกลับมาเล่นงานตัวเอง หรือแม้แต่การอำลาของ วาร์ดี้ 
ที่ถักทอเส้นทาง 13 ปี ให้กลายเป็นตำนานแห่งเลสเตอร์ ซิตี้ เฉกเช่นบางสิ่งที่ต้อง รอเวลาและใช้ความอดทน ทุกเรื่องราวในฤดูกาลนี้ล้วนเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ค่อยๆ ซึมลึกและเติบโตจนกลายเป็นเรื่องราวที่มีคุณค่า 

ความงดงามของฟุตบอล มิได้เป็นเพียงเกมลูกหนังในสนาม แต่หมายถึงเรื่องราวชีวิตที่สะท้อนผ่านการแข่งขันตลอด 90 นาที ที่บางครั้งมันคือความเจ็บปวด บางคราวมันคือความปีติ ขณะที่บางคนกำลังเริ่มต้น ส่วนบางคนกำลังบอกลา

แต่ทั้งหมดล้วนเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของเกมลูกหนังลีกสูงสุดของอังกฤษ ที่ได้สัมผัสหัวใจผู้คนทั่วโลก ในแบบ “Beautiful Moment of Premier League  รวมเหตุการณ์ความสวยงามสุดนุ่มลึกของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024/2025”  ตามแบบฉบับเรื่องราวสุดนุ่มลึก GUINNESS BEAUTIFUL GAME SOCIETY  ที่เราอยากให้คุณได้ลองสัมผัส

 

 

Author

ณัฐวุฒิ บุญโท

Ever Tried Ever Failed Try Again Failed Better.

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา