"กีกี้" เป็นชื่อเรียกตัวละครในเรื่อง "ไอ้มดแดง" ของเหล่าเด็กหนวดชาวไทย โดยตัวกีกี้คือ "นักรบระดับล่าง มีจำนวนมาก แต่สวนทางกับคุณภาพ"
อย่างไรเสีย บางครั้งตัวกีกี้ ก็เสียสละตัวเองเพื่อประโยชน์แก่องค์กร แบบที่ใครหลายคนได้มองข้ามไป
ไม่ใช่แค่โลกของการ์ตูนหรือภาพยนตร์ไลฟ์แอ็คชั่นเท่านั้น แม้แต่ในการแข่งขันฟุตบอล "ตัวกีกี้" ก็ใช่ว่าจะมีแต่บทอ่อน ๆ เป็นที่รองรับความเก่งกาจของฝ่ายตรงข้ามอย่างเดียว
และนี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล ที่เพิ่งคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยแรกในรอบ 30 ปี ทว่าปีต่อมา กลับประสบปัญหาสารพัด จนพวกเขาต้องใช้ "เหล่ากีกี้" ขึ้นมาเป็นแกนสำคัญของทีมในหลายช่วงเวลา
และบังเอิญว่าเหล่ากีกี้ ที่ก้าวขึ้นมารับบทนำ กลับทำหน้าที่ของเขาอย่างสุดความสามารถ และจบเรื่องอย่างกับนิยายดี ๆ สักเรื่อง
ย้อนติดตามเรื่องราวทั้งหมดกับ Main Stand
ใครจะคิดว่าลิเวอร์พูลมาถึงจุดนี้ ?
ลิเวอร์พูล รวมร่างสร้างทีมขึ้นมาทีละน้อย นับตั้งแต่พวกเขาแต่งตั้ง เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุมทีมในปี 2015 จากนั้นกุนซือชาวดอยช์ ก็เริ่มใช้งบประมาณที่มีจำกัด หาผู้เล่นที่เหมาะสม มาวางใส่ระบบที่เขาพยายามติดตั้งไว้ให้กับทีม ๆ นี้ ซึ่งย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น "เกเก้น เพรสซิ่ง" คือศาสตร์ฟุตบอลแบบใหม่ที่เข้ามาล้มล้างสไตล์ ติกิ ตาก้า ที่เกิดขึ้นจากฝั่งสเปนโดย บาร์เซโลน่า เป็นผู้สร้างเทรนด์ให้กับโลกลูกหนัง
คล็อปป์ หยิบผู้เล่นแต่ละคนมาอย่างแม่นยำ ประกอบจนกลายเป็นโคตรทีมในช่วงเวลาหนึ่ง ไล่เรียงมาตั้งแต่ ซาดิโอ มาเน่, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, โม ซาลาห์, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, อลีสซง เบ็คเกอร์, ฟาบินโญ่ และอื่น ๆ อีกหลายคน ซึ่งพวกเขาเหล่านี้สร้างช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมด้วยการพา หงส์แดง คว้าแชมป์ยุโรปในฤดูกาล 2018-19 ต่อด้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกที่รอคอยมากว่า 30 ปี ในฤดูกาล 2019-20
ความเป็นปึกแผ่นของทีมด้วยขุมกำลังที่ยอดเยี่ยม มีโค้ชที่ทำฟุตบอลแบบสมัยใหม่ มีทัศนคติในห้องแต่งตัวที่หลายทีมอิจฉา และนักเตะหลาย ๆ คนกำลังอยู่ในช่วงพีก มันชวนให้คิดว่าหลังจากที่พวกเขาเบิกแชมป์ลีกสูงสุดได้สำเร็จ ช่วงเวลาต่อไป คงเป็นช่วงเวลาที่ หงส์แดง ได้เฉิดฉาย ลุยคว้าแชมป์ไปยาว ๆ จากความพร้อมที่ทีมสร้างขึ้นจนเป็นรูปเป็นร่าง ทว่าไม่ทันได้รันกันยาว ๆ เพราะหลังจากเริ่มฤดูกาลต่อมา ปัญหาก็มาเยือนพวกเขาทันที
ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ไม่ค่อยใช้เงินเกินตัว และพยายามรักษาเพดานค่าเหนื่อยไม่ให้เกินกำหนดอยู่เสมอ ดังนั้นนโยบายดังกล่าวจึงทำให้การเสริมทัพหลังคว้าแชมป์ดูจืด ๆ ลงไป ซึ่งปกติแล้ว ทีมที่เป็นแชมป์มา จะเสริมแกร่งยกระดับตัวเองไปอีกขั้น แต่ลิเวอร์พูลยังคงเป็นลิเวอร์พูล พวกเขาเลือกซื้อนักเตะที่โปรไฟล์อาจไม่สวยมา และเน้นเอามาต่อยอด จนทำให้ทีมได้ คอสตาส ซิมิกาส มาจาก โอลิมเปียกอส ในราคา 12 ล้านปอนด์, ดิโอโก้ โชต้า จาก วูล์ฟส์ ในราคา 40 ล้านปอนด์ ที่เหลือเป็นการเสริมเพื่ออนาคตอย่าง มาร์เซโล่ ปิตาลูก้า ประตูชาวบราซิล และ เบน เดวี่ส์ จาก เปรสตัน นอร์ธ เอนด์
หนึ่งเดียวที่พอจะทำให้แฟนหงส์พอใจชื้นขึ้นมา และมองว่าเป็นการเสริมแบบสมราคาแชมป์พรีเมียร์ลีก เห็นจะเป็นดีลของ ติอาโก้ อัลคันทาร่า กองกลางชาวสเปนจาก บาเยิร์น มิวนิค ที่มีค่าตัวราว ๆ 20 ล้านปอนด์ ซึ่งมองจากจำนวนขาเข้าก็ไม่เลวนัก แต่ความจริง หากพิจารณาจากนักเตะขาออก จะเห็นได้ว่าสควอดของลิเวอร์พูลไม่ได้ใหญ่ขึ้นเลย เพราะในขณะที่ 3 คนที่จะใช้ในชุดใหญ่เข้ามา ขาออกก็เป็นตัวที่ใช้งานประจำอย่าง เดยาน ลอฟเรน, อดัม ลัลลาน่า รวมถึงดาวรุ่งอีกหลายคน ทั้ง มาร์โก กรูยิช และ ริอาน บรูวส์เตอร์
การมีสควอดที่เล็กนั้นมีความเสี่ยงแน่นอน สำหรับทีมที่ต้องพยายามลุ้นทุกแชมป์ที่ลงสนาม และดวงของ ลิเวอร์พูล ก็ต้องใช้คำว่า "แตก" ได้อย่างเต็ม ๆ เพราะหลังจากที่เริ่มฤดูกาลได้ไม่นานนัก ขุมกำลังที่มีน้อยอยู่แล้วต้องเริ่มเผชิญปัญหาทันที ตั้งแต่ช่วงออกสตาร์ท
ลิเวอร์พูล เอาชนะ 3 เกมแรกได้สำเร็จเหนือ ลีดส์, เชลซี และ อาร์เซน่อล ก่อนที่เกมวีกที่ 4 พวกเขาจะแพ้ในสกอร์ที่ไม่มีใครอยากจะเชื่อ ด้วยการแพ้ให้กับ แอสตัน วิลล่า ไป 2-7 และข่าวร้ายยังไม่จบเท่านั้น ในเกมกับ เอฟเวอร์ตัน ในแมตช์เดย์ที่ 5 นอกจากพวกเขาจะได้แค่ผลเสมอที่ กูดิสัน พาร์ค แล้ว ยังต้องเสีย ฟาน ไดค์ จากการบาดเจ็บจนต้องพักรักษาตัวจนจบซีซั่น
ซึ่งเมื่อลิเวอร์พูล ไร้ ฟาน ไดค์ อะไรที่เคยดูง่ายก็กลายเป็นยากไปหมด เท่านั้นยังไม่พอ การไม่ได้มองหาเซ็นเตอร์แบ็กเข้ามาเสริมแกร่ง ยังทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมา เพราะหลังจาก ฟาน ไดค์ เจ็บได้ไม่นาน ผู้เล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก อย่าง โจ โกเมซ, โจเอล มาติป ก็ทยอยเจ็บตามกันไป ซึ่งถ้าใครจำกันได้ ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ ลิเวอร์พูล โกลาหลที่สุดในยุคของ คล็อปป์ เลยทีเดียว
เบิกตัวกีกี้
มีการรวบรวมสถิติการบาดเจ็บ และการติดเชื้อ โควิด-19 ของนักเตะ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาล 2020-21 เอาไว้ และสถิติมันน่าสนใจมาก ๆ เพราะในฤดูกาลนั้นมีนักเตะตัวหลักของพวกเขาที่ไม่เจ็บไม่ป่วย มีส่วนร่วมกับทีมในทุกนัดในลีกคือ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ที่เหลือ ไม่ว่าจะเก่งมาจากไหน และฟอร์มในฤดูกาล 2019-20 ที่ทีมคว้าแชมป์ลีกจะดีแค่ไหน ทุกคนต่างได้รับบาดเจ็บ ไม่ก็ป่วยติดไวรัส กันแทบยกทีม และหลายคนหายจากทีมไปมากกว่า 6-8 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย
ไม่ว่าจะเป็นทีมไหน ถ้าได้เจอสถานการณ์แบบนี้ก็ต้องปวดหัวแบบสุด คล็อปป์ พยายามทำทุกอย่าง ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงผู้เล่นในแนวรับ แก้ปัญหาแบบสุดความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นการถอย ฟาบินโญ่ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ไปเป็นเซ็นเตอร์แบ็กเฉพาะกิจ แต่ก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ที่ทั้ง 2 คนซึ่ง พยายามช่วยทีมด้วยการเล่นในตำแหน่งที่ไม่ได้ถนัดได้ดีในระดับหนึ่ง ก็บาดเจ็บตามกันไปอีก
ว่ากันว่านอกจากเรื่องของการเสริมทัพที่มีปัญหาแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้ ลิเวอร์พูล เป็นเช่นนี้ (นักเตะเจ็บตลอดเวลา) เกิดจากวิธีการเล่นแบบเฮฟวี่เมทัลฟุตบอลตลอดหลายซีซั่นที่ผ่านมา ทำให้นักเตะหลายคนบาดเจ็บสะสม และทำให้ร่างกายของพวกเขากรอบ และมาออกอาการเอาในช่วงที่กลับมาแข่งขันฤดูกาลใหม่ ที่มีการเว้นวรรค และกฎต่าง ๆ เกิดขึ้นจากการระบาดของโควิด ซึ่งอาจจะทำให้ร่างกายของนักเตะไม่พร้อมจะรับศึกหนักแบบที่เคยเป็น
อย่างไรเสีย ปัญหาเกิดขึ้นแล้ว การเอาแต่อ้างฟ้าโทษดินคงไม่มีประโยชน์อะไร คล็อปป์ ทำในสิ่งที่เขาต้องทำ ด้วยการพยายามเอานักเตะจากชุดสำรอง หรือจากทีมเยาวชนมาแทนที่ และจากนั้น นักเตะที่แฟนบอลลิเวอร์พูลหลายคนก็แทบไม่ค่อยได้ยินชื่อ ก็ค่อย ๆ ปรากฏออกมาทีละคน ทีละคน
จากทีมแชมป์ยุโรปต่อด้วยแชมป์ลีกระดับที่ใครลงก็เล่นเหมือนเดิม เริ่มสั่นคลอนมากขึ้น เมื่อพวกเขาต้องใช้เหล่าตัวสมทบหรืออะไหล่ขึ้นมาแทนที่ นำโดย อาเดรียน ประตูเสือเฒ่าชาวสแปนิชที่ต้องมาทำหน้าที่แทน อลีสซง ถึง 6 เกมในทุกรายการ ไหนจะดาวรุ่งที่แฟนบอลอยากจะเห็นก็ได้โอกาสเร็วกว่าที่คิด อาทิ เคอร์ติส โจนส์ ที่ต้องลงเล่นถึง 34 เกมตลอดซีซั่น (เป็นตัวจริง 22 เกม) ตั้งแต่อายุ 18 ปี ซึ่งแน่นอนว่า ไอ้การได้เห็นดาวรุ่งหรือผู้เล่นหน้าใหม่ที่ลงเล่น มันก็เป็นเรื่องที่ตื่นเต้นสำหรับแฟนบอล แต่เรื่องของคุณภาพ ก็เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ เมื่อคุณส่งพวกเขาเหล่านี้ลงสนามแทนตัวหลักเช่นกัน
นอกจากรายชื่อที่กล่าวมายังมีชื่อของ โอซาน คาบัค กองหลังที่ยืมมาจาก ชาลเก้ 04, เบน เดวี่ส์ ที่ซื้อมาจาก เปรสตัน ด้วยราคา 5 แสนปอนด์ในช่วงตลาดหน้าหนาว อีกทั้งยังมีนักเตะของพวกเขาอย่าง นาธาเนียล ฟิลลิปส์ และ รีส์ วิลเลี่ยมส์ 2 เซ็นเตอร์แบ็กจากทีมสำรอง ที่แทบจะเป็นตัวหลักในปีนั้นเลย
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่ออะไหล่ขึ้นมาเล่นเป็นตัวหลักใน 11 ตัวจริงก็คือ ลิเวอร์พูล ประสบกับฤดูกาลที่แสนจะย่ำแย่ โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนธันวาคม ถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ พวกเขาเอาชนะคู่แข่งได้แค่ 3 เกมจากเกมลีกทั้งหมด 14 นัด และเกมในบ้านที่เคยแข็งแกร่งก็แพ้แม้กระทั่งทีมท้ายตารางอย่าง เบิร์นลี่ย์ และ ฟูแล่ม
กู้ศรัทธาโดยเหล่าตัวประกอบ
จากทีมที่เคยเก่งกาจ กลายเป็นทีมที่โดนแซวสนุกในโซเชียล วินาทีนั้นกองแช่งหลายคนเชื่อเหลือเกินว่า นักเตะเหล่านี้ที่โนเนม จะไม่มีทางช่วยทีมเปลี่ยนแปลงอะไรได้ โดยเฉพาะผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการ และเป้าหมายการไปฟุตบอลยุโรปแบบจบท็อป 4 เพราะเมื่อถึงช่วงต้นเดือนมีนาคม ลิเวอร์พูล ยังอยู่อันดับที่ 8 ของตารางคะแนนเลยด้วยซ้ำ
แม้นักเตะที่ถูกดันขึ้นมาจะทำผลงานได้ไม่ดี แต่ คล็อปป์ ไม่เคยตำหนิพวกเขาออกสื่อเลยแม้แต่คนเดียว หลายคนในกลุ่มดังกล่าว คล็อปป์ ยังให้สัมภาษณ์แบบเข้าใจ และให้กำลังใจนักเตะอย่าง คาบัค, ฟิลลิปส์ หรือ วิลเลี่ยมส์ เสมอ อาทิในเกมที่พวกเขาแพ้ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-3 ที่ คิง เพาเวอร์ สตเดี้ยม และกองหลังของทีม สื่อสารกับ อลีสซง ผิดพลาดจนทำให้ทีมเสียประตูง่าย ๆ ถึง 2 ลูก แต่หลังจบเกม คล็อปป์ ก็ให้สัมภาษณ์ว่า
"ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติของนักเตะอายุน้อย ผมเข้าใจและเชื่อว่าพวกเขาทั้งคู่จะเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อกลายเป็นผู้เล่นที่ดีขึ้นในอนาคต สิ่งที่พวกเขาเจอคือการกระโดดก้าวเข้ามาสู่ระดับการแข่งขันที่เข้มข้น แม้ผลงานอาจจะไม่ได้ดีที่สุด แต่อย่างน้อย ผมว่าพวกเขาเรียนรู้ และกำลังที่จะสอบให้ผ่านหลักสูตรการเล่นในระดับพรีเมียร์ลีกอย่างรวบรัด"
"พวกเขาคือเด็กหนุ่ม 2 คนที่ผมภูมิใจมาก และแค่นี้พวกเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างเหลือเชื่อแล้ว การที่พวกเขาก้าวขึ้นมาและพยายามยืนหยัดในเกมระดับนี้ มันจะช่วยส่งสัญญาณไปยังเด็กในอคาเดมี่ของเราทุกคนว่า การเล่นให้ทีมชุดใหญ่ล้วนเป็นไปได้ ตราบใดที่พวกคุณทำงานหนักเพื่อพัฒนาตัวเองเหมือนกับ 2 คนนี้" คล็อปป์ กล่าวชมท่ามกลางเสียงก่นด่า ที่แม้แต่แฟนบอลตัวเองก็มอบให้ดาวรุ่่งทั้ง 2 รวมถึงตัวสำรองคนอื่น ๆ ด้วย
คล็อปป์ รู้ว่าเขากำลังทำอะไร การมอบกำลังใจให้กับเด็กหนุ่ม คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาทั้งคู่ยังคงมั่นใจและมีสมาธิกับภารกิจที่ยังไม่จบ และจากคำชมที่ คล็อปป์ พูดถึงเหล่านักเตะสำรองหรือแข้งดาวรุ่งของพวกเขา มันกลายเป็นการจุดไฟให้พวกเขาเหล่านั้นทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ แม้จะสู้คนอื่นไม่ได้ แต่พวกเขาต่างรู้หน้าที่ตัวเองว่า พวกเขาจะต้องใส่ให้สุด รักษาผลการแข่งขันที่ดีที่สุดให้กับทีมเอาไว้ เพื่อให้ถึงช่วงปลายซีซั่น เหล่าตัวหลักจะหายกลับมา และสานต่องานที่พวกเขาสร้างไว้
"ผมพยายามทำตัวให้มีประโยชน์กับทีมมากที่สุด เพราะจะทำให้เหล่านักเตะตัวหลักได้เจองานง่ายที่สุด เมื่อพวกเขาพร้อมกลับมาช่วยทีม" นี่คือสิ่งที่ รีส์ วิลเลี่ยมส์ กล่าว มันแสดงให้เห็นว่าลึก ๆ แล้วเขาก็รู้ว่าผลงานตัวเองไม่มีทางเทียบเท่ากับ ฟาน ไดค์, โกเมซ หรือ มาติป ได้ แต่ในช่วงที่เขาลงสนามเป็นตัวจริง เขาจะทำให้ดีที่สุดในแบบของเขา และทำให้แต้มของทีมไม่ห่างท็อป 4 จนมากเกินไป
สู้ด้วยหัวใจ
แม้จะไม่เก่งเท่า แต่เรื่องหัวใจต้องบอกว่าเหล่า "ตัวกีกี้" หรืออะไหล่จำเป็นของ ลิเวอร์พูล ชุดนี้สอบผ่านฉลุย พวกเขาเริ่มปรับตัวได้ พวกเขาเริ่มไม่กลัวใคร และจากนั้นเมื่อเหล่าตัวหลักเริ่มกลับมา ลิเวอร์พูล ก็เริ่มไล่เก็บแต้มแบบเป็นกอบเป็นกำ โดยในช่วง 10 เกมสุดท้าย ลิเวอร์พูล ชนะถึง 8 นัดเสมอ 2 นัด และไม่แพ้ใครเลย
ลิเวอร์พูล กลับมาเดินเครื่องไล่บดคู่แข่งเพื่อเอาชนะอีกครั้งอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าคู่แข่งของพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม สุดท้ายแล้ว จากทีมอันดับ 8 ลิเวอร์พูล ในชุดที่ทุลักทุเลที่สุดในยุคของ คล็อปป์ ก็ทำได้ตามเป้าหมาย ... หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่า "เกินเป้า" ด้วยซ้ำ เพราะเดิมทีทีมตั้งความหวังไว้แค่ท็อป 4 แต่ทำไปทำมา พวกเขาสามารถจบอันดับ 3 ของตารางคะแนนได้อย่างไม่มีใครคาดคิด
และในช่วงท้ายซีซั่น มีซีนดราม่ามากมาย โดยเฉพาะการขึ้นมาโหม่งประตูชัยในเกมกับ เวสต์บรอมวิช ในเกมวีกที่ 36 ของ อลีสซง เบ็คเกอร์ มันยิ่งทำให้เห็นว่า เหล่าตัวประกอบที่แฟนบอลตัวเองยังยี้ในช่วงต้นซีซั่นของหงส์แดง ได้เล่นในจังหวะเดียวกับเหล่าขุนพลชุดแชมเปี้ยนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และคงต้องใช้คำของ คล็อปป์ ที่บอกว่าเหล่าตัวสำรองที่กล่าวมาทั้งหมด เหมือนกับคนที่ถูกจับโยนลงน้ำและพยายามว่ายด้วยตัวเองทันที พวกเขาผ่านหลักสูตรเร่งรัด พร้อม ๆ กับการฉลองชัยชนะที่ แอนฟิลด์ เหนือ คริสตัล พาเลซ 2-0
โดยหลังจากได้ชัยชนะในเกมนั้น แฟนบอลใน แอนฟิลด์ ร่วมร้องเพลงขอบคุณนักเตะทุกคนที่ช่วยพาทีมผ่านปีที่วุ่นวายและมากซึ่งปัญหาได้อย่างน่าภาคภูมิใจ โดยเฉพาะ 2 เซ็นเตอร์อย่าง ฟิลิปป์ส กับ วิลเลี่ยมส์ นั้นได้รับคำชมมากเป็นพิเศษ
"เราไม่มีทางมาถึงจุดนี้ได้ถ้าไมมีพวกเขา รีส์ วิลเลี่ยมส์ และ แนธ ฟิลลิปส์ สร้างความทรงจำดี ๆ กับผมมากมาย ผมยังจำการเล่นของพวกเขาได้ดี พวกเขาลงเล่นทั้ง ๆ ที่มีผ้าพันแผลรอบหัว มีรอยแผลบาดเจ็บที่ใบหน้า แต่พวกเขาก็ยืนหยัดจนถึงหยดสุดท้ายทำให้เรามีฤดูกาลที่เหลือเชื่อนี้"
"เราเล่นกันด้วยหัวใจ ท่ามกลางช่วงเวลาที่ใครต่างบอกว่าเราต่ำกว่ามาตรฐาน แต่คุณต้องไม่ลืมว่าพวกเราเผชิญหน้ากับทีมต่าง ๆ โดยที่เราไม่เคยมีแบ็กโฟร์ครบชุด ไม่มีเซ็นเตอร์แบ็ก ไม่มีกองกลางตัวรับ เราพยายามกันมากและผ่านมันมาได้ ผมดีใจจริง ๆ ที่เด็ก ๆ ของผมทำผลงานได้ตามเป้าในตอนจบ" คล็อปป์ กล่าวทิ้งท้าย
มันค่อนข้างชัดเจนว่า นักเตะสำรองของทีมชุดฤดูกาล 2020-21 หลายคนไม่ดีพอที่จะเป็นตัวจริงในระยะยาว แต่อย่างน้อย ครั้งหนึ่งในชีวิต พวกเขาเคยแบกความกดดันลงเล่นให้กับทีมยิ่งใหญ่ที่สุดทีมหนึ่งแห่งเกาะอังกฤษ และใส่ความพยายามเกิน 100% จนทำให้พวกเขาถูกกล่าวถึงในบางช่วงบางตอนของประวัติศาสตร์มากมายหลายหน้าที่สโมสรได้สร้างเอาไว้
แม้พวกเขาไม่ใช่ตำนาน แต่สิ่งที่พวกเขาฝากไว้คือการแสดงให้เห็นว่า แม้ที่สุดแล้วพวกเขาจะไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด แต่เมื่อโอกาสมาถึง พวกเขาพร้อมจะรับมันและเปิดหน้าชนเพื่อรักษาเกียรติประวัติของสโมสรอย่างสุดความสามารถไม่ต่างกับนักเตะระดับโลกที่เป็น 11 ตัวจริงเลยแม้แต่น้อย
แหล่งอ้างอิง
https://www.forbes.com/sites/steveprice/2020/11/15/liverpools-injury-crisis-opens-up-202021-premier-league-title-race/
https://www.reddit.com/r/LiverpoolFC/comments/kcghl2/oc_liverpool_injuries_of_the_202021_season_as_of/#lightbox
https://en.wikipedia.org/wiki/2020%E2%80%9321_Liverpool_F.C._season#Transfers
https://liverpooloffside.sbnation.com/liverpool-fc-tactics-longform/2021/5/24/22450970/liverpool-offside-2020-21-premier-league-season-review-perspective-coronavirus-injuries-struggles
https://liverpooloffside.sbnation.com/liverpool-fc-tactics-longform/2021/5/25/22452707/liverpool-2020-21-review-memorable-alisson-goal-west-brom-firmino-salah-celebration-nat-phillips
https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/liverpool-injuries-premier-league-rivals-20562795