Feature

เควิน เดวี่ส์ : กองหน้าสไตล์โบราณผู้ทำสถิติแข้งแก่ที่สุดที่ธงอังกฤษครั้งแรก | Main Stand

แดน เบิร์น สร้างความฮือฮาด้วยการติดทีมชาติอังกฤษครั้งแรกในวัย 32 ปี ... แต่นี่ไม่ใช่นักเตะอายุเยอะที่สุดที่ติดทีมชาติครั้งแรก และเราจะพาคุณไปรู้จักเจ้าของสถิติคนนั้นอย่าง "เควิน เดวี่ส์"

 


กองหน้าที่เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่ระดับดิวิชั่น 3 และเจอปัญหามากมายจนไม่มีใครคิดว่าเขาจะติดทีมชาติที่มีตัวเลือกมากมายอย่างอังกฤษได้ ... แต่สุดท้ายมันก็เกิดขึ้นในวัยย่าง 34 ปี 

นี่คือเรื่องราวน่าประทับใจที่ Main Stand ไม่อยากให้คุณพลาด 

 

 เรื่องราววันนั้นที่ เชสเตอร์ฟิลด์

เควิน เดวี่ส์ เกิดเชฟฟิลด์ แคว้นยอร์คเชียร์ และเขาคือแฟนบอลของ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ตั้งแต่ยังเด็ก ตั้งความฝันเหมือนกับเด็กทั่ว ๆ ไปที่อยากจะเป็นนักเตะของทีมที่ตัวเองรัก แต่ว่าในโลกของฟุตบอลนั้นผู้ผิดหวังมีมากกว่าเสมอ เพราะมีคนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่จะทำได้ตามที่ตัวเองหวัง 

ตัวของ เดวี่ส์ เองก็เช่นกัน เขาพยายามทำตามฝันและเคยได้เป็นนักเตะของ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นนักเรียน เพียงแต่ว่ามาถึงช่วงหนึ่งฝีเท้าของเขาก็ไม่ดีพอและโดน เชฟฯยูฯ ปล่อยออกจากทีมตั้งแต่อายุ 15 ปี

ความผิดหวังไม่ได้ทำให้เขาหยุดเดิน เดวี่ส์ เลือกที่จะไปทดสอบฝีเท้ากับ เชสเตอร์ฟิลด์ ทีมระดับดิวิชั่น 3 (ลีกทู ในปัจจุบัน) และได้รับสัญญานักเตะสมัครเล่นตอนอายุ 16 ปี ซึ่งที่นี่ดูจะเหมาะกับเขา ฟุตบอลที่ควาเช้มข้นน้อยกว่า คู่แข่งเก่ง ๆ ทั้งฝั่งตรงข้ามและในทีมน้อยกว่า ทำให้ เดวี่ส์ ได้โอกาสลงสนามให้ทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 18 ปี โดยตำแหน่งแรกของเขาคือ "ปีกขวา" และกลายเป็นตัวหลักตั้งแต่ฤดูกาล 1993-94 เป็นต้นมา 

เดวี่ส์ อยู่กับ เชสเตอร์ฟิลด์ 4 ฤดูกาลทผลงานยอดเยี่ยมททุกซีซั่น มีทั้งประตู และแอสซิสต์ที่น่าประทับใจทำให้สื่อหลายเจ้าเริ่มทำข่าว "พรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ในลีกล่าง" รายงาน ณ เวลานั้นบอกว่านี่คือนักเตะน่าจับตากมอง เควิน เดวี่ส์ เป็นดาวรุ่งที่ร่างกายดีมากตัวใหญ่และแข็งแรง แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือทักษะเวลาที่เขาเล่นกับลูกฟุตบอล และไอคิวฟุตบอลที่คาดการณ์ล่วงหน้าได้ดี 

"นี่คือนักเตะดาวรุ่งที่มีรูปร่างยอดเยี่ยมมาา สูงใหญ่ แข็งแร่ง และมีความเร็วในระดบัที่เอาตัวรอดได้ ทักษะการครอบครองบอลของเขานั่นคือพรสวรรค์และเขาทำมันได้อย่างเป็นธรรมชาติ และส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมาเมื่อเขาได้ลงเล่นมากขึ้นคือความฉลาดหัวไว ปรับตัวเอาประวบการณ์ที่ได้เจอมาพัฒนาตัวเองได้ดีมาก ๆ นั่นทำให้เขาเป็นนักเตะที่มีประสิทธิภาพ" จอห์น ดันแคน โค้ชของ เชสเตอร์ฟิลด์ ว่าไว้

"นี่คือนักเตะที่มีมาตรฐานสูงกว่าระดับดิวิชั่นล่างไปแล้ว ถึงเวลาที่เขาจะไต่ระดับขึ้นไปแล้ว ผมว่าเขาพร้อมรับมือกับอะไรที่มันกดดันได้มากกว่านี้แน่นอน"

จุดแข็งดังกล่าวทำให้มีหลายทีมสนใจอยากจะได้ตัวเขามาร่วมทีม โดยเฉพาะทีมระดับพรีเมียร์ลีกอย่าง เซาธ์แฮมป์ตัน ที่ยื่นข้อเสนอถึง 1 ล้านปอนด์ และนั่นมากพอที่จะทำให้ เชสเตอร์ฟิลด์ ปล่อยนักเตะที่เก่งที่สุดในรอบ 10 ปีของพวกเขาออกมา เพราะราคาดังกล่าวถือว่าเยอะมากแล้วสำหรับดาวรุ่งในช่วงปลายยุค 1990s 

แกรม ซูเนสส์ กุนซือของ เซาธ์แฮมป์ตัน คือคนที่ร้องขอให้สโมสรยอมเสี่ยงกับดาวรุ่งคนนี้ เขารู้ดีว่า เดวี่ส์ จะเป็นนักเตะที่ดีได้ หากได้รับการพัฒนาและเหลาให้คมขึ้นอีกในระดับพรีเมียร์ลีก 

 

เป็นได้แค่จอมพเนจร 

ซูเนสส์ เล่าว่าเขาช้าไม่ได้ในการปิดดีล เดวี่ส์ เพราะ ณ เวลานั้นนักเตะก็ได้รับความสนใจจาก จอร์จ เกรแฮม กุนซือของ อาร์เซน่อล ซึ่ง 1 ล้านปอนด์ ที่จ่ายไปก็คุ้มค่ามาก เพราะปีแรกกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ในระดับพรีเมียร์ลีก เดวี่ส์ ยิงประตูในเกมแรกของเขากับ แบล็คเบิร์น จากนั้นก็กดไป 12 ประตู พาตัวเองติดทีมชาติอังกฤษชุดยู 21 ในทันที 

ปีเดียวก็พอแล้วสำหรับ เซาธ์แฮมป์ตัน เพราะในฤดูกาล 1998-99 แบล็คเบิร์น ที่เป็นทีมระดับกลางค่อนบนของพรีเมียร์ลีก ยอมจ่ายเงินมากถึง 11 ล้านปอนด์ให้กับ เซาธ์แฮมป์ตัน เพื่อซื้อ เดวี่ส์ ไปร่วมทีม ด้วยราคามากกว่า 1 ปีก่อนถึง 10 เท่า 

จุดนี้เป็นจุดวัดใจมาก ๆ เพราะสปอตไลท์ฉายมาที่เขาแล้ว หากเทียบในตลาดเดียวกันเขาราคาเท่า ๆ กับที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ซื้อ ดไวท์ ยอร์ค จาก แอสตัน วิลล่า ไปร่วมทีม ต่างกันที่ เดวี่ส์ อายุแค่ 21 ปี ทำให้ทุกคนสนใจเขามากเป็นพิเศษว่าจะต่อยอดจากปีที่ยอดเยี่ยมกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ได้หรือไม่

ทว่าในช่วงเวลาที่วัดใจว่าจะรุ่งไปสุด ๆ หรือเป็นนักเตะในระดับกลาง ๆ มันก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ เดวี่ส์ เริ่มต้นเส้นทางการเป็น "จอมพเนจร" อย่างเป็นทางการ

ในปีดังกล่าวเขามีปัญหาจากการป่วยเป็นโรคติดเชื้อในลำคอ ยิงได้แค่ 2 ลูกตลอด 2 ปีที่อยู่กับทีม อีกทั้งภาพรวมของทีมก็ถดถอยลงมากจนถึงขนาดตกชั้นไปดิวิชั่น 1 (เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ในปัจจุบัน) เรียกได้ว่า 2 ปีนั้นทำเอา เดวี่ส์ ที่ถูกยกย่องให้เป็นความหวังดาวยิงทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ และเคยถูกนำไปเทียบกับ อลัน เชียร์เรอร์ เพราะมีเส้นทางคล้าย ๆ กัน (ย้ายจาก เซาธ์แฮมป์ตัน ไป แบล็คเบิร์น ในช่วงดาวรุ่ง) รู้สึกผิดหวังเป็นครั้งแรกในอาชีพของเขา... และแน่นอนว่ามันยังไม่จบแค่นั้น 

เมื่อ แบล็คเบิร์น ตกชั้น เดวี่ส์ ก็ถูกขายออกเพื่อนำเงินเข้ามาพยุงสโมสร เจ้าตัวกลับไปเล่นที่ เซาธ์แฮมป์ตัน ทีมที่เขาสร้างชื่อเสียงอีกครั้ง แต่หนนี้อะไร ๆ ก็ไม่เหมือนเดิม กุนซือคนเก่าอย่าง ซูเนสส์ ที่เชื่อมั่นในตัวเขาไม่อยู่แล้ว และคนที่ซื้อเขาเข้ามาอย่าง เกล็น ฮอดเดิ้ล ก็โดนไล่ออกหลังคุมทีมได้ไม่นาน ความมั่นใจและโอกาสการเล่นเขาก็ลดน้อยลงไป

โดยเฉพาะอย่ายิ่งในตอนนั้นต้องยอมรับว่าเขาไม่ใช่ดาวรุ่งคนดังอีกต่อไปแล้ว มีคลื่นลูกใหม่เข้ามาแทนที่ และแสงก็ส่องไปที่ผู้มาใหม่อย่าง 2 คู่หูในแนวรุกอย่าง มาเรียน ปาฮาร์ส กองหน้าชาวลัตเวีย และ เจมส์ บีตตี้ ดาวรุ่งดวงใหม่ที่เล่นสไตล์เดียวกันกับเขาแทบจะคัดลอกกันมามากกว่า 

4 ปีที่ เซาธ์แฮมป์ตัน จึงเป็นช่วงเวลาที่ เดวี่ส์ บอกว่าเขารู้สึกผิดหวังในตัวเอง และโดดเดี่ยวมาก ๆ สถิติการทำประตูของเขาถดถอยลงมาก ชนิดที่ว่าจากคนที่ยิงปีละเกือบ 20 ลูก เดวี่ส์ เล่นกับ เซาธ์แฮมป์ตัน 4 ปี เขายิงได้แค่ 13 ลูกจาก 100 นัด ... "คุณจะเป็นกองหน้าได้ยังไงถ้ายิงประตูได้น้อยขนาดนั้น ?" คำถามนี้เกิดขึ้นบนหน้าสื่อ และแฟนบอลนักบุญแดนใต้ 

อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ตัวของ เดวี่ส์ เองก็คิดแบบนั้น เขาดิ่งดาวน์สุดขีดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทีมบอกว่าเมื่อจบฤดูกาล 2003-04 เขาต้องออกจากทีมหลังสัญญาหมดลง และจะไม่มีสัญญาฉบับใหม่สำหรับเขา 

นี่คือความโหดร้ายของโลกฟุตบอล มีคนพร้อมจะโดนทิ้งตลอดเวลาหากว่าพวกเขาไม่ดีพอ ... ทว่าเคราะห์ดีที่ชะตากรรมของเขาที่กำลังจะดิ่งพสุธาต้องเจอจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะคนที่มองทะลุสถิติยิงประตูอันย่ำแย่ของเขา และเห็นสิ่งที่ลึกยิ่งกว่านั้นคือกุนซือผู้ได้ฉายาว่า "จอมปลุกผี" อย่าง แซม อัลลาร์ไดซ์

 

เบ่งบานในวัยเก๋า

เดวี่ส์ ไม่ใช่นักเตะดาวรุ่งอีกแล้ว ความแข็งแกร่งยังมี แต่สปีดและความเร็วหายไปเเยอะมาก ตัวของเขาใหญ่ขึ้นตามอายุ แต่ อัลลาร์ไดซ์ บอกว่า "สิ่งที่ผมเห็นในตัวเขาคือสิ่งต่าง ๆ ที่เขาทำนอกจากการยิงประตู" 

"ถ้าคุณมองเห็นแต่ประตูคุณอาจจะตัดสิน เควิน แบบผิด ๆ คุณจะต้องมองให้ลึกว่าเขาจะนำพาอะไรมาสู่ทีมของคุณได้ สำหรับผมนี่คือนักเตะที่มีความสามารถรอบด้าน ทักษะการครอบครองบอล คาดการณ์ล่วงหน้า การตัดสินใจที่รู้ว่าอะไรควรทำในเวลาไหน ... นี่คือคุณสมบัติกองหน้าที่ผมต้องการ" 

อัลลาร์ไดซ์ ได้ตัว เดวี่ส์ มาแบบฟรี ๆ ไม่เสียสตางค์แม้แต่เพนนีเดียว เขามองว่า เดวี่ส์ คือกุญแจสำคัญในการสร้างเกมรุกของ โบลตัน ยุคนั้นซึ่งถือว่าเป็นยุคที่คลาสสิกโดนใจแฟนบอล มีภาพจำที่ชัดเจนจนกระทั่งทุกวันนี้ เพราะนีคือทีมที่เต็มไปด้วยแข้งตัวเก๋า เล่นฟุตบอลโยนยาวแบบอังกฤษแท้จากหลังไปหน้า 

ฟุตบอลของ อัลลาร์ไดซ์ ไม่ซับซ้อน 4-4-2 กองหน้าตัวชน 1 คน กองหน้าตัวสปีดและจบสกอร์ 1 คน ซึ่ง เดวี่ส์ จะได้รับบทบาท "ตัวเป้า" ที่คอยพักบอล คอยชนกองหลัง ทำให้ทีมไม่เสียบอล และจากนั้นรอเพื่อนร่วมทีมขึ้นมาเป็นกำลังเสริม  

สไตล์การเล่น และบรรยากาศที่ โบลตัน เปลี่ยน เดวี่ส์ อย่างแท้จริง เขาเล่าว่าบอลของ "บิ๊กแซม" ที่ดูง่าย ๆ ไม่ได้ง่ายแบบนั้นถ้าจะเล่นออกมาให้ดี ทุกคนต้องเชื่อมั่นในแนวทาง มีความฟิตกับฟุตบอลที่ะต้องเดินทางตลอด และมีสมาธิในการเล่นทั้งเกมรุกและเกมรับ รวมถึงแท็คติกการเล่นลูกเซ็ตพีซ ซึ่งทุกอย่าง บิ๊กแซม ทำให้ทุกอย่างได้เต็มประสิทธิภาพ 

"บิ๊กแซม เรียกฟุตบอลของเขาว่า 'วินเนอร์บอล' เขาทำงานด้วยความเชื่อในเรื่องของการจัดระเบียบผู้เล่นและทีมงาน เขามองคนขาดรู้ว่าทีมขาดอะไร และดึงคนไหนมาจึงจะทำให้ทีมที่ดีขึ้นได้ ... เขาเชี่ยวชาญเรื่องการหาคนเก่งมาช่วยงานเขา"

"การเล่นภายใต้บิ๊กแซม ทำให้นักเตะมีความหิวกระหาย มีแรงบันดาลใจ และลงเล่นด้วยกำลังใจ-ความมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยม" เดวี่ส์  กล่าว

เควิน เดวี่ส์ คือหัวใจของ โบลตัน ในยุคบิ๊กแซม อย่างแท้จริง ทักษะการชนและเก็บบอลของเขาคือชั้นหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามีประสบการณ์มากขึ้น เขารู้ว่าควรไปอยู่ตรงไหน ควรทำอะไร และต่อให้เป็นกองหน้าตัวชน แต่เมื่อโอกาสง้างยิงมาถึง เขาก็เยือกเย็นพอที่จะจบสกอร์ด้วยตัวเองอย่างเฉียบคม 

เขาเล่นที่ โบลตัน ถึง 10 ฤดูกาล ประตูโดยเฉลี่ยที่เขายิงในลีกจะอยู่ที่ราว ๆ 7-8 ลูกต่อซีซั่น แต่ด้วยสไตล์ที่กล่าวมา และประโยชน์ที่เขามีต่อทีม ต้องบอกว่ามีนักเตะไม่กี่คนที่เล่นฟุตบอลในสไตล์นี้ได้ดีมากกว่าเขาในช่วง 1 ทศวรรษ ที่เขาอยู่ในจุดพีกของอายุค้าแข้ง ... แม้จะไม่มีถ้วยแชมป์ แต่เขาก็ได้รางวัลชีวิตที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับตัวเอง ... มันคือสิ่งที่เขาไม่กล้าฝันถึง และเกินกว่าที่คาดไว้มาโดยตลอด เพราะวันหนึ่ง เขาได้กลายเป็นนักเตะทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ ในวัย 33 ปี 

ตลอดช่วงเวลากับ โบลตัน เดวี่ส์ ถูกทีมชาติสก็อตแลนด์ จีบติดทีมตลอด แต่เจ้าตัวก็เลือกจะปฎิเสธ เพราะอยากจะทุ่มเท่ให้กับ โบลตัน ให้ได้มากที่สุด และตัวเขาเองก็รู้ดีว่าด้วยอายุที่มากขึ้น การเลือกทุ่มเทให้กับอะไรเพียงอย่างเดียวน่าจะเป็นสิ่งดีต่ออาชีพของเขามากกว่า ... เขาไม่เคยคิดว่าจะปฎิเสธเพื่อรอทีมชาติอังกฤษมาเรียกตัว เพราะมีนักเตะหลายคนที่อายุน้อยกว่าโดดเด่นขึ้นมาในช่วงยุค 2010s เพียงแต่ว่า ฟาบิโอ คาเปลโล่ กุนซือทีมชาติอังกฤษในเวลานั้นคิดว่าเขาดีพอ และเรียกเขาติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรก 

"เราต้องการนักเตะที่มีความโดดเด่นที่แตกต่างและหลากหลาย เพื่อให้เราสามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับในแต่ละสถานการณ์ สำหรับผม เดวี่ส์ คือนักเตะที่ไม่มีใครหยุดได้เมื่อเขาหันหลังบังบอล ... เขาจะเป็นความแตกต่างให้กับเราในเรื่องของสไตล์การเล่น และในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนที่มีทัศนคติดี และพร้อมจะเป็น 1 เดียวกับทีมของเรา" คาเปลลโล่ กล่าวถึงเหตุผลที่เขาเรียก เดวี่ส์ ติดทีมชาติ 

แม้ช่วงเวลาของ เดวี่ส์ กับทีมชาติอังกฤษจะสั้นมากเพียงแค่ราว ๆ 30 นาทีที่เขาถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรองในเกมกับ มอนเตเนโกร ในฟุตบอลยูโร 2012 รอบคัดเลือก แต่สำหรับเจ้าตัวแล้ว วันที่เขาได้ลงสนามให้ทีมชาติอังกฤษเหมือนกับเขาพิชิตเส้นชัยที่ตัวเองสร้างขึ้นมาได้ และมันคือสิ่งที่เขาภูมิใจกับตัวเองอย่างที่สุด 

"ในวัย 33 ปี คุณไม่สามารถร้องขออะไรได้มากมายนักกับโลกฟุตบอลที่หมุนไปเร็วมาก ตัวของผมคิดเสมอว่าผมต้องทำอะไรสักอย่างให้เป็นประโยชน์ต่อทีม และทุ่มให้สุดตัวโดยไม่สนว่าอายุเท่าไหร่เมื่อโอกาสมาถึง ... ตอนนี้ผมได้ทำมันแล้ว และนั่นคือช่วงเวลาที่ผมเรียกมันว่าความภาคภูมิใจในอาชีพได้อย่างเต็มปาก" เดวี่ส์  ว่าเช่นนั้น 

ช่วงเวลาหลังจากนั้น เดวี่ส์ ไม่ได้ติดทีมชาติอังกฤษอีกแล้วตามวัฎจักรของโลกลูกหนังที่มีดาวรุ่งคนใหม่ ๆ ขึ้นมาแจ้งเกิดตลอดเวลา ... เพียงแต่ว่าเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่าไม่มีใครรู้ว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดจะมาเยือนตัวเองในตอนไหน มันอาจจะมาเร็ว มาช้า หรือไม่มาเลยก็ได้ แต่ที่แน่ ๆ ถ้าคุณไม่ยอมแพ้ ถอดใจไปเสียก่อน พยายามทำให้ดีที่สุดในทุก ๆ วัน ที่สุดแล้ว ความสำเร็จก็จะมาถึงในสักวัน แม้มันจะช้า แต่อย่างน้อยมันก็มาจากความพยายามที่จะทำให้คุณจดจำความสำเร็จนั้นไปตลอดชีวิต แบบที เดวิน เดวี่ส์ เป็นจนกระทั่งทุกวันนี้ 

 

แหล่งอ้างอิง : 

https://lionofviennasuite.sbnation.com/2013/2/27/4035214/kevin-davies-interview-bolton-wanderers
https://the72.co.uk/2015/09/29/exclusive-an-interview-with-kevin-davies/
https://www.si.com/more-sports/2010/10/11/kevin-davies
https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/souness-thought-arsenal-would-beat-3348381.amp
https://www.skysports.com/football/news/2372216/big-sam-hails-davies-impact
https://www.theguardian.com/football/2010/oct/04/england-kevin-davies

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ