หลังจากเกมการแข่งขันดำเนินมาถึงนาทีที่ 75 ลิเวอร์พูล กำลังขึ้นนำคู่แข่งและพวกเขาต้องการปิดเกม
กล้องจับภาพมาที่ข้างสนาม อาร์เน่อ ชล็อต เตรียมจะเปลี่ยนตัวผู้เล่นเพื่อปิดเกม และภาพซูมมาที่นักเตะญี่ปุ่นอย่าง วาตารุ เอ็นโด … เท่านี้แฟนบอลของพวกเขาก็รู้ว่า "เกมจบแล้ว"
นี่คือความไว้วางใจขั้นสุด และการเป็นตัวปิดเกมของแท้ตามแบบฉบับ เอ็นโด นั้นมีที่มา ติดตามที่ Main Stand
คนที่ไม่คิดว่าจะเล่นได้
ก่อนจะย้ายมา ลิเวอร์พูล นั้น ชื่อของ วาตารุ เอ็นโด แทบไม่เป็นที่รู้จักมากนัก หลายคนทราบแค่ว่าเขาเป็นนักเตะกองกลางชาวญี่ปุ่นที่ค้าแข้งใน บุนเดสลีกา แต่ความสงสัยก็คือ เอ็นโด จะเข้ามาแทนที่คนที่ออกไปอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ่ ได้อย่างไร ?
ในยุคสมัยที่นักเตะตำแหน่งเบอร์ 6 คือหัวใจของทีม แน่นอนว่าใครที่จะมายืนตรงนั้นจะต้องมีพร้อมทั้งทักษะ ทัศนคติ และความแข็งแกร่งของร่างกายในเวลาเดียวกัน
สำหรับ เอ็นโด ที่มาจาก สตุ๊ตการ์ท แม้ว่าเขาจะมีดีกรีเป็นกัปตันทีมชาติญี่ปุ่น ซึ่งการันตีเรื่องทัศนคติในการเป็นมืออาชีพและความขยันได้เป็นอย่างดี แต่คำถามต่าง ๆ ยังคงมากมายในวันที่เขาย้ายมา เพราะเทียบกับเบอร์ 6 ระดับเวิลด์คลาสอย่าง โรดรี้ ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ ดีแคลน ไรซ์ ของ อาร์เซน่อล เขายังคงเป็นรองหลายช่วงตัวนัก
อย่างไรก็ตามในมือของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือผู้เชื่อมั่นเรื่องสเป็กมากกว่าชื่อเสียงและดีกรี เอ็นโด สามารถเข้ามาเป็นคนสำคัญของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาล 2023-24 ได้ภายในเวลาไม่นานนัก และเริ่มแสดงจุดเด่นของเขาออกมาให้เห็นทีละน้อย จนกระทั่งแฟนหงส์แดง เริ่มจะหมดคำถามและรักเขามากขึ้น
คล็อปป์ ใช้ เอ็นโด ในตำแหน่งหมายเลข 6 ตามถนัดของเจ้าตัว และกองกลางชาวญี่ปุ่น เริ่มปล่อยคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการเล่นตำแหน่งนี้ออกมา ทั้งเรื่องของการเคลื่อนที่ การอ่านเกม การเข้าปะทะตัดเกม ไปจนถึงการเปิดบอลขึ้นหน้าให้เพื่อนร่วมทีม เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ คล็อปป์ ต้องการจากเขาทั้งสิ้น
เหนือสิ่งอื่นใดที่ คล็อปป์ ชอบ เอ็นโด ที่สุดก็คือ ในขณะที่ทุกคนเริ่มหมดพลังงานในช่วงราว ๆ 15 นาทีสุดท้าย เอ็นโด จะเป็นคนที่เริ่มไล่ล่าฟุตบอลแบบดุเดือดเลือดพล่านแทนที่นักเตะเกมรุกบางคนที่ต้องเก็บพลังงานไว้เล่นจังหวะชี้เป็นชี้ตายมากกว่า สำหรับ คล็อปป์ แข้งเลือดซามูไรรายนี้ คือเครื่องจักรที่เขาไว้ใจได้เสมอ โดยมีการชื่นชมในขนาดที่ว่า หากเขายังคุมทีมอยู่ เอ็นโด จะได้อยู่กับทีมต่อไป พร้อมสัญญาฉบับใหม่อีกด้วย
"ผมมั่นใจเลยว่า เมื่อสัญญาฉบับแรกของเขากับทีมหมดลงใน 4 ปีหลังจากนี้ เอ็นโด จะต่อสัญญาระยะยาวกับ ลิเวอร์พูล อีกครั้ง" คล็อปป์ กล่าว
"ต่อให้ถึงตอนนี้เขาจะอายุ 30-31 ปี แต่ร่างกายของเขามันไม่ใช่แบบนั้น เขาคือนักเตะที่เก่งกาจเรื่องการอ่านจังหวะฟุตบอล มีไหวพริบในการป้องกันที่ยอดเยี่ยม เขาทำงานหนักให้เราได้มีอิสระมากมายหลายเรื่องตลอดเกมการแข่งขัน เหนือสิ่งอื่นใด เขาพัฒนาขึ้นทุกวัน การมีเขาอยู่ในทีมนับว่าเป็นประโยชน์มาก ๆ"
เอ็นโด กลายเป็นซามูไรข้างกายของ คล็อปป์ ที่เป็นเหมือนกับโชกุน เขากลายเป็นตัวหลักให้ทีม ลงเล่น 29 เกมลีกในซีซั่นนั้น และมีเพียงอาการบาดเจ็บเท่านั้นที่จะทำให้เขาหลุดจากตำแหน่ง 11 ตัวจริง ด้วยการเกิดมาเพื่อเล่นเกมรับ รับจบหน้าที่การทำลายล้างเกมรุกคู่ต่อสู้จากกลางสนาม พ้อมทั้งสถิติเกมรับที่ถือว่าเป็นเบอร์ 1 ของ ลิเวอร์พูล ในหลาย ๆ ด้าน อาทิ เข้าแท็คเกิ้ลคู่แข่งมากเป็นอันดับ 1 (58 ครั้ง) ตัดบอลสำเร็จ (20 ครั้ง) เก็บบอลจังหวะสอง (108 ครั้ง) และดวลตัวต่อตัวชนะ (114 ครั้ง )
โดยเกมที่เป็นมาสเตอร์พีซของเขาที่สุดที่หลายคนน่าจะจำได้คือ เกมนัดชิง คาราบาว คัพ กับ เชลซี ซึ่งในเกมนั้น เอ็นโด เล่น 120 นาทีเต็ม และเป็นผู้นำในแดนกลางท่ามกลางเหล่าดาวรุ่งอย่าง บ็อบบี้ คลาร์ก, เจมส์ แม็คคอนเนลล์ และ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ในเกมนั้น ขณะที่นักเตะชุดใหญ่หลายคนที่กรำศึกหนักเริ่มพลังหมดโดนเปลี่ยนออกทีละคน เอ็นโด ยังคงยืนหยัดสู้กับแดนกลางของ เชลซี ได้อย่างดุดันน่าชื่นชม ซึ่ง คล็อปป์ ให้เครดิตเขาอย่างมากหลังเกมจบ
จากสิ่งที่กล่าวมา ทุกอย่างควรจะเป็นไปได้ดีและไม่มีใครมาขวางการโคจรดวงดาวของเขาได้ ... แต่แล้วสายฟ้าก็ผ่าที่ แอนฟิลด์ เมื่อ คล็อปป์ ประกาศวางมือจบหลังซีซั่น และผู้มาแทนอย่าง อาร์เน่อ ชล็อต ก็ดูเหมือนว่าจะมีวิธีการทำทีมที่ต่างกันเล็กน้อยที่ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับ เอ็นโด เป็นอย่างมาก
ยุค ชล็อต ต้องอดทน
การมาของ อาร์เน่อ ชล็อต มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการเล่นอยู่บ้างจากยุคของ คล็อปป์ ประการแรก การยืนของมิดฟิลด์ 3 คนแตกต่างไปจากเดิม
ในยุคของ คล็อปป์ กองกลางจะยืนกันในระบบการเล่น 4-3-3 โดยจะมีเบอร์ 6 เป็น เอ็นโด และมี อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ และ โดมินิก โซโบสไล เป็นเบอร์ 8 ขนาบด้านข้าง ซึ่งทั้ง 2 คนจะช่วยลงมาเล่นต่ำ และช่วยแย่งบอลอยู่เสมอ
ขณะที่ยุคของ ชล็อต ดูเหมือนว่าการยืนของเบอร์ 6 จะเป็นอะไรที่โดดเดี่ยวมากขึ้น แม้ แม็คอัลลิสเตอร์ จะยังคงถอยมาช่วยเกมรับเหมือนเดิม แต่ในส่วนของ โซโบสไล นั้นจะได้รับบทบาทให้เล่นสูงขึ้น มีความเป็นเบอร์ 10 ที่ใช้พลังในการวิ่งขึ้นวิ่งลง คล้าย ๆ กับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ในยุคที่มี เฟร์นานโด ตอร์เรส เป็นกองหน้าในช่วงปี 2008 อะไรราว ๆ นั้น
เท่ากับว่าหน้าที่ของเบอร์ 6 ในยุคของ ชล็อต จะต้องทำงานหนักมากขึ้น การตัดบอล และป้ายต่อให้คนอื่นขึ้นเกมแบบที่ เอ็นโด เคยทำ มันยังไม่มากพอ และบังเอิญว่าการทดลองจับ ไรอัน กราเฟนแบร์ก ถอยลงมาเป็นหมายเลข 6 ทำให้ทีมได้สมดุลมากกว่า เพราะ กราเฟนแบร์ก เป็นคนที่ตัวใหญ่ แข็งแรง มีความคล่องตัว แม้เรื่องการตัดบอลเข้าปะทะ อาจจะไม่รวดเร็วเท่ากับที่ เอ็นโด ทำได้ แต่เมื่อวัดกันที่ตอนมีบอลอยู่กับตัว กราเฟนแบร์ก มีสกิลการครอบครองบอลที่ยอดเยี่ยม และมีทักษะการเลี้ยงกินตัวคู่ต่อสู้ รวมถึงทัศนวิสัยในการจ่ายบอลที่เด็ดขาดมากกว่า ไม่ว่าจะระยะใกล้หรือไกล
จากฟอร์มที่กล่าวมาของ กราเฟนแบร์ก จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรที่จอมทัพหรือห้องเครื่องชาวดัตช์คนนี้ จะเบียด เอ็นโด กระเด็นออกมาเป็นตัวสำรอง และทำให้ เอ็นโด แทบไม่ได้ฉายแสงเลยในครึ่งซีซั่นแรก เรียกได้ว่าหนักข้อจนถึงขั้นที่มีข่าวว่าเขาจะโดนขายให้ทีมอื่น ๆ ในพรีเมียร์ลีกเมื่อตลาดฤดูหนาวมาถึงเลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม 1 ฤดูกาลของฟุตบอลระดับสูงนั้นเป็นอะไรที่ยาวนาน และคุณไม่อาจจะคาดเดาได้เลยว่านักเตะตัวหลักของทีมคนไหนจะบาดเจ็บหรือหายไปจากทีมบ้างในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้น ชล็อต จึงพยายามออกมาพูดกับสื่อเสมอถึงสถานการณ์ของ เอ็นโด ที่ตกเป็นตัวสำรองเต็มตัวในยุคของเขา
ชล็อต มักจะพูดถึงเรื่องของความประทับใจต่าง ๆ ที่ เอ็นโด แสดงให้เขาเห็นตอนอยู่ในห้องแต่งตัว สนามซ้อม หรือแม้แต่ไลฟ์สไตล์ที่เรียบง่ายแต่มีความเป็นมืออาชีพ ... นักเตะแบบนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ ซึ่งเขาจึงอยากเก็บ เอ็นโด ไว้กับทีมในฐานะอะไหล่ชั้นดี
อย่างไรก็ตาม เรื่องแบบนี้ถามแต่โค้ชไม่ได้ หากนักเตะไม่พร้อมจะเป็นตัวสำรองและพวกเขามีทางเลือกหรือโอกาสที่ดีกว่า พวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะย้ายออกไปตามหาสิ่งที่ต้องการ ... เพียงแต่ว่านักเตะอย่าง เอ็นโด เป็นนักเตะประเภทที่ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เขาคิดถึงการแย่งชิงตำแหน่งกลับมาเสมอ และการแย่งตำแหน่งของเขาถือเป็นวิถีซามูไรที่น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง การแสดงออกของ เอ็นโด ถึงกับทำให้ ชล็อต ต้องออกมายืนยันอีกครั้งว่า "เขาจะเป็นคนสำคัญของเราในระหว่างฤดูกาล" ... และ ณ ตอนนี้ ช่วงเวลาที่ ชล็อต กล่าวเอาไว้ก็มาถึงแล้ว
เอ็นโด End Game
ลิเวอร์พูล เดินหน้าล่าแต้มและชัยชนะอย่างต่อเนื่องในเกมลีกและถ้วยยุโรปซีซั่น 2024-25 ในช่วงแรก คำชมในแดนกลางตกเป็นของ กราเฟนแบร์ก ที่โดดเด่นขึ้นมาเป็นส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับ แม็คอัลลิสเตอร์ กับการเล่นที่รักษามาตรฐานเอาไว้ได้ ส่วนตำแหน่งที่ต้องแย่งกัน เป็นตำแหน่งกองกลางที่จะต้องเคลื่อนที่เข้าไปในเขตโทษของคู่แข่งบ่อย ๆ ระหว่าง โซโบสไล และ เคอร์ติส โจนส์
เอ็นโด แทบจะถูกลืมไปในช่วงเวลานั้น เพียงแต่ว่าอย่างที่ได้กล่าวไป 1 ฤดูกาลมันช่างยาวนาน และการแข่งขันตามโปรแกรมก็ถี่ยิบ ซึ่งเมื่อผ่านช่วงคริสต์มาสไปแล้ว ชล็อต ก็เริ่มจะใช้งาน เอ็นโด มากขึ้นในฐานะ "ตัวปิดเกม"
กล่าวคือทีมยุค ชล็อต จะไม่เดินหน้าฆ่าไม่เลี้ยงแบบยุค คล็อปป์ แต่พวกเขามักจะเปลี่ยนจังหวะและวิธีการเล่นให้ช้าและแน่นอนมากขึ้นเมื่อได้สกอร์ที่ต้องกาาร มีการบริหารพลังงานเพื่อให้นักเตะตัวหลักยังมีแรงเหลือ และรักษาสภาพร่างกายไว้เล่นตลอดทั้งซีซั่น ... ดังนั้น เมื่อพวกเขาได้ผลการแข่งขันที่ต้องการในช่วง 15 นาทีสุดท้าย ชล็อต จะปล่อย เอ็นโด ลงสนาม และช่วงเวลาหลังจากนั้น โชว์ของ เอ็นโด ก็จะเริ่มขึ้น
จุดเริ่มต้นของการเป็นยอดตัวปิดเกมของ เอ็นโด นั้นเกิดจากช็อตที่ได้ใจ ชล็อต แบบเต็ม ๆ ในเกม คาราบาว คัพกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่เกมนั้น ชล็อต ส่งนักเตะสำรองลงยกชุด แถมยังให้ เอ็นโด ถอยมาเป็นเซ็นเตอร์แบ็ก ซึ่งในเกมนั้น เอ็นโด โชว์ลีลาการตัดเกม เข้าปะทะ อ่านจังหวะแบบครบถ้วน และถือว่ามันเป็นช็อตซื้อใจเลยก็ว่าได้หากอ้างอิงจากคำชมหลังเกมที่กุนซือดัตช์มีต่อเขา
"ถ้าผมต้องชมใครสักคนเป็นพิเศษในเกมนี้ ก็คงต้องเป็น วาตารุ เอ็นโด พราะในตำแหน่งที่แตกต่างแต่เขายังเล่นได้ดีในสถานการณ์แบบนี้ นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นนักเตะที่มีคุณภาพมากแค่ไหน"
"แต่ที่สำคัญคือเขามีสภาพจิตใจและคาแร็คเตอร์ส่วนตัวที่ยอดเยี่ยมมาก" ชล็อต กล่าวชม เอ็นโด ซึ่งอีกไม่นานนัก ก็มีการเปิดเผยว่าสิ่งที่ ชล็อต ชอบในตัว เอ็นโด มากก็คือความเป็นมืออาชีพ การต่อสู้เพื่อโอกาสลงสนามแบบไม่ปริปากบ่น แต่แสดงคุณภาพ และความมุ่งมั่นให้เห็น ซึ่งทุกครั้งที่ทีมขาดอะไรไปสักอย่าง เอ็นโด เป็นคนที่พร้อมจะมาอุดรอยรั่วตรงนั้น และทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ ซึ่งหลายครั้งมันไม่ใช่การทำแบบขอไปที แต่มันคือการรับมือกับโอกาสและบทบาทที่ได้รับอย่างประสิทธิภาพ เรียกได้ว่าสั่งอะไรไป ได้ตรงบรีฟเป๊ะ ซึ่งมันทำให้ ชล็อต รัก เอ็นโด มากขึ้นจากสิ่งที่เขาเป็นนี้
"ผมไม่เคยต้องเรียก เอ็นโด มาที่ห้องทำงานเพื่อปรับความเข้าใจอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะเขาคือนักเตะที่พร้อมจะลงเล่นตรงไหนก็ได้ ... สำหรับนักเตะคนหนึ่งต้องยอมรับว่านี่คือทัศนคติที่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ... เขาทำให้ผมรู้ว่าไม่ว่าจะส่งเขาลงเล่นตรงไหน เขาจะทุ่มสุดตัวเสมอ และเขาคือนักเตะสำคัญในทีมของเราอย่างแท้จริง"
ยิ่งเข้าใกล้โค้งสุดท้าย ภาพของตัวปิดเกมในแบบของ เอ็นโด ก็ชัดขึ้น ในช่วงที่โปรแกรมถี่ยิบและทุกนัดล้วนสำคัญเหมือนเกมชิงแชมป์ เอ็นโด กลายเป็นอาวุธลับที่ ชล็อต ใช้เสมอในช่วง 15-20 นาทีสุดท้าย และเมื่อ เอ็นโด ลงสนามความอุ่นใจก็มาถึงทันที
หากคุณสังเกต คุณจะพบว่า กราเฟนแบร์ก ลดหน้าที่เรื่องการเคลื่อนที่เข้าปะทะคู่แข่งลงทันทีเมื่อมี เอ็นโด ลงมาเป็นลูกหาบ ... หน้าที่ของ กราเฟนแบร์ก เหลือเพียงการเป็นห้องเคลื่อนเคลื่อนที่ไปรับบอลและเปลี่ยนเกมจากรับเป็นรุกให้มีประสิทธิภาพ หรือไม่ก็กลไกในการเคลื่อนบอลเพื่อกินเวลาไปเรื่อย ๆ โดยที่เขาไม่ต้องกังวลว่า ตัวเองจะตีบตันไม่มีตัวว่างคอยจ่ายบอลให้ หรือคู่แข่งจะรุมกินโต๊ะเขาในแดนของตัวเอง เพราะ เอ็นโด จะคอยจัดการงานดังกล่าวให้ทั้งหมด นั่นยิ่งทำให้ กราเฟนแบร์ก ที่เป็นกลไกสำคัญในสไตล์การเล่นแบบ "สล็อต แมชชีน" โดดเด่นมากขึ้นไปอีก
แน่นอว่าการเป็นลูกหาบหรือคนปิดทองหลังพระนั้นยากจะถูกพูดถึง เพราะแสงสปอตไลท์มักจะไม่ลงปะทะไปที่พวกเขานัก เพียงแต่ว่าในกรณีของ เอ็นโด มันคือการลงเล่นที่ปรากฏคุณภาพแบบเดิมซ้ำ ๆ เรื่อย ๆ เรียกได้ว่าเมื่อไหร่ที่เห็น ชล็อต ส่ง เอ็นโด ลงมาในช่วง 15 นาทีสุดท้าย ความรู้สึกของแฟนบอล ลิเวอร์พูล ก็จะอุ่นใจราวกับว่าชนะไปค่อนตัวแล้ว ซึ่งเมื่อมันเกิดขึ้นบ่อย ๆ เข้า สุดท้ายแสงก็ตกมาที่ เอ็นโด จนได้
นี่เป็นอีกครั้งที่ เอ็นโด พิสูจน์ตัวเองในฐานะนักเตะที่ ลิเวอร์พูล ต้องการ ครั้งแรกในแบบนักเตะโนเนมในยุคของ คล็อปป์ และหนนี้กับบทบาทนักปิดเกมในยุคของ ชล็อต ซึ่งไม่ว่าจะหน้าที่ไหน ๆ ที่ได้รับมอบหมาย ก็ดูเหมือนว่าไม่ใช่ปัญหา เขาเหมือนกับเครื่องจักรที่คีย์ข้อมูลเข้าไป และจะได้ผลลัพธ์ตามที่สั่งออกมาเสมอ
นี่คือคุณสมบัติของนักเตะที่ทีมชั้นยอดทุกทีมต้องมี คนที่เล่นได้ตามแท็คติก เข้าใจที่โค้ชสั่ง และพร้อมที่จะทำงานหนักโดยไม่หวังคำชม หรือเอาสิ่งที่ตัวเองทำมาเป็นข้อต่อรองเพื่อสิ่งที่ใหญ่กว่า ... แม้จะเป็นตัวสำรอง และความสำคัญลดลงจากยุคของ คล็อปป์ บ้างแต่เอ็นโดก็ยืนยันว่าเขามีความสุขกับการเล่นฟุตบอลในแบบของ ชล็อต ไม่ต่างกัน
"ผมจะไม่บอกว่ามีความแตกต่างกันมากนัก ในบางช่วงผู้จัดการทีมอยากให้ทีมของเรากดดันคู่ต่อสู้มากขึ้น และมีเสถียรภาพในการครองเกมคุมจังหวะมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงชอบให้ผู้เล่นอยู่ในตำแหน่งตามที่เขาต้องการ และนั่นก็แตกต่างออกไป ... อย่าเข้าใจผิดล่ะว่ามันไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร เพราะ ณ ตอนนี้ผมสนุกกับวิธีการเล่นของเขาในตอนนี้จริงๆ และผมคิดว่าทุกคนสนุกกับการใช้แท็กติกของเขา" เอ็นโด กล่าวถึงช่วงเวลาที่หลายคนบอกว่าเขากำลังยากลำบาก แต่เขากำลังยิ้มให้กับความท้าทายครั้งใหม่
ซึ่งนี่คือเหตุผลว่าทำไมทั้ง คล็อปป์, ชล็อต และแฟนหงส์แดง จึงรัก วาตารุ เอ็นโด มากมายขนาดนี้
แหล่งอ้างอิง
https://www.goal.com/en/lists/liverpool-jurgen-klopp-lauds-wataru-endo-questions-true-age-dominant-display-carabao-cup-final-chelsea/blt8e55b5a6ee977815#csc18a0b991fbfe6db
https://www.liverpoolfc.com/news/he-gives-us-something-different-klopps-praise-wataru-endo
https://www.premierleague.com/players/43586/Wataru-Endo/stats
https://uk.sports.yahoo.com/news/arne-slot-pays-big-compliment-202746536.html
https://onefootball.com/en/news/from-chaos-to-control-endo-on-slots-influence-at-liverpool-40554875