Feature

แดนนี่ เวลเบ็ค : จากตัวโจ๊กในทีมใหญ่สู่การเป็น "มหาเทพ(ของจริง)" ที่ ไบรท์ตัน | Main Stand

"มีแต่คนพูดถึงผมในช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขาพูดว่า ผมไม่มีทางจะกลับสู่เลเวลของลีกสูงสุดได้อีกแล้ว" 

 

คำพูดจากหนึ่งนักเตะที่เคยโดนล้อเลียนบ่อยที่สุดในโลกโซเชี่ยลเมื่อราว 10 ปีก่อน และวันนี้เขากลายเป็นนักเตะที่ทุกคนให้การยอมรับว่าเป็น "นักเตะที่ดี" ได้สำเร็จ

จากดาวรุ่งตัวโจ๊ก สู่แข้งเก๋าที่ยืนหยัดเป็นอาวุธหลักของสโมสรที่กำลังดันตัวเองขึ้นที่สูงอย่าง ไบรท์ตัน ... ติดตามเรื่องราวของ แดนนี่ เวลเบ็ค กับเส้นทางนักสู้ของเขาที่ Main Stand 

 

เด็กที่โตในช่วงรอยต่อ 

ทีมเยาวชนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือรากฐานแห่งความภูมิใจของผู้จัดการทีม แฟนบอล และทุกคนในสโมสรแห่งนี้มาเสมอ เพราะย้อนกลับไปในอดีต นี่คือสิ่งที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และทีมงานบริหารชุดเก่าช่วยกันปรับโครงสร้างจนมีนักเตะขึ้นมาเป็นแกนหลักของทีมในระยะยาวมากมายหลายคน

แต่โลกฟุตบอลมันเป็นเช่นนั้นเสมอ ... เก่าไปใหม่มา และอะไรที่ไม่เดินไปข้างหน้า ก็จะเท่ากับถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ในช่วงปลายอาชีพของ เซอร์ อเล็กซ์ ฟุตบอลเป็นโลกของทุนนิยมมากขึ้น ดาวรุ่งมีโอกาสน้อยลง เช่นเดียวกันกับระบบเยาวชนและศูนย์ฝึกของทีมปีศาจแดงที่ถดถอยลง เราจึงไม่ได้ใครที่กระโดดขึ้นมาเป็นตัวหลักได้มากนัก และน่าเสียดายที่ แดนนี่ เวลเบ็ค เติบโตมาในยุคนั้น 

ในยุคที่เฟอร์กี้กำลังจะวางมือ นักเตะแกนหลักเก่า ๆ ของทีมทยอยอายุมากขึ้น เวลเบ็ค ก้าวขึ้นมาในฐานะเด็กท้องถิ่น เกิดและโตที่ แมนเชสเตอร์ อยู่กับสโมสรมาตั้งแต่ 6 ขวบ เล่นให้กับสโมสรท้องถิ่นที่ปั้นเด็กส่งอคาเดมี่ทีมปีศาจแดงมาหลายรุ่นอย่าง เฟล็ตเชอร์ มอสส์ เรนเจอร์ส

เขาเป็นกองหน้าตัวท็อปของทีมเยาวชนมาโดยตลอด มีบทบาทสำคัญมาทุกรุ่นอายุ สร้างชื่อในฐานะ "วันเดอร์คิด" ในช่วงปี 2006 และได้รับการยอมรับจากกุนซือทีมชุดใหญ่อย่าง เซอร์ อเล็กซ์ ที่ยอมรับว่า แม้ เวลเบ็ค จะต้องพัฒนาอะไรหลายอย่าง แต่ก็เป็นเด็กที่มีศักยภาพ และเหนือสิ่งอื่นใด คือเป็นเด็กดี อยู่ในกฎระเบียบ รายงานประวัติความประพฤติดีเลิศมาโดยตลอด ... คนแบบนี้ เฟอร์กี้ มักจะรักเป็นพิเศษ และ เวลเบ็ค ก็เป็นเช่นนั้น

"ผมทำทีมชุดใหญ่และได้ข่าวคราวของ แดนนี่ เวลเบ็ค อยู่ตลอด ในช่วงเวลานั้นทุกคนรู้ว่าเขาเป็นเด็กที่มีความสามารถ แต่อาจจะต้องแก้ไขเรื่องร่างกายบ้าง"

"ตอนเขาอายุ 16 ปี เขามีปัญหาที่ตัวเขาเพราะร่างกายโตเร็วเกินไป เราพยายามค่อย ๆ ใช้งานเขาเพราะต้องการรอให้เขาสุกงอมเป็นผู้ใหญ่ และเมื่อไหร่ที่เขาโตเต็มตัว เราจะได้เห็นนักเตะที่ดีแน่ ๆ และตอนนี้พวกเราเริ่มเห็นสัญญาณนั้นแล้ว" 

"เหตุผลก็เพราะนี่คือเด็กที่มีทัศนคติที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเตะทุกคนควรมี เขาพยายามอยู่ห่างการเป็นข่าวหน้าหนึ่งเสมอ และนั่นเป็นเหตุผลที่ผมรักนักเตะประเภทนี้" เฟอร์กี้ ชมเด็กลูกหม้อของทีม

แม้โค้ชอย่าง เฟอร์กี้ จะชมขนาดนั้น แต่ช่วงเวลาที่ เวลเบ็ค ขึ้นมามันเป็นอะไรที่ยาก เขาเป็นกองหน้า และทีมในตอนนั้นมีนักเตะที่เล่นในตำแหน่งกองหน้าที่ได้ดีกว่าเขา อาทิ คาร์ลอส เตเวซ, เวย์น รูนี่ย์, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ และ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ... นี่คือ 5 ตัวท็อปของพรีเมียร์ลีกหรือโลกฟุตบอลยุคนั้นเลยก็ว่าได้ ในช่วงเวลาดังกล่าว เวลเบ็ค จึงได้ลงบ้างไม่ลงบ้าง หลายครั้งต้องสลับตำแหน่งลงไปเล่นเป็นตัวริมเส้นเพื่อเปิดทางรุ่นพี่

และในขณะที่บางครั้งที่เขาได้เล่นเป็นกองหน้าก็เล่นได้ไม่ดีนัก อาจจะด้วยอายุและประสบการณ์ แต่ใด ๆ คือเขากลายเป็นคนที่โดนเปรียบเทียบเสมอ เวลเบ็ค ในวัยเด็กกระโดกกระเดก ทักษะห่างไกลจากกลุ่มนักเตะที่กล่าวมา และอย่างที่กล่าวไว้ ประสบการณ์คือสิ่งสำคัญมาก เมื่ออยู่หน้ากรอบได้โอกาสจบสกอร์ เวลเบ็ค มักจะมีอาการ "หมูหก" ให้เห็นจนติดเป็นภาพจำของแฟน ๆ ซึ่งลูกยิงที่พลาด ๆ แป้ก ๆ แบบนั้นมีให้เห็นไม่มากกับนักเตะผีแดงชุดนั้น ดังนั้นเขาจึงเริ่มโดนแซวเรื่องนี้มากขึ้น

และเมื่อถึงเวลาที่กลุ่มนักเตะชื่อดังหลายคนเริ่มผลัดใบ หลายคนอาจจะมองว่านี่จะเป็นโอกาสของเขาได้แจ้งเกิด แต่ก็เป็นโชคไม่ดีซ้ำสองที่ เฟอร์กี้ ประกาศยุติการคุมทีมถาวร ปล่อยให้ยุคสมัยใหม่เป็นเรื่องของ เดวิด มอยส์ ที่ล้มเหลว และสานต่อด้วยโค้ชอย่าง หลุยส์ ฟาน กัล ที่ เวลเบ็ค มีโอกาสได้ทำงานด้วย .. ซึ่งก็อย่างที่ทุกคนรู้กัน เราได้เห็นเรื่องแย่ ๆ ของ เวลเบ็ค มากขึ้นในยุคของกุนซือ 2 คนนี้ 

ในยุคของ มอยส์ เวลเบ็ค มาตอกส้นออกหลังในตำนาน ช่วงปรีซีซั่นที่ประเทศไทย การหลุดเดี่ยวเข้าไปพยายามยิงชิปใส่ มานูเอล นอยเออร์ รวมถึงการยิงจุดโทษที่โดนแบบแป้ก ๆ จนไม่เข้าในเกมกับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ... แค่นี้ก็มากพอแล้วที่จะทำให้เขาถูกแปะโลโก้ตัวตลกของแฟน ๆ ไม่ว่าจะฝั่งตรงข้าม หรือแม้กระทั่งฝั่งแฟนปีศาจแดงเองก็ตาม

 

ไม่เป็นแล้วตัวตลก 

เวลเบ็ค อยู่กับ ยูไนเต็ด กระทั่งปี 2014 ก็ย้ายออกมาด้วยดีกรีการเป็นนักเตะแชมป์พรีเมียร์ลีก 1 สมัย, ลีก คัพ 2 สมัย และสโมสรโลกอีก 1 สมัย ... แต่นั่นก็ไม่มากพอ อย่างน้อยก็สำหรับเขา 

ถ้าเปรียบชีวิตกับมุนษย์เงินเดือนสักคน เวลเบ็ค คงเป็นเหมือนพนักงานตัวเล็ก ๆ ในองค์กรใหญ่ แม้จะมีส่วนในความสำเร็จบ้าง แต่ไม่เคยได้รับเครดิตมากมายนัก แต่อย่างน้อยถ้าเขาเลือกอยู่กับองค์กรนี้ต่อ เขาจะมีรายรับที่แน่นอน และอาจจะมีอนาคตที่ปลอดภัย เสี่ยงน้อยกว่าการออกไปหางานทำในที่ใหม่ 

แต่สำหรับ เวลเบ็ค ความสบายไม่ใช่ที่ตั้ง และการถูกมองว่าเป็นลูกหาบในขณะที่เขาเชื่อว่าตัวเองทำได้มากกว่านั้น มันคือสิ่งที่ทำให้เขาเลือกย้ายทีมมาอยู่กับ อาร์เซน่อล ในราคา 16 ล้านปอนด์ และคนที่ชอบในตัวของเขาก็คือ อาร์แซน เวนเกอร์ ... นักเตะที่ทั้ง เฟอร์กี้ และ เวนเกอร์ ชื่นชอบ นี่คือสถานะที่มีนักเตะแค่ไม่กี่คนที่เคยได้รับ 

"เมื่อคุณทำงานที่ไหนสักแห่งมาเป็นเวลานาน และต้องไปเริ่มต้นในที่ใหม่ มันจะต้องมีสักช่วงที่คุณหวนคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา คุณจะเริ่มถามตัวเองและสับสนในบางเวลา คุณจะบอกตัวเองเสมอว่า อย่ามองย้อนไปข้างหลังอย่างเสียใจ เพราะเราเองต่างหากที่รู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับตัวเอง"

"ช่วงก่อนออกจาก ยูไนเต็ด ผมเล่นปีกซ้ายบ่อยมากในระบบการเล่น 4-4-2 ซึ่งมันยากมาก ๆ เพราะผมเองก็ไม่ค่อยถนัดตรงนั้นมากนัก และเมื่อไปเล่น ผมไม่ได้สร้างผลกระทบต่อเกมที่ดีมากพอ ผมถามตัวเองบ่อยครั้ง และผมพบว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้แล้ว แต่มันไม่เคยดีพอสำหรับทีมหรอก ... และเรื่องนั้นผมก็รู้ดี เพราะผมเชื่อเสมอว่าผมจะทำดีกว่านี้ได้แน่ ถ้าผมได้เล่นในตำแหน่งที่ผมถนัดที่สุด"

"สิ่งหนึ่งที่ผมจะบอกก็คือ ในช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนั้น จงอย่าดูถูกตัวเองมากเกินไป ผมขยันซ้อมทุกวัน ทุ่มเทเต็มที่ตลอด ต่อให้สถานการณ์จะเป็นแบบนั้น นั่นแหละคือตัวตนของผม และเมื่อถึงเวลาที่ทุกอย่างตกผลึก คุณจะได้รู้คำตอบที่เหมาะกับตัวเอง สำหรับผมผมคิดว่าผมคงเปลี่ยนแปลงอะไรที่นี่ไม่ได้แล้ว และมันตามมาที่คำถามว่า อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง"

น่าจะเป็นข้อนี้แหละที่ทำให้ เวนเกอร์  ชอบ เวลเบ็ค เป็นพิเศษ เพราะมันสอดคล้องกับสิ่งที่ เวนเกอร์ เคยพูดถึง เวลเบ็ค ว่ามีความพิเศษ ตรงทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ และเป็นคนที่ทำให้ห้องแต่งตัวมีบรรยากาศที่ดี เหนือสิ่งอื่นใดคือ คนที่คิดถึงทีมมาเป็นอันดับแรกเสมอ 

"คุณสมบัติพิเศษของ แดนนี่ เวลเบ็ค ก็คือเขาไม่ยอมจำนนง่าย ๆ นอกสนามคุณจะเห็นเรื่องนี้ชัด และในสนามคุณก็จะเห็นได้ผ่านการเล่นของเขา นี่คือนักเตะที่ต่อให้โดนคู่แข่งไล่ต้อนจนมุมแค่ไหนเขาก็ดูเหมือนจะมีแรงจูงใจพิเศษที่จะพยายามเอาตัวรอดให้ได้เสมอ สมองและร่างกายของเขามีความพิเศษบางอย่างที่มอบให้กับทีมของคุณได้ และเชื่อผมเถอะ นักเตะอย่าง เวลเบ็ค ไม่ได้หาง่าย ๆ แน่นอน" เวนเกอร์ ว่าแบบนั้น 

คำพูดของ เวนเกอร์ และ เฟอร์กี้ หรืออาจจะรวมถึงอดีตนักเตะที่เคยร่วมงานกับเขาที่ แมนฯ ยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล อาจจะยังไม่หนักแน่นพอที่จะยืนยันความยอดเยี่ยมได้ หลัก ๆ แล้วก็ต้องยอมรับว่าฟอร์มการเล่นในสนามของเขาที่มา ๆ หาย ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเข่าของเขาที่มีปัญหามาตั้งแต่ดาวรุ่ง เขาเจ็บอยู่บ่อย ๆ และกับทีมที่ต้องเตะทุก 3 วัน เล่นทั้งเกมลีก บอลถ้วยในประเทศ และฟุตบอลยุโรป มันเป็นอะไรที่หนักเกินไปสำหรับเขา  

การทำหมูหกยังคงเกิดขึ้นต่อไป และภาพจำของเขาก็แย่แบบไปต่อ ในปี 2018 เวลเบ็ค ทำพลาดแบบเข้าตาด้วยการยิงจ่อ ๆ พลาดในเกมที่ อาร์เซน่อล เอาชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 3-2 ...แม้ทีมจะชนะ และ เวลเบ็ค ยิงได้ 2 ลูก แต่คนทั้งโซเชี่ยลล้อเลียนเขา ขณะที่แฟน อาร์เซน่อล หลายคนก็โกรธมาก และเหลืออดกับความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ 

"ไม่ใช่ว่าผมอยากจะยิงพลาดในโอกาสสำคัญแบบนี้ ผมก็พยายามเต็มที่แล้วที่จะทำให้มันไปถึงจุดที่ทุกคนพอใจ แต่นั่นแหละ สิ่งเหล่านี้คือฟุตบอล ผมทำอะไรได้ไม่มากนัก และต้องพยายามบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร จงรักษาทัศนคติของตัวเองและเข้มแข็งเอาไว้ … แล้วโอกาสมันจะวนกลับมาหาคุณใหม่อีกครั้งในสักวัน" เวลเบ็ค เล่าย้อนความช่วงเวลาที่ยากลำบากต่อเนื่อง 

เวลเบ็ค อยู่กับ อาร์เซน่อล 5 ปี และสถานะไม่ต่างกับตอนที่อยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด มากนัก ทีมอาจจะได้แชมป์ เอฟเอ คัพ 2 สมัย แต่ภาพจำของเขายังไม่เปลี่ยนแปลง ซ้ำร้ายอาจจะหนักกว่าเดิมด้วย เพราะชื่อของเขาบนหน้าสื่อน้อยลงกว่าตอนอยู่ที่ ยูไนเต็ด ด้วยซ้ำ ... เมื่อไม่มีคนพูดถึง ก็เป็นการให้ความหมายกลาย ๆ ว่าสื่อนั้นเลิกสนใจเรื่องของเขาไปแล้ว

เวลเบ็ค ไม่ใช่นักเตะดาวรุ่ง การบาดเจ็บบ่อย ๆ มา ๆ หาย ๆ ทุกอย่างประกอบกันให้ เวลเบ็ค หมดสัญญากับ อาร์เซน่อล ในปี 2019 อย่างเงียบ ๆ ในวัย 28 ปี โดยซีซั่นสุดท้ายได้ลงเล่นในลีกไปแค่ 8 เกม ... ดูยังไงก็หมด ไม่น่าจะได้เห็นชื่อเขาบนข่าวหน้า 1 บ่อย ๆ อีกแล้ว

อย่างไรก็ตามแม้จะอยู่ทีมใหญ่แบบผิดที่ผิดเวลา แต่หนึ่งสิ่งที่เวลเบ็ค โชคดีก็คือมีคนเห็นตัวตนของเขาเสมอ ทุกคนรู้ว่า เวลเบ็ค ทำอะไรได้บ้าง ไล่มาตั้งแต่ เฟอร์กี้ เวนเกอร์ และคนที่หยิบเขาขึ้นมาเป็นพาดหัวข่าวอีกครั้งอย่าง แกรม พ็อตเตอร์ แห่ง ไบรท์ตัน ทีมที่ให้ชีวิตใหม่ของเสือเฒ่านี่เคยเป็นตัวตลกรายนี้ 

 

คุณจะสร้างทีมโดยไม่มีนักเตะแบบนี้ได้ยังไง ? 

แกรม พ็อตเตอร์ กุนซือหนุ่มโนเนม คว้าตัว เวลเบ็ค มาร่วมทีม ไบรท์ตัน ในปี 2020 แบบฟรี ๆ หลังเจ้าตัวย้ายไปเล่นให้ วัตฟอร์ด เมื่อซีซั่น 2019-20 โดยทั้ง 2 คนได้คุยกันก่อนการเซ็นสัญญาจะลุล่วง และ เวลเบ็ค ทำให้ พ็อตเตอร์ เห็นว่าเขาจะได้อะไรบ้างหากเลือกที่ไว้ใจนักเตะที่แทบไม่มีใครเห็นค่าอย่างเขา

เช่นเดียวกัน เวลเบ็ค ก็ได้รับการสัญญาจาก พ็อตเตอร์ ว่า "ผมจะใช้คุณในวิธีการที่เหมาะกับคุณที่สุด" ... ทั้งคู่คุยกันและได้ข้อสรุปแบบ Win Win อันนำมาซึ่งเส้นทางใหม่ในทีมเล็ก ๆ อย่าง ไบรท์ตัน 

"หลายคนคิดว่าผมคงไม่สามารถกลับมาในระดับการเล่นอย่างพรีเมียร์ลีกได้อีกแล้ว พวกเขาบอกว่าเลเวลนี้มันสูงเกินไปสำหรับผม แต่ผมก็คือผม ผมรู้ตัวเองดี ผมกล้าบอกกับทุกคนว่าผมไม่ใช่แค่นักสู้ แต่ผมเป็นนักมอบความรัก ผมอยากตอบแทนคนที่รักและให้กำลังใจผม และผมจะแสดงให้เห็น" เวลเบ็ค ว่าในวันเปิดตัวกับ ไบรท์ตัน 

เราคงจะกล่าวเกินจริงถ้าจะบอกว่า เวลเบ็ค เป็นโคตรเซียนเหินเวหาทำได้ทุกอย่างดั่งใจนึกที่ ไบรท์ตัน เพราะในความจริงมันไม่ได้ถึงขั้นนั้นหรอก ... แต่ถ้าคุณมองภาพแห่งความผิดหวังที่เกิดขึ้นกับเขาตลอดอาชีพตั้งแต่ยังเป็นดาวรุ่ง ที่ ไบรท์ตัน ถือเป็นสถานที่ที่เขาฟื้นความมั่นใจ และพยายามพิสูจน์ตัวเองกลับมาให้ได้ ในวันที่ใครหลายคนลืมภาพและอาจจะลืมนึกถึงชื่อของเขาไปแล้ว ... นี่คือการต่อสู้ของชายคนหนึ่งที่อาจจะไม่ได้เปลี่ยนโลก แต่มันเปลี่ยนเขาไปโดยสิ้นเชิง 

"ผมมาที่นี่และผมท่องจำขึ้นใจ คุณคิดว่าตัวเองเก่งแค่ไหน จงจำเอาไว้ว่ายังมีช่องว่างให้ได้เติมเต็มด้วยพัฒนาการอันไม่มีที่สิ้นสุดเสมอ ... สิ่งต่าง ๆ จะไม่มาหาคุณง่ายดายเหมือนกับดีดนิ้ว แต่คุณต้องค่อย ๆ ทำมันทีละขั้น ทีละตอน และทำงานหนักจริง ๆ เพื่อให้ได้มันมา" เวลเบ็ค ว่าแบบนั้น 

ช่วงเวลากับ ไบรท์ตัน เวลเบ็ค เป็นกองหน้าตัวเป้าแบบที่เขาอยากจะเป็น อาจจะไม่ได้โดดเด่นเรื่องการยิงระเบิดเถิดเทิง แต่กับทีมที่เล่นฟุตบอลโดยใช้การเคลื่อนที่ของนักเตะทั้งทีมอย่าง ไบรท์ตัน เป็นอะไรที่ตอบโจทย์กับสไตล์การเล่นของ เวลเบ็ค มาก

พ็อตเตอร์ ชื่นชมเขาว่า นี่คือนักเตะซีเนียร์ที่ไม่เคยยืนเฉย ๆ เท้าของเขาขยับตลอดทั้งเกมเพื่อทำในสิ่งที่มประโยชน์ของทีม และประสบการณ์ที่มากขึ้นในวัยใกล้ ๆ 30 ปี ทำให้เขาเยือกเย็น และเห็นโอกาสมากกว่าแค่การหลับหูหลับตายิง 

เขามองเห็นส่วนประกอบรอบข้าง เขามองเห็นมุมและทิศทางการพยายามป้องกันของผู้รักษาประตู ... เขาใจเย็น และค่อย ๆ เลือกหนทางที่ง่ายที่สุดเพื่อทำให้ทีมได้ประตู ไม่ว่าจะใครจะเป็นคนส่งบอลไปกองที่ก้นตาข่ายก็ตาม ... ไม่ใช่แค่ พ็อตเตอร์ เท่านั้นที่พูดถึง เวลเบ็ค ในเชิงบวก กุนซือของ ไบรท์ตัน ในเวลาต่อมาทั้ง โรแบร์โต้ เดอ แชร์บี้ และคนปัจจุบันอย่าง ฟาเบียน เฮอร์เซเลอร์ ก็เช่นกัน 

"การมาที่นี่ทำให้ผมมองโลกในแง่ดีเสมอ และรู้สึกเป็นหนุ่มอีกครั้ง ผมกลับมาคิดทบททวนหลายอย่างและบอกตัวเองในสิ่งที่จำเป็นทุก ๆ วัน สิ่งหนึ่งก็คือคุณไม่สามารถคิดว่าคุณโดดเด่นขึ้นมาในซีซั่นเดียวแล้วมันจะทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปตลอดกาล ... ผมโตพอที่จะเข้าใจว่ามาตรฐานและความสม่ำเสมอสำคัญขนาดไหน" 

"เราสอนกันและกัน (เขา-ทีม และ โค้ชของ ไบรท์ตัน แต่ละคน) สอนให้พวกเราเดินหน้าต่อ ทำดีในนัดนี้แล้ว ก็ต้องทำดีในนัดต่อไป เราจะต้องเป็นคนที่ดีขึ้นในทุก ๆ วัน ซึ่งในความจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้นหรอก แต่การตั้งเป้าหมายเอาไว้ จะทำให้คุณกลายเป็นคนที่มีวินัย ไม่ว่าจะถูกเรียกว่าดาวรุ่งหรือนักเตะตัวเก๋าก็จงคิดเช่นนั้น"

"ฟุตบอลในวันนี้แตกต่างจากตอนที่ผมเป็นดาวรุ่ง เราต้องเรียนรู้และเข้าใจอะไรให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องแท็คติกกลยุทธ์ รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ การมาเล่นที่ ไบรท์ตัน ทำให้ผมพัฒนาจุดนี้ เพราะคุณจำเป็นต้องรู้รายละเอียดแทบทุกจุด ไมใช่แค่ตำแหน่งของตัวเอง แต่มันคือตำแหน่งของเพื่อนร่วมทีมด้วย"

"เรื่องพวกนี้ต้องพยายามอย่างมากเพื่อจะเข้าใจ แต่ถ้าไปถึงจุดที่คุณเริ่มเห็นสิ่งที่โค้ชของคุณจะสื่อ คุณจะเริ่มสนุกกับฟุตบอลอีกครั้ง" เวลเบ็ค อธิบายตัวเขากับชีวิตใหม่ที่ ไบรท์ตัน ไว้แบบนั้น 

เขาอยู่กับ ไบรท์ตัน เข้าปีที่ 5 ในซีซั่น 2024-25 ทุกอย่างที่เขาบอกยืนยันด้วยสายตาที่คุณเห็นเขาเล่นในเกม และในเชิงสถิติ เขาเล่นให้ ไบรท์ตัน ไปแล้ว 150 เกม มากกว่าตลอดอาชีพที่เขาเล่นให้ แมนฯ ยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล ด้วยซ้ำ 

ณ เวลานี้ เวลเบ็ค คือพี่ใหญ่ในห้องแต่งตัว เขาอายุมากกว่ากุนซืออย่าง เฮอร์เซเลอร์ ที่อายุ 32 ปี แต่ก็ไม่เคยสร้างปัญหา หนำซ้ำเขายังเป็นเหมือนเมนเทอร์ หรือพี่เลี้ยงสำหรับน้อง ๆ ในทีมหลาย ๆ คนคอยแนะนำอะไรต่าง ๆ ที่เขาผ่านมาแล้วในอดีต เพื่ออนาคตที่ดีสำหรับเด็ก ๆ รอบตัวของเขา 

นักเตะอย่าง เอแวน เฟอร์กูสัน, ฮูลิโอ เอ็นซิโซ่, คาโอรุ มิโตะมะ, เจา เปโดร หรือ จินี่ รุตแตร์ คือกลุ่มนักเตะหนุ่มทีมซี้ปึ้กกับ เวลเบ็ค และให้ความชื่นชมชายผู้เคยเป็นตัวตลกเมื่อ 10 ปีก่อนด้วยความเคารพจากใจจริง

"คำเดียวที่จำกัดความของ แดนนี่ เวลเบ็ค ในเวลานี้ก็คือ Cools (โคตรเจ๋ง) กองหน้าทุกคนล้วนตัดสินกันด้วยการยิงประตู แต่ทุกคนในทีมชุดนี้ไม่มีใครสงสัยในคุณภาพของ แดนนี่ เลยแม้แต่คนเดียว นี่คือคนสำคัญของเรา ... และผมกล้าพูดว่า เขาคือคุณครูที่ดีที่สุดในสนามของนักเตะหนุ่มทุกคนของเรา" กุนซือหนุ่มชาวดอยช์ สรุปความยอดเยี่ยมของ เวลเบ็ค ในวัย 34 ปี ได้อย่างตรงความ 

เส้นทางของ เวลเบ็ค สอนอะไรมากมายให้กับเราทุก ๆ คน เขาคือตัวอย่างของคนกลาง ๆ คนหนึ่งในองค์กร ๆ หนึ่ง ... คนที่ไม่ได้อยู่ในสปอตไลท์ แต่ก็ไม่เคยด้อยค่าตัวเองด้วยการทำอะไรแบบขอไปที เขาทุ่มเทจนจบงานเสมอ 

และเมื่อเขาได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองในวันหนึ่ง เขาเอาบทเรียนที่เคยล้มเหลว ผิดพลาด มาคอยแก้ไขและทำให้การเดินทางครั้งใหม่ดีขึ้นยิ่งกว่าเดิม ... อย่างที่เขาบอกนั่นแหละ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักสู้หรอก ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรให้ใครเห็นในทุก ๆ วินาที

สิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณรู้ว่าคุณทำอะไรได้บ้าง ... และคุณพร้อมแค่ไหนในวันที่โอกาสอีกครั้งเวียนเข้ามา ... ตอนนี้ใครจะขำเขาอีก ? ไม่มีอีกแล้ว เรื่องราวของเขาถูกเขียนขึ้นใหม่จากตัวตลก สู่คนที่อยู่ถูกที่ ท่ามกลางผู้คนที่รักและเคารพเขาจากใจจริง  

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.nytimes.com/athletic/6083563/2025/02/26/danny-welbeck-brighton-goals/
https://www.thetimes.com/article/danny-welbeck-interview-brighton-d7jr2l0cs
https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/danny-welbeck-insists-manchester-united-4659331
https://www.theguardian.com/football/2012/jan/27/danny-welbeck-manchester-united-england
https://telegrafi.com/en/ferguson-welbeck-was-fantastic/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ