Feature

ตกต่ำที่สุดในอาชีพกุนซือ : เมื่อนักฆ่าตำนานอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โดนของเข้าตัว | Main Stand

แปลกดีที่ยุคนี้อะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น เราก็ได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหตุบ้านการเมือง หรือแม้กระทั่งเรื่องของฟุตบอล ที่ใครจะไปเชื่อว่า ยอดโค้ชอัจฉริยะอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะมีวันนี้ ?

 

นี่คือช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของเขาในอาชีพกุนซือ แย่แบบที่ไม่เคยแย่ขนาดนี้ 11 นัดหลังสุดรวมทุกรายการ แพ้ 8 เสมอ 2 ชนะแค่ 1 ยังไม่รวมสภาพจิตใจรวมถึงภาษากายที่บ่งบอกถึงความสิ้นหวังแบบสุด ๆ 

ปกติแล้ว เป๊ป เป็นคนที่สร้างความรู้สึกแบบนี้ให้โค้ชคนอื่นมานักต่อนัก แต่ตอนนี้ เขากำลังเผชิญมันด้วยตัวเอง 

อ่านเรื่องราวทั้งหมดที่ Main Stand 

 

นักฆ่าตำนาน 

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นนักเตะ และ "คน" ที่ซึมซับ เติบโตมากับฟุตบอลตลอดชีวิต 

ฟุตบอลในแบบที่เขาเรียนรู้ ศึกษา เติบโต และประสบความสำเร็จ คือฟุตบอลแบบ บาร์เซโลน่า หรือขยายความให้ชัดขึ้นอีก ก็ต้องบอกว่าเป็นปรัชญาที่อธิบายได้ด้วยประโยคเดียวนั่นคือ "การเล่นฟุตบอลคือเรื่องง่าย แต่การเล่นฟุตบอลง่าย ๆ คือสิ่งที่ยากที่สุด" คำกล่าวนี้เป็นของ โยฮัน ครัฟฟ์ ตำนานลูกหนังโลก และเป็นผู้สร้างวิสัยทัศน์แบบนี้ให้กับศูนย์ฝึกเยาวชนที่ดีที่สุดในโลกอย่าง "ลา มาเซีย"

จากคำอธิบายสั้น ๆ นี้ คุณก็จะเข้าใจโดยเบื้องต้นแล้วว่าฟุตบอลของ เป๊ป เป็นอย่างไร ... เรียบง่าย มีคุณภาพ มีความสนุก มีความคิดสร้างสรรค์ 

ในชีวประวัติของเขาที่ชื่อว่า My People My Football มีหลายคนพูดถึงเขาว่า เป็ป เป็นคนที่คิดถึงฟุตบอลตลอดเวลา พูดเรื่องฟุตบอลได้ทั้งวัน ศึกษาและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตามเทรนด์ฟุตบอลตลอด นี่คือคนบ้าฟุตบอลจริง ๆ เหมือนที่เขาว่ากันว่า "เมื่อได้ทำงานที่ตัวเองรัก คุณจะไม่รู้สึกตัวว่ากำลังทำงาน" คำนี้ใช้ได้กับ เป๊ป จริง ๆ 

เขาเริ่มทำงานโค้ชครั้งแรกกับ บาร์เซโลน่า เบ ในปี 2007 จากนั้นปีเดียวก็ขยับขึ้นมารับงานคุมทีมชุดใหญ่ และสิ่งที่อยู่ในหัวสมองของเขา กล่าวคือแนวคิด ปรัชญา วิธีการเล่นทุก ๆ อย่าง ถูกใส่ลงไปในนักเตะระดับหัวแถวของโลก ซึ่งผลที่ออกมาก็คือ เขาได้สร้างวิธีการเล่นที่เปลี่ยนโลกฟุตบอลไปโดยสิ้นเชิง เรียกได้ว่าเป็นยุคที่ทีมไหนก็ตามบนโลกนี้อยากจะเล่นฟุตบอลแบบ บาร์เซโลน่า 

ที่ บาร์เซโลน่า เขาคว้าทุกแชมป์ที่ลงเล่น จากนั้นก็ไป บาเยิร์น มิวนิค และยังคงรักษาความยอดเยี่ยมเอาไว้ได้ ขาดตกบกพร่องก็อาจจะเป็นเรื่องแชมป์ยุโรปที่คาดหวัง ทว่าอย่างไรเสีย เรื่องแนวทางวิธีการเล่นก็ยังต้องบอกว่า ฟุตบอลของ เป๊ป ยังคงเป็นหนึ่งในตองอู จนกระทั่งเขามาได้รับงานใหญ่กับทีมเศรษฐีที่อยากสร้างประวัติศาสตร์กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ... ซึ่งก็อย่างที่เราทุกคนเห็น มาถึงตอนนี้คงไม่มีอะไรต้องถามถึงความเป็นอัจฉริยะด้านกุนซือของเขา

ไล่เรียงมาตั้งแต่ บาร์เซโลน่า ถึง แมนฯ ซิตี้ ไม่ว่าใครขวางทาง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คนนั้นล้วนมีจุดจบด้วยการ "แพ้มากกว่าชนะ" ทั้งสิ้น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ถึงกับกำหมัดในเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2010-11, โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ตั้งตัวเป็นไม้เบื่อไม้เมา ก็มีสถิติการพบกันที่เป็นรอง เป๊ป ไม่ว่าจะนับแบบเฮดทูเฮด หรือนับถ้วยรางวัลความสำเร็จ, เยอร์เก้น คล็อปป์ พยายามอย่างสุดความสามารถ แต่ก็แพ้มากกว่าชนะ จนต้องลาออกจากทั้ง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ ลิเวอร์พูล ยังไม่นับอีกมากมายหลายกุนซือ ที่ต้องแพ้ให้กับอัจฉริยะอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า 

เขาสร้างความเครียด ความเหนื่อย ความท้อ และหลายคนเลือกที่จะลาออกจากตำแหน่ง หรือหนักกว่านั้นก็โดนไล่ออก คำถามคือคนที่คิดค้นพัฒนาฟุตบอลแบบไม่เคยหยุดหย่อนอย่าง เป๊ป กำลังเจอสิ่งที่เคยทำย้อนเข้าตัวในเวลานี้ได้อย่างไร 

 

ใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง

ต้องขอเอาคำพระมาใช้ เพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กำลังประสบอยู่ในเวลานี้ "ใด ๆ ในโลก … ล้วนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ซึ่งหมายความว่าโลกเราเป็นเช่นนี้มาเสมอ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า และสิ่งเดียวบนโลกนี้ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงก็คือ ความเปลี่ยนแปลง 

อธิบายมาถึงตรงนี้ อาจจะบอกว่ามันออกนอกทะเล แต่เอาเข้าจริง ฟุตบอลก็ถือเป็นสิ่งหนึ่งบนโลกใบนี้ ไม่มีทีมใดเก่งที่สุดเป็นเบอร์ 1 หรือผู้ชนะตลอดกาล และเมื่อคุณเป็นที่ 1 ย่อมมีคนอยากจะเอาชนะ และผู้ที่ตามหลังจะพยายามมากขึ้นกว่าเดิมเสมอ เมื่อพวกเขารู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่มันน้อยเกินไปที่จะเอาชนะหมายเลข 1 ได้ 

แมนฯ ซิตี้ กำลังเผชิญการไล่หลังของคู่แข่งที่พยายามขึ้นมามาก ๆ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เองก็ไม่เคยเจอศึกรอบด้านแบบนี้มาก่อน ปกติแล้วเหมือนเขาจะต้องดวลกับ เยอร์เก้น คล็อปป์ คนเดียวเท่านั้นที่เบียดชิงแชมป์ พรีเมียร์ ลีก กัน เขาทำให้ คล็อปป์ ยอมแพ้เพราะเหนื่อยเกินไปที่จะตามล่า ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คู่ต่อกรคนใหม่เดินหน้าเข้ามา คนนั้นคือ อาร์เน่อ ชล็อต และประกอบกับเหล่าผู้พยายามตามหลังแต่เดิมอย่าง มิเกล อาร์เตต้า รวมถึงกุนซือหน้าใหม่ที่เป็นลูกน้องเก่าอย่าง เอ็นโซ่ มาเรสก้า ของ เชลซี 

กุนซือเหล่านี้เปลี่ยนแนวทางฟุตบอลของทีมที่พวกเขาคุม โดยเอาปรัชญาของพวกเขามาใส่ผสมกันเข้าไปเพื่อหาจุดลงตัว ซึ่งถ้าคุณได้สังเกตสักหน่อย คุณจะเข้าใจเรื่องนี้ได้โดยง่าย มิเกล อาร์เตต้า เปลี่ยน อาร์เซน่อล ให้เป็นฟุตบอลที่ดุดันเข้มข้น ผสมความเดือดจากลูกตั้งเตะจนเป็นอาวุธที่ใครยังเลียนแบบไม่ได้ 

ชล็อต เปลี่ยนฟุตบอล "เฮฟวี่ เมทัล" จากยุคของ คล็อปป์ ให้เป็นฟุตบอลที่หาจุดกึ่งกลางระหว่างความเอ็นเตอร์เทนและความปลอดภัย เพื่อให้ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการมากกว่าเดิม 

เอ็นโซ่ มาเรสก้า กำลังสร้างฟุตบอลของคนหนุ่ม ที่ความมุ่งมั่นพยายามไม่แพ้ทีมอื่น ๆ แถมยังมีความหลากหลายในเชิงแท็คติก เหมือนกับสมัยที่ เป๊ป เริ่มงานเมื่อตอนหนุ่ม ๆ 

คุณอาจจะรวม รูเบน อโมริม กุนซือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ใช้แผนหลัง 3 (3-4-2-1) ทีมเดียวในลีก ซึ่งเป็นแผนที่ แมนฯ ซิตี้ พังคาบ้านมาสด ๆ ร้อน ๆ แถม อโมริม ยังเป็นโค้ชรุ่นใหม่ที่ไม่เคยแพ้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เลยแม้แต่หนเดียว 

ถ้าจะให้เปรียบตอนนี้ เป๊ป ก็เหมือนกับกุนซือระดับตำนานขึ้นหิ้ง ที่เจอกับช่วงเวลาที่คู่แข่งร่วมกันพัฒนายกระดับ โดยมีเป้าง่าย ๆ ถ้าคุณอยากจะเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก เป้าหมายเดียวนั้นก็คือ คุณต้องเอาชนะ แมนฯ ซิตี้ ทีมที่คว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก 6 สมัยจาก 7 ปีหลังสุดให้ได้ 

เป๊ป คือคนที่ทุกคนเล็งรอสอยลงจากคอน เหมือนตอนที่ เซอร์ อเล็กซ์ โดนกุนซือรุ่นใหม่อย่าง โช่เซ่ มูรินโญ่, เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และอีกหลาย ๆ คนที่คิดค้นศาสตร์ฟุตบอลแบบใหม่ ๆ ซึ่งปลายทางของทั้ง เป๊ป และ มูรินโญ่ ในตอนนั้น ก็คือการมีสถิติการดวลกับ "เฟอร์กี้" ที่เหนือกว่าทั้งสิ้น 

กลับกัน เมื่อคุณหันกลับมามอง ซิตี้ ของ เป๊ป ในเวลานี้ พวกเขาอ่อนแอลง ก็เนื่องจากการพัฒนาทีมที่ไม่ได้ก้าวกระโดดเหมือนแต่ก่อน ปกติแล้วทุก ๆ ซัมเมอร์ เป๊ป ไม่เคยลังเลที่จะซื้อนักเตะแถวหน้าของโลกมาเติมใส่ทีมตลอด ที่เคยแข็งแกร่งอยู่แล้ว ก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีก 

แต่ ณ ตอนนี้ แมนฯ ซิตี้ นอกจากไม่เสริมแล้ว ยังเริ่มระบายนักเตะหลายคนออกไป ซึ่งหลายคนเป็นดาวรุ่งที่ควรจะขึ้นมาต่อยอดได้ อาทิ โคล พาลเมอร์, ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ, ยาน เคาโต้ และอีกหลากหลายคนที่ออกไปเป็นตัวหลักของทีมอื่น ๆ และแบกทีมได้สบาย ๆ ... คู่แข่งแข็งแกร่งขึ้น ขณะที่คุณอ่อนแอลง มันเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ที่คุณจะต้องเจอกับงานที่ยากขึ้น และประสบกับความเครียดมหาศาลแบบที่ เป๊ป กำลังเป็นในเวลานี้ 

 

ยอมแพ้หรือไปต่อ

ย้อนกลับไปในอดีตมาจนถึงในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เราเชื่อว่าคุณไม่เคยเห็น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ให้สัมภาษณ์แบบยอมรับความพ่ายแพ้ และบอกว่าตัวเองยังไม่รู้วิธีแก้ไขปัญหาของทีมในตอนนี้ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่ง ณ ตอนนี้ มันเหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละโลก เป๊ป ออกมาพูดให้สัมภาษณ์ประโยคลักษณะนี้บ่อยมากในแทบจะทุกสัปดาห์ที่ทีมของเขาไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งของตัวเองได้ 

"ไม่มีอะไรจะพูด เราเสียประตู มันเป็นความผิดของเรา เราเล่นได้ไม่นิ่งพอ ทำให้ได้ผลการแข่งขันที่ไม่ดี ฟอร์มการเล่นที่ไม่เป็นไปตามคาด ... ผมรู้ตั้งแต่ต้นฤดูกาลแล้ว ว่านี่จะเป็นฤดูกาลที่ยาก แต่ผมไม่คิดว่ามันจะยากขนาดนี้ ผมคือบอส ผมคือผู้จัดการทีม ผมต้องหาทางออกให้ทีม และจนถึงตอนนี้ผมก็ยังหาไม่เจอ นั่นคือความจริง" นี่คือคำสัมภาษณ์สด ๆ ร้อน ๆ ของ เป๊ป 

และถ้าไปให้ลึกถึงภาษากาย คุณจะได้เห็นความเครียดและการแสดงออกของเขาอีกระดับแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน การถีบเก้าอี้ด้วยความโกรธในเกมที่เสมอกับ อาร์เซน่อล 2-2, การข่วนหน้าตัวเองยับเยินจนเป็นแผลเต็มไปหมด และล่าสุด กับอาการก้มหน้าเอามือปิดตาปิดจมูกแบบอยากจะหายไปจากตรงนี้ ในเกมพ่าย ยูไนเต็ด คาบ้าน 

สิ่งเหล่านี้ เป๊ป เคยฝากเอาไว้ให้กับกุนซือหลายคนในอดีตแบบที่เรากล่าวมา วันนี้ถึงคิวของเขาแล้ว และเขากำลังได้รู้ซึ้งถึงคำว่า "ยิ่งสูงยิ่งหนาว" เป็นอย่างไร 

ความยากจากนี้คือ เป๊ป จะมีแรงพอที่จะฮึดขึ้นมาขอสู้ใหม่ได้หรือไม่ ตอนนี้อากัปกิริยาของเขากำลังทำให้ลูกทีมของเขาขาดความมั่นใจลงไปด้วย นักเตะในทีมของ แมนฯ ซิตี้ เริ่มเล่นผิดพลาดในสนามแบบไม่เคยเป็นมาก่อน แถมเกิดขึ้นแบบถี่ ๆ อีกต่างหาก 

นอกจากนี้ แบร์นาโด้ ซิลวา ยังทำเหมือนกับลากเพื่อนร่วมทีมอย่าง มาเธอุส นูเนส ออกมาตบกลางสี่แยก ด้วยการบอกว่า "ผิดพลาดเหมือนกับการเล่นในระดับฟุตบอลเยาวชนอายุ 15 ปี" ซึ่งนั่นบ่งบอกถึงความคาดหวังในทีมที่สูงขึ้นทุกวัน สวนทางกับสิ่งที่พวกเขาเป็นในโลกแห่งความจริง

ถ้าปัญหานี้มันแก้ง่ายจริง ๆ เราคงไม่ได้เห็น ซิตี้ มาถึงจุดที่ย่ำแย่ขนาดนี้ คุณลองเปรียบเทียบกับ คล็อปป์ ก็ได้ ถ้าการยกระดับเพื่อเป็นเบอร์ 1 มันง่ายจริง คล็อปป์ ก็คงไม่เหนื่อยจนลาออกแน่นอน

ปัญหาเหล่านี้ คือสิ่งที่อัจฉริยะแบบ เป๊ป ยังไม่เคยเจอมาก่อน และการจะแก้ไขมันได้นั้น มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ แต่คำถามคือ เขาต้องใช้เวลาอีกสักเท่าไหร่จึงจะจับจุดได้ว่า ที่มาผ่านมาเกิดอะไรขึ้น และจากนี้ ทีมของเขาจะกลับมาอยู่ในสถานะเบอร์ 1 ได้อย่างไร ?      

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.goal.com/en/lists/pep-guardiola-man-city-quit-warning-signed-new-contract-premier-league-champions/blt2efd6bdf317fcbd5
https://www.eurosport.com/football/premier-league/2024-2025/pep-guardiola-questions-himself-manchester-derby-defeat-worsens-city-horror-run_sto20063253/story.shtml
https://www.premierleague.com/news/4197778
https://www.bbc.com/sport/football/articles/cwy4rr9837yo
https://www.goal.com/en/lists/pep-guardiola-releases-statement-furious-backlash-worrying-hurt-myself-remarks-man-city-draw-feyenoord/bltf3f19dbafa41a0dc

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ