ณ เวลานี้ ตารางดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024-25 เต็มไปด้วยแข้งตัวท็อปเชิงสูงฝีเท้าดีตามสไตล์ฟุตบอลยุคใหม่มากมาย
แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นกองหน้ายุคเก่า เล่นพรีเมียร์ลีกมาตั้งแต่ปลายยุค 2000s มีสไตล์การเล่นเข้าใจง่าย ๆ แบบที่เขาเรียกกันว่า "กองหน้าโบราณ" อย่าง คริส วู้ด ที่ขึ้นมาสร้างเซอร์ไพรส์ และเกาะอันดับ 2 ของตารางในเวลานี้
คริส วู้ด ที่ทำท่าจะเป็นนักเตะตกแพทช์ เล่นไม่ได้ในฟุตบอลยุคใหม่ที่เน้นบอลกับเท้าและเกมไว ๆ ใช้สไตล์ "โอลด์สคูล" อย่างไรให้เป็นตัวอันตรายที่ใครก็ต้องจับตามอง ?
ติดตามที่ Main Stand
กำเนิด คริส วู้ด
คริส วู้ด ไม่ใช่นักเตะอังกฤษ และก็ไม่ได้เติบโตมากับฟุตบอลอังกฤษตั้งแต่แรกด้วย เรื่องราวเริ่มต้นของเขาเกิดขึ้นที่ประเทศนิวซีแลนด์ ดินแดนที่เล่นรักบี้มากกว่าฟุตบอล
วู้ด เกิดที่เมืองอ็อคแลนด์ และเล่นกีฬาหลากหลายชนิดมาตั้งแต่ยังเด็ก จนกระทั่งอายุ 11 ปี ครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ชนบทใน ไวคาโต และเขาก็เริ่มเล่นฟุตบอลจริงจังกับสโมสรท้องถิ่นที่นั่น
ที่เราต้องย้อนไปไกลเพราะมันมีความสำคัญกับเรื่องนี้ คริส วู้ด กลายเป็นเด็กที่เติบโตไว ตัวใหญ่กว่าใคร ว่ากันว่าตอนอายุ 14 ปี เขาตัวใหญ่พอที่จะเล่นฟุตบอลกับทีมชุดใหญ่แล้ว
ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้น คริส วู้ด พาทีมท้องถิ่นของเขาคว้าแชมป์ระดับชาติ แต่ก็ต้องโดนริบแชมป์ เพราะว่ากฎห้ามนักเตะอายุต่ำกว่า 15 ปี ลงเล่น แต่ วู้ด อายุแค่ 14 ปี ในเวลานั้น
นี่เป็นสิ่งที่บอกว่า คริส วู้ด เติบโตไวมากในระบบฟุตบอลของนิวซีแลนด์ที่ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก เด็กยักษ์คนนี้เก็บเรียบจนชนิดที่ว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการฟุตบอลนิวซีแลนด์จะต้องทำอะไรสักอย่าง จนกระทั่งมาเจอกับ โรเจอร์ วิลกินสัน อดีตนักเตะและโค้ชทีมอคาเดมี่ของ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ที่ย้ายมาคุมทีม ไวคาโต เอฟซี ในลีกนิวซีแลนด์ ระหว่างปี 2006-2008
วิลกินสัน ช่วยสร้าง วู้ด ให้แกร่งขึ้น จนกระทั่งติดทีมชาติตั้งแต่อายุ 17 ปี ได้ไปเล่นฟุตบอลโลกเยาวชน จนกระทั่งสุดท้าย เขาก็ช่วยให้ วู้ด ได้ไปอังกฤษตอนอายุ 18 ปี โดยการฝากฝังกับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ทีมเก่าของเขาเอง จากนั้นการต่อสู้ในเวทีของจริงที่มีแต่นักเตะแกร่งเท่า ๆ กับเขาก็ได้เริ่มขึ้น
เบอร์ 9 โบราณ
คริส วู้ด เล่นให้ทีมเยาวชนของ เวสต์บรอมวิช ได้ไม่กี่ปี ความแข็งแกร่งของเขามันก็ล้นออกมาจนพร้อมสำหรับการเล่นระดับทีมชุดใหญ่แล้ว ดังนั้นเขาจึงเริ่มถูกปล่อยยืมให้ทีมระดับลีกรองใช้งานก่อนในช่วงแรก และช่วงเวลานั้นก็เป็นช่วงที่เขาได้ฝึกวิทยายุทธในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าแบบโอลด์สคูล หรือที่เรียกกันมาเสมอว่า "กองหน้าสไตล์โบราณ"
ลักษณะของกองหน้าสไตล์โบราณ ตรงกับ วู้ด ทุกประการ ... ตัวใหญ่ แข็งแรง ชนกระเด็น เล่นลูกกลางอากาศดี หันหลังเล่นกับลูกฟุตบอลได้ และเมื่อมีโอกาส สามารถจบสกอร์ได้อย่างเฉียบคม
วู้ด เล่าว่าวิธีการนี้เป็นวิธีการที่เขาถูกฝึกมาตั้งแต่อยู่ นิวซีแลนด์ แล้ว แต่พอมาอยู่ที่อังกฤษ การฝึกแบบนี้เพิ่มขึ้นไปอีกระดับ โดยเฉพาะเรื่องการหันหลังเล่น ที่จำเป็นอย่างมากในฐานะตัวที่ต้องคอยเก็บบอลจังหวะแรก และรอให้เพื่อนร่วมทีมสอดขึ้นมาเล่นเป็นตัวเข้าทำ
"คุณจะมีร่างกายแข็งแรงอย่างเดียวไม่ได้ การเป็นกองหน้าเบอร์ 9 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณเล่นในลีกอังกฤษ ไหวพริบคุณต้องดีด้วย คุณต้องอ่านสถานการณ์ให้ออกว่า แต่ละจังหวะคุณจะเลือกการเล่นแบบไหน ซึ่งมันสำคัญมาก ๆ เพราะการตัดสินใจที่ถูกต้อง จะช่วยเปลี่ยนโอกาสอันน้อยนิด ให้กลายเป็นความแตกต่างของเกมได้"
"ผมพยายามทำความเข้าใจว่าแต่ละจังหวะผมจะต้องเลือกแบบไหน มีทั้งการโหม่งชงตั้งแต่จังหวะแรก การพักบอลไว้กับตัว การสะบัดเปลี่ยนทางให้ไปยังที่ว่างเพื่อให้เพื่อนสอดขึ้นมาเล่น หรือแม้กระทั่งการพลิกบอลด้วยตัวเอง ...การหันหลังเล่นเป็นศิลปะ ที่ผมใช้เวลาฝึกฝนมันมานาน ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด เพราะผมต้องใช้ทักษะนี้ไปตลอดชีวิต" วู้ด ว่าแบบนั้น
สิ่งที่เขาบอกชัดเจนว่าด้วยร่างกายที่ใหญ่มาตั้งแต่แรก ไม่ใช่แค่สูง และน้ำหนักเยอะ แต่สรีระของเขามีส่วนหนาช่วงลำตัวและหน้าอก แถมยังมีลำตัวกว้าง ทำให้ฐานของเขาแน่นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปฝึกเรื่องการปะทะ การบังบอล เราจึงได้เห็นว่า ทำไมเมื่อมีลูกกลางอากาศ คริส วู้ด จึงเป็นคนแรก ๆ ที่ไปถึง และในเวลาที่กองหลังหวดบอลโด่งโป้งเดียวจากหน้าประตูตัวเองมา เขาจึงเป็นคนแรกที่เข้าไปเล่นลูกนั้นเพื่อทำให้ทีมได้เป็นฝ่ายครองบอลเสมอ
เขาอาจจะไม่ใช่นักเตะระดับท็อป แต่ถ้าคุณอยากจะหาใครสักคนมาเล่นในตำแหน่งกองหน้าแบบโอลด์สคูลแบบนี้ ถ้าคุณเหลือบตามองนักเตะกองหน้าทุกคนในพรีเมียร์ลีก ไม่มีใครดีเกินวู้ดแน่นอน เขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริง ๆ
และคนที่หามันเจอเและปลี่ยนจุดแข็งนี้ให้ปรากฏแก่สายตาแฟนบอลทุกคนชัดขึ้นก็คึอ ฌอน ไดซ์ เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในช่วงปี 2017 ที่ วู้ด ถูก ฌอน ไดซ์ กุนซือของ เบิร์นลี่ย์ ซื้อตัวมาร่วมทีม และนี่คือช่วงเวลาที่ต่างคนต่างเข้ามือมากที่สุด เพราะวิธีการเล่นที่ ไดซ์ ชอบ ก็จำเป็นต้องมีนักเตะอย่าง วู้ด และ กองหน้าอย่าง วู้ด ก็จะได้บอลโด่งจากรอบทิศทางภายใต้การสั่งการของ ไดซ์
"วู้ดดี้ เป็นสุดยอดกองหน้าเสมอในความคิดของผม น่าตลกไหมล่ะที่ผมต้องยอมรับว่า บางทีที่เราถึงเวลาชี้เป็นชี้ตาย นักเตะของเราจะรู้โดยที่ผมไม่ต้องบอกว่าได้เวลาแล้ว ... ถึงเวลาที่พวกเขาจะโยนบอลยาวจากทุกระยะเข้าไปในกรอบเขตโทษ เพื่อให้ วู้ดดี้ เป็นคนจัดการมันต่อจากนั้น" ฌอน ไดซ์ กล่าว
อย่างที่บอก วู้ด ไม่ใช่กองหน้าที่ยิงเยอะอะไรมาตั้งแต่แรก ในฐานะตัวพักบอลเขาไม่เคยยิงถึง 10 ประตูในเกมลีก 1 ซีซั่นเลยจนกระทั่งมาเจอ ไดซ์ ในปีแรก สถิติก็แตกทันที และ 4 ฤดูกาลแรกกับ เบิร์นลี่ย์ วู้ด ยิงเกิน 10 ประตูในลีกทุกซีซั่น โดยในฤดูกาล 2019-20 เขายิงไปถึง 14 ประตูเลยทีเดียว
ฌอน ไดซ์ ขยายความว่ากองหน้าอย่าง วู้ด ยิ่งแก่ก็ยิ่งเก่งขึ้นเรื่อย ๆ เพราะนอกจากจะได้เปรียบด้านร่างกายแล้ว เขายังเป็นคนที่มีวินัยในการดูแลตัวเองดีมาก มีการกินของดี ๆ ไม่ดื่มเหล้า ไม่เที่ยวกลางคืน และเข้าโรงยิมเป็นพิเศษตลอด ของแบบนี้ยิ่งทำได้นานและต่อเนื่องเท่าไหร่ ก็ยิ่งยืดระยะการใช้งานร่างกายได้มากเท่านั้น
นอกจากนี้เรื่องของประสบการณ์ ฌอน ไดซ์ มองว่า วู้ด นั้นเรียนรู้ไวและหัวเร็วมาก และสิ่งที่จะทำให้เขาเก่งขึ้นก็คือการหาจังหวะยิงประตูที่แม่นยำ เขาอาจจะไม่ได้ง้างยิงบ่อยนัก แต่ถ้าเห็นจังหวะเขาจะรู้ด้วยสัญชาตญาณทันทีว่า เขาจะต้องจัดการมันด้วยตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาจาก วู้ด ในเวอร์ชั่นโตเต็มวัย
"สำหรับ วู้ด ผมต้องบอกว่านี่คือกองหน้าตัวเป้าชั้นดีในพรีเมียร์ลีกเลย ... เขามีจุดอ่อนเรื่องสปีดความเร็ว หรือการเลี้ยงบอลอะไรก็ช่าง แต่เขามีสิ่งที่กองหน้าต้องมี นั่นคือการหาจังหวะการจบสกอร์ได้เก่งมาก ไม่ว่าจะโดนประกบห้อมล้อมมากแค่ไหน เขามักจะหาวิธีจัดการได้เสมอ ... ความแข็งแกร่ง แข็งแรง เข้าใจในบทบาทของตัวเองนี่แหละคือจุดเด่นที่ วู้ด มีมากกว่าคนอื่น ๆ" กุนซือคู่บุญว่าแบบนั้น
ความสำเร็จของ วู้ด กับ เบิร์นลี่ย์ ทำให้เขาถูก นิวคาสเซิล ซื้อตัวไปร่วมทีมในฤดูกาล 2022-23 ด้วยราคาถึง 30 ล้านปอนด์ อย่างไรก็ตาม แนวทางการเล่นของทีมเปลี่ยนไปเมื่อ นิวคาสเซิล เปลี่ยนโค้ชเป็น เอ็ดดี้ ฮาว กองหน้าในสไตล์อย่าง วู้ด ก็เป็นเพียงอะไหล่ ที่ใช้เวลาทีมต้องการเปลี่ยนแท็คติกเข้าทำเท่านั้น เขาอยู่ที่นั่น 2 ปี ได้เล่นไม่เยอะ จนใครหลายคนคิดว่าในวัย 30 บวก ๆ วู้ด คงจบเห่แค่นี้ โมเดิร์นฟุตบอลกลืนกินเขาไปแล้ว และเขาเก่าเกินกว่าจะเป็นนักเตะระดับพรีเมียร์ลีกไปแล้ว
ทว่า วู้ด ได้สร้าง "ร่าง 3" ในการย้ายทีมครั้งสำคัญ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ยืมตัวและซื้อขาดเขาจาก นิวคาสเซิล และนี่คือการย้ายทีมที่ทำให้เขาได้เจอกุนซือที่รู้มือเป็นคนที่ 2 ในอาชีพต่อจาก ฌอณ ไดซ์ นั่นคือ นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้
ของดีที่กำลังจะเป็นตำนาน
ในช่วงแรก คริส วู้ด เล่นให้กับ ฟอเรสต์ ภายใต้กาคุมทีมของ สตีฟ คูเปอร์ ซึ่งจำนวนประตูก็น้อยน่าใจหาย ยิงได้แค่ลูกเดียวในครึ่งซีซั่นแรก จนกระทั่งไม่นานนัก นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ ก็เข้ามาทำทีมเป็นคนต่อไป จากนั้น คริส วู้ด ก็กลายเป็นชื่อที่ปรากฏบนสกอร์บอร์ดในแทบทุกสัปดาห์อย่างที่เป็นในเวลานี้
เมื่อ นูโน่ ถูกถามว่าเขาเปลี่ยนอะไรในตัว คริส วู้ด นักเตะรายนี้จึงได้พลิกฟอร์มการยิงประตูได้สุดดุเดือดขนาดนี้ นูโน่ ตอบกลับสั้น ๆ ว่า
"ไม่ ... ผมไม่ได้เปลี่ยนอะไรเขาเลย ไม่มีความลับอะไรทั้ง มันเป็นเรื่องของการเตรียมตัวที่ดีของนักเตะ และวู้ดคือนักเตะที่ตั้งใจซ้อมมาก ๆ เขาทำได้ตามโปรแกรมที่เราวางไว้ทุกอย่าง ผมคิดว่าเขาเป็นของเขาแบบนี้อยู่แล้ว และเราแค่มีเป้าหมายในการทำงานตรงกันแค่นั้นเอง"
การได้เล่นให้ ฟอเรสต์ เหมือนย้อนกลับมาสมัยยุคได้เล่นให้กับ เบิร์นลี่ย์ ช่วงเขาพีก ๆ เพราะฟุตบอลของ นูโน่ นั้นคือการตั้งรับและสวนกลับเป็นหัวใจหลัก
และตลอดเวลาที่ทำเกมรุก นูโน่ มักจะให้นักเตะของเขาพยายามส่งบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะปีก 2 ฝั่งที่นอกจากจะมีหน้าที่คอยเปิดบอลแล้ว ยังต้องหุบเข้าไปช่วยกองหน้าตัวเป้าอย่าง วู้ด เล่นในจังหวะสวนกลับด้วย นั่นจึงทำให้ วู้ด ในวัย 33 ปี ไม่ต้องทำงานหนักมาก เขาแค่ทำเหมือนสิ่งที่ทำมาตลอด พัก บัง และสร้างโอกาสให้เพื่อนเอาไปเล่นต่อ
และสถิติยังบอกว่า ฟอเรสต์ เป็นทีมที่เล่นบอลไดเร็กต์เป็นหลักเสมอ พวกเขาเคลื่อนบอลไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะบอลยาวหรือสั้น ทุกคนจะต้องพร้อมพุ่งไปข้างหน้า และใช้จังหวะให้น้อยที่สุด ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์กับ คริส วู้ด เป็นอย่างมาก และทำให้เขามีส่วนร่วมในแทบทุกจังหวะเกมบุกในทีม ฟอรเสต์ ชุดนี้
"ผลงานของเขา ความมุ่งมั่นของเขา และวิธีที่เขาทำงานหนักในทุกวันเพื่อเตรียมตัว คือตัวอย่างและสารตั้งของเรื่องนี้ จากนั้นมันนำมาซึ่งความมั่นใจ และการรู้ใจกับเพื่อนร่วมทีม ทำให้เขาสามารถเล่นได้ง่ายขึ้น เขารู้ว่าจังหวะที่เขาต้องเคลื่อนที่ไปยังจุดที่เราต้องการ เขาจะต้องอยู่ตรงไหนในพื้นที่สุดท้าย ... เขาอาจจะยิงได้เยอะ แต่ วู้ดดี้ ไม่ได้เก่งแค่การยิงประตูแน่นอน เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่เขามอบให้กับทีมเราในตอนนี้ ถือเป็นสิ่งที่เราจะขาดไม่ได้ไปแล้ว" นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ ว่าถึงวู้ด
มาถึงตรงนี้ ไม่น่าเชื่อว่า คริส วู้ด กำลังจะกลายเป็นนักเตะที่ยิงประตูให้ ฟอเรสต์ ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรนับตั้งแต่มีพรีเมียร์ลีก โดย ปัจจุบันเขายิงในลีกให้ ฟอเรสต์ ไป 22 ลูก เทียบเท่ากับ สแตน คอลลีมอร์ และมีเพียงคนเดียวที่ยิงได้มากกว่าเขาคือ ไบรอัน รอย ที่ยิงไป 24 ลูก ... ซึ่งระยะห่างแค่ 2 ลูก เชื่อว่าสถิตินี้คงแตกในไม่ช้า
ไม่มีหรอกคำว่าโบราณหรือเก่าเกินไป มันอยู่ที่ว่าคุณจะปรับตัวกับสิ่งใหม่ ๆ ที่หมุนเข้ามาหรือเปล่า ... กองหน้ายุคเก่าอย่าง วู้ด กำลังเป็นตัวอันตรายในฟุตบอลสมัยใหม่ได้ ก็เพราะความพยายามที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ดูแลตัวเองให้ดีเสมอ และพร้อมที่จะเรียนรู้กับสิ่งใหม่ ๆ และที่สำคัญใช้ประโยชน์จากเพื่อนร่วมทีมให้มาก เพราะสุดท้ายแล้ว พวกเขาต่างก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จนทำให้ทุกคนโดดเด่นขึ้นมาได้ พร้อม ๆ กับผลงานของ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ที่กำลังพุ่งกระฉูดในเวลานี้
แหล่งอ้างอิง
https://theanalyst.com/2024/04/chris-wood-clinical-season-nottingham-forest-survival
https://www.nytimes.com/athletic/5873748/2024/10/26/chris-wood-goalscoring-forest/
https://www.premierleague.com/news/4160100
https://www.themag.co.uk/2024/10/chris-wood-nonsense-resurfaces-yet-again-newcastle-united-nottingham-forest/
https://www.burnleyfootballclub.com/content/dyche-hails-goalden-boy-wood