ในสถานการณ์ที่ เลสเตอร์ ซิตี้ ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการอยู่รอดพรีเมียร์ลีกในซีซั่น 2024-25 ตามเป้า พวกเขาใช้นักเตะหนุ่มหลายคนในทีมชุดนี้ และหวังว่า นี่จะเป็นทีมแห่งอนาคต
อย่างไรก็ตาม เมื่อแต่ละเกมผ่านไป สิ่งหนึ่งที่สะท้อนผ่านผลการแข่งขันและการเล่นในสนามก็คือ นักเตะตัวเก๋า เป็นสิ่งที่พวกเขายังคงต้องพึ่งพา และจะขาดไปไม่ได้เลย
เจมี่ วาร์ดี้ ในวัย 37 ปี คือเบอร์ 1 ที่แบกหน้าที่การยิงประตู และถ้าวันไหน วาร์ดี้ เล่นไม่ออก มันก็ต้องเป็นหน้าที่ของจอมเก๋าและโจ๊กเกอร์ที่อาจจะยิงไม่เยอะเท่า แต่ประตูที่เขาทำได้ สำคัญระดับชี้ขาดแต้ม
และเขาคนนั้นคือ จอร์แดน อายิว ... ในวัย 33 ปี นักเตะคนนี้สำคัญอย่างไรต่อภารกิจอยู่รอดของจิ้งจอกสยาม ? ติดตามที่ Main Stand
พรีเมียร์ลีกต้องครบเครื่อง
เลสเตอร์ ซิตี้ เลื่อนชั้นขึ้นมาจาก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ในฐานะทีมแชมป์ของฤดูกาล 2023-24 และนักเตะของพวกเขาหลายคนยังคงเป็นคนหนุ่ม แข้งวัยรุ่นเหล่านี้มีความสำคัญอย่างมากในการพาทีมเลื่อนชั้น
ไม่ว่าจะ แมดส์ เฮอร์แมนเซ่น, เจมส์ จัสติน, เคซีย์ แม็คเคเธียร์, อับดุล ฟาตาวู และ สเตฟี่ มาวิดิดี้ พวกเขาได้แสดงให้เห็นว่าในเกมการแข่งขันระดับลีกรองที่พละกำลังเป็นบ่อเกิดหลักแห่งชัยชนะ พวกเขาสามารถรับมือได้สบาย เพียงแต่ว่าในขั้นตอนต่อไป ในระดับที่เรียกว่า "พรีเมียร์ลีก" พละกำลังอย่างเดียวไม่พอ
แม้ว่าเรื่องของพละกำลังและความฟิตจะยังคงสำคัญ เพราะฟุตบอลพรีเมียร์ลีกทุกวันนี้มีคุณภาพการเล่นที่เข้มข้นเป็นระบบมาก นักเตะทุกคนโดยเฉพาะในส่วนของเกมรุกจะต้องเป็นคนที่มีแรงวิ่งมากกว่าใครเพื่อน เพราะต้องเริ่มวิ่งไล่บอลตั้งแต่แดนหน้า
เรื่องนี้ยืนยันได้จากผลสำรวจจากเว็บไซต์ sciencenordic.com ที่สรุปเป็นสถิติอย่างชัดเจนว่าในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 2008) นักเตะในพรีเมียร์ลีกอังกฤษมีค่าเฉลี่ยในการวิ่งมากกว่าเดิมถึง 50% การวิ่งที่มากขึ้นของทีมคู่แข่ง หมายความว่าพื้นที่ในการเล่นของคุณจะน้อยลงเป็นเงาตามตัว ไม่ว่าจะส่วนไหน ๆ ของสนาม คุณต้องขยับให้เยอะ หนีให้ออก เพื่อพาตัวไปเองไปอยู่ในจุดที่สามารถใช้ทักษะการยิงประตูได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
แต่ถ้าการวิ่งอย่างเต็มที่ และพละกำลังของคนหนุ่มที่รีดออกมาจนหมดไม่สามารถทำให้คุณได้ประตูอย่างที่ต้องการได้ คุณก็จำเป็นต้องมีทีเด็ดเป็นไพ่เด็ดไว้ใช้แก้เกม นั่นคือเหล่านักเตะตัวเก๋าทั้งหลายที่อาจจะไม่ดีพอเป็นตัวจริงตั้งแต่แรก หรืออาจจะไม่ฟิตพอที่จะวิ่งครบ 90 นาที ... แต่ถ้าคุณใช้งานพวกเขาอย่างถูกที่ วางพวกเขาลงในตำแหน่งที่เหมาะสมถูกเวลา พวกเขาจะเป็นทีเด็ดที่เปลี่ยนเกมได้ไม่ยาก
และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม เลสเตอร์ ซิตี้ ในยุคของ สตีฟ คูเปอร์ จึงต้องคว้าตัว จอร์แดน อายิว ในวัย 33 ปี มาจาก คริสตัล พาเลซ ด้วยราคาถึง 7 ล้านปอนด์
“จอร์แดนเคยเล่นในพรีเมียร์ลีก ดังนั้นเขาจึงมีประสบการณ์ในลีกนี้มากมาย นักเตะแบบนี้รู้ว่าควรทำอะไรในช่วงเวลาแบบไหน สิ่งนี้ไม่สามารถหาซื้อได้ นอกจากคุณจะผ่านการทำซ้ำ ๆ อย่างช่ำชองมาแล้ว และผมคิดว่าอายิว เป็นคนที่จะมาช่วยเราได้ในเรื่องนี้” คูเปอร์กล่าว
หลากหลายได้ทุกท่า
ในช่วงเริ่มต้นของอาชีพ จอร์แดน อายิว อาจจะเป็นกองหน้าหมายเลข 9 แต่เมื่อเวลาผ่านไป วิธีการเล่นของเขาก็หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลากับคริสตัล พาเลซ เขาใช้เวลาที่นั่นมาอย่างยาวนาน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจากนักเตะดาวรุ่ง สู่แข้งมากประสบการณ์ และแต่ละในช่วงอายุ เขาก็ได้รับบทบาทที่หลากหลาย โดยเฉพาะในยุค รอย ฮอดจ์สัน
ฮอดจ์สัน อธิบายคล้าย ๆ กับ คูเปอร์ ในข้างต้นว่า การมีอายิวลงไปเล่นในสนาม ไม่ว่าจะในฐานะ 11 ตัวจริงหรือตัวสำรอง สิ่งที่คุณจะได้คือความอุ่นใจ เพราะเขาเป็นนักเตะที่มีความเข้าใจเกมสูง และสามารถเข้าใจคำสั่งของคุณและสิ่งที่คุณต้องการได้อย่างง่ายดาย ... คุณสั่งเขาไปแบบไหน รับรองว่าเขาจะจัดให้ตามคำสั่ง ถ้ามันไม่เกินศักยภาพที่เขามี
ฮอดจ์สัน ใช้ อายิว ในทุกตำแหน่งของเกมรุก ไม่ว่าจะเป็นกองหน้าตัวต่ำ กองกลางเบอร์ 10 ปีกซ้าย ปีกขวา หรือแม้กระทั่งหน้าตัวเป้า โดยเฉพาะตำแหน่งกองหน้าตัวต่ำในช่วงบั้นปลายอาชีพของเขานั้น สิ่งที่คุณจะได้จากเขาจริง ๆ ก็คือ เมื่อมีเขาอยู่สนาม นักเตะตัวรุกคนอื่นจะเล่นได้ง่ายขึ้น
อายิว เป็นคนที่วิ่งส่ายหาพื้นที่ว่างเก่ง และประสบการณ์สอนให้เขารู้ว่าควรจะปล่อยบอลตอนไหน ควรจะครองบอลไว้ตอนไหน และสำคัญที่สุดคือ ตอนไหนที่ควรจะล้มเพื่อเอาฟาวล์
เมื่อคุณต้องเล่นเป็นทีมรับเสียส่วนใหญ่ การล้มเอาฟาวล์ในระยะทำการ คือสิ่งสำคัญมาก เพราะลูกเซ็ตพีซคือการพาบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษที่ง่ายที่สุด
สิ่งที่ ฮอดจ์สัน อธิบาย ก็หมายความตรงกับสิ่งที่ คูเปอร์ ต้องการทุกอย่าง เลสเตอร์ ชุดนี้มีคนหนุ่มมากมาย และการที่อายิวเข้ามา เขาจะทำให้นักเตะหนุ่มเหล่านี้โดดเด่นขึ้น มีพื้นที่เล่นมากขึ้น คล้าย ๆ กับตอนที่เขาทำคอมโบร่วมกับนักเตะดาวรุ่งอย่าง เอเบเรซี่ เอเซ่ และ ไมเคิล โอลิเซ่ ตอนเล่นให้กับ พาเลซ
ซึ่งถ้าใครได้ชมเกมของ เลสเตอร์ ในซีซั่นนี้ คุณจะพบว่าเกมไหนที่อายิว ออกสตาร์ท หรือเปลี่ยนมาเป็นตัวสำรอง บอลจะมาที่เขามากเป็นพิเศษ ส่วนเรื่องการต่อติดกับนักเตะรอบข้างอาจจะยังไม่เด็ดขาดเท่ากับตอนที่เล่นให้ พาเลซ แต่อย่าลืมว่าฤดูกาลเพิ่งผ่านมาแค่ 11 เกมเท่านั้น หากเขามีเวลาเล่นร่วมกันกับน้อง ๆ ในทีมมากขึ้น นักเตะอย่าง ฟาตาวู, มาวิดิดี้, ฟาคุนโด้ บัวนาน็อตเต้ และ เอล คานนูสส์ จะได้ประโยชน์จากประสบการณ์ของอายิวแน่นอน ดังที่ สตีฟ คูเปอร์ กล่าวอีกว่า
“เขาเล่นได้หลายตำแหน่งในแนวรุก เขาเล่นบอลได้ดีในจังหวะฟรีคิก เขาสามารถเก็บบอลไว้ในพื้นที่สุดท้าย เขาเป็นผู้เล่นระดับสูงที่เล่นในพรีเมียร์ลีกมาหลายปีแล้ว เราต้องแน่ใจว่าเรามีนักเตะประสบการณ์และความรู้ในระดับลีกสูงสุดเพียงพอในทีม เพราะต้องใช้ทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อชนะการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ... และที่สำคัญเขาจะทำให้ห้องแต่งตัวของเราแข็งแรงขึ้นด้วย”
ทัศนคติ และความเด็ดขาด
สิ่งที่อธิบายมาทั้งหมด ปรากฏในวิธีการเล่นของ อายิว กับ เลสเตอร์ เช่นเดียวกับบทบาทที่ สตีฟ คูเปอร์ มอบให้กับเขา ความหลากหลายของ อายิว ทำให้เขาอุดได้ทุกตำแหน่งในยามที่ต้องการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ ไม่ว่าจะการเล่นแผนปกติ ที่มักจะเล่นในระบบ 4-2-3-1 หรือ 4-3-3 อายิว ไม่มีปัญหาเลยในการหาที่ยืนของเขา แม้จะทำได้ดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ถ้าจะพูดให้แฟร์ก็ต้องบอกว่า ในหลาย ๆ เกม นักเตะรอบ ๆ เขาก็ไม่ได้มีผลงานที่โดดเด่นเช่นกัน
แต่เหนือสิ่งอื่นใด วิธีการเล่นที่เหมาะกับ อายิว ที่สุด และเป็นวิธีการในโอกาสพิเศษ นั่นคือการใช้งานในระบบ 3-4-3 ที่ สตีฟ คูเปอร์ มักงัดแผนนี้ออกมาในเวลาที่ทีมต้องการประตู และเมื่อใช้แผนนี้ อายิว สามารถยืนตรงไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นกองกลางที่คอยสอดเข้ามาเล่นในเขตโทษ เป็นกองหน้าตัวต่ำ หรือเป็นหอกคู่ที่คอยเล่นกับ วาร์ดี้ เป็นคอมโบ 2 หอกเสือเฒ่า ที่งัดไม้นี้ออกมาทีไรใช้ได้เรื่องทุกที
ในฤดูกาลนี้ อายิว อาจจะยิงแค่ 2 ลูกในลีก แต่ 2 ลูกที่เขายิงได้ เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ทีมตามหลังและต้องการประตูทั้งสิ้น ประตูแรกในเกมกับ เซาธ์แฮมป์ตัน เกมเสมอ 2-2 จนเกือบทดเวลานาทีสุดท้าย และจากจังหวะเตะมุมครั้งสุดท้ายก่อนกรรมการจะเป่านกหวีด อายิว ก็โชว์ความเก๋าของเขาออกมา
เขาเข้าไปยืนในกรอบเขตโทษสักพัก แต่ในขณะที่ทุกคนวุ่นวายในกรอบ 6 หลา เมื่อผู้ตัดสินเป่านกหวีดให้สัญญาณเริ่มเตะ ตัวของเขาขยับออกมารอหน้ากรอบเขตโทษเป็นแถว 2 และ แฮร์รี่ วิงค์ส ก็ไหลเรียดออกมาให้เขาได้ตั้งป้อมยิงตามนัด แม้จะยิงไม่แรง แต่ทิศทางและจังหวะมันเป๊ะพอดี เลสเตอร์ คว้า 3 แต้มในเกมนั้น ด้วยการเอาชนะ 3-2 ด้วยไหวพริบของ อายิว อย่างแท้จริง
"ผมสบตากับเขา และผมรู้ว่าเขาอยากให้ผมทำอะไร เราลองอะไรแบบนี้มาบ้างในตอนซ้อม ผมเลยเลือกที่ผ่านบอลให้กับ จอร์แดน อายิว" นี่คือสิ่งที่ วิงค์ส อธิบาย
ขณะที่เกมกับทีมหนีตกชั้นด้วยกันอย่าง อิปสวิช เลสเตอร์ จวนจะแพ้อยู่แล้ว แต่วินาทีสุดท้ายของเกม อายิว ก็รับบอลที่หน้ากรอบเขตโทษ และเลี้ยงเข้าไปจนถึงระยะทำการ เขาชิ่งบอลเบา ๆ กับ วาร์ดี้ และ อายิว ก็แค่จิ้มบอลให้ไหลผ่านมือผู้รักษาประตูของ อิปสวิช เข้าไป และกลายเป็นประตูตีเสมอ และเป็นแต้มทองของเลสเตอร์ อีกครั้ง
ทั้ง 2 ประตูมาจากการเป็นตัวสำรอง และทำให้ทีมได้ไปถึง 4 แต้ม ... เหนือสิ่งอื่นใด อายิว อธิบายหลังถูกนักข่าวถามว่า "คุณคิดยังไงกับบทบาทตัวสำรองของคุณในตอนนี้ ?" เขาตอบกลับด้วยจุดยืนและทัศนคติที่ยอดเยี่ยมว่า
"ผมเจียมตัวเอง ผมมาที่นี่เพื่อทีมและเพื่อเป็นตัวเลือกของผู้จัดการทีม และแน่นอนว่า หากผมได้ลงตัวจริง มันก็ดี แต่หากผมไม่ได้ออกสตาร์ทตัวจริง ก็ไม่เป็นไร เพราะที่สำคัญที่สุดคือเราต้องสู้เพื่อทีม" เท่านี้ก็พอแล้วที่ เลสเตอร์ หรือทีมใด ๆ ก็ตามควรจะมีนักเตะอย่างเขาอยู่ในทีมอย่างแท้จริง