Feature

ก่อนเป็นตำนาน : วันที่ "เจอร์ราร์ด" โดนเผาเสื้อและถูกแฟนลิเวอร์พูลเรียกว่า "ไอ้ทรยศ" | Main Stand

สตีเว่น เจอร์ราร์ด คือตำนานกัปตันทีมของ ลิเวอร์พูล ที่ 100 ทั้ง 100 เหล่าเดอะ ค็อป เทใจให้แบบไร้ข้อแม้ 

 

เพียงแต่ว่ากว่าที่จะมาถึงจุดนี้ เขาเคยเจอบททดสอบที่ยากที่สุดในชีวิต ซึ่งมันเกิดขึ้นหลังค่ำคืนที่อิสตันบูล เพราะเขากลับพบว่า "อยากได้ในสิ่งที่ลิเวอร์พูลไม่สามารถให้เขาได้"

เขาอยากจะย้ายออกจาก ลิเวอร์พูล เพื่อไปอยู่กับ เชลซี และดีลนี้มันใกล้เคียงมากจริง ๆ 

ติดตามเบื้องลึกตั้งแต่เริ่มขายขนมจีบ ไปจนถึงวันที่เสื้อแข่งสกรีนชื่อเขาถูกเผา และจบลงด้วย 1 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนตัดสินใจอยู่ ลิเวอร์พูล ต่อ 

ติดตามที่ Main Stand 

 

วันนั้นในปี 2005 

ในค่ำคืนที่เหลือเชื่อที่อิสตันบูล สตีเว่น เจอร์ราร์ด สวมปลอกแขนกัปตันทีมและทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีจนพา ลิเวอร์พูล พลิกกลับมาชนะ เอซี มิลาน ในการดวลจุดโทษได้ ทั้ง ๆ ที่โดนนำในครึ่งแรกถึง 0-3 ... ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 

พวกเขาเฉลิมฉลองกันอย่างสุดเหวี่ยง เจอร์ราร์ด ถูกยกเทียบกับขุนพลระดับตำนานของลิเวอร์พูลในประวัติศาสตร์สโมสร พร้อมกับทำให้ใครหลายคนคิดว่ายุคสมัยของ ลิเวอร์พูล อาจจะเริ่มขึ้นหลังจากตรงนี้ ... ทว่า 6 สัปดาห์หลังชูถ้วย เจอร์ราร์ด ในวัย 25 ปี ณ ตอนนั้น ได้ทำในสิ่งที่ช็อกแฟนบอล ลิเวอร์พูล มากที่สุด นั่นคือการเข้าพบกับบอร์ดบริหารและแจ้งว่าเขาต้องการขึ้นบัญชีย้ายทีม โดย เชลซี ทีมมหาเศรษฐีที่เพิ่งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลเดียวกันคือเป้าหมาย 

ชายคนเดียวที่ทำให้จิตใจของ เจอร์ราร์ด หวั่นไหวถึงที่สุดคือ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ย้อนกลับไป ณ เวลานั้นถือเป็นผู้นำมาตรฐานใหม่มาสู่ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก เชลซี มีงบประมาณในการซื้อซูเปอร์สตาร์แบบไม่อั้นจากเงินของ โรมัน อบราโมวิช องค์ประกอบโดยรวมของทีมดีมากพอที่จะคว้าความสำเร็จในระยะยาว ขาดก็เพียงจิ๊กซอว์ตัวเดียวในแดนกลางที่ ณ เวลานั้น มูรินโญ่ บอกว่าต้องเป็น เจอร์ราร์ด เท่านั้น 

แค่ เจอร์ราร์ด ได้คุยกับ มูรินโญ่ มันทำให้เขาเกิดความคิดที่เขาไม่เคยมาก่อนว่าตัวเองจะคิดแบบนี้ นั่นคือการจะย้ายออกจากลิเวอร์พูล ทีมเดียวที่เขารักและเชียร์มาตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งมันคือความสัมพันธ์ในแบบที่เขาคิดว่าตัวเองไม่มีทางตัดมันทิ้งได้  แต่มันกำลังเกิดขึ้นแล้ว

ทำไม มูรินโญ่ จึงอยากได้เจอร์ราร์ด และทำไมเจอร์ราร์ดจึงอยากจะอยู่ในทีมชุดนั้นของ มูรินโญ่ ? 

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาคำตอบ ลิเวอร์พูล อาจจะเพิ่งคว้าแชมป์ยุโรปมาหมาด ๆ แต่เมื่อคุณดูองค์ประกอบโดยรวมของพวกเขาและเอามาเทียบกับ เชลซี ในเวลานั้น ถ้าคุณไม่โกหกตัวเองมากเกิน คุณก็จะวิเคราะห์ได้ไม่ยากเลยว่าทีมไหนมีแววจะเดินหน้าสร้างยุคสมัยของตัวเองได้มากกว่ากัน 

ที่ ลิเวอร์พูล นั้น ... คงไม่เกินเลยไปที่จะบอกว่า เจอร์ราร์ด ในเวลานั้นคือ เดอะ แบก ตัวจริง กองกลางที่ทำหน้าที่ได้ทุกอย่างตั้งแต่การเล่นเป็นเบอร์ 6 เบอร์ 8 เบอร์ 10 และทำหน้าที่ได้ดีในทุก ๆ งานที่ได้รับมอบหมาย เขาคือผู้ปรากฏตัวเสมอในเกมใหญ่ ๆ หรือในเวลาที่ลิเวอร์พูลต้องการใครสักคนที่จะมาเป็นฮีโร่ และเหนือสิ่งอื่นใดคือคาแร็คเตอร์ หัวจิตหัวใจของเขาไม่เป็นสองรองใครบนโลกนี้แน่นอน นั่นแหละเหตุผลที่ มูรินโญ่ ต้องการเขามาร่วมทีม เชลซี ในเวลานั้น

ขณะที่ เจอร์ราร์ด เองก็เชื่อว่า มูรินโญ่ จะเป็นโค้ชที่ทำให้ตัวเขาในเวลานั้นกลายเป็นนักเตะที่ดีขึ้นในอีกระดับหนึ่ง มันคือสิ่งที่เรียกว่าความทะเยอทะยานที่นักเตะทุกอยากจะไปให้ถึง และมันก็เย้ายวนมาก ๆ จนแม้กระทั่ง เจอร์ราร์ด ก็ยอมรับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าเขากลับเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาในนาทีสุดท้าย จากคำบอกเล่าของ จอห์น เทอร์รี่ กัปตันของ เชลซี ในเวลานั้น 

"มูรินโญ่ พูดคุยกับนักเตะอังกฤษในทีมเชลซีเสมอ เราสามารถพูดตรงกันได้เลยว่าเขาอยากจะได้ เจอร์ราร์ด มาร่วมทีมเกิน 100% คุณเชื่อไหม พวกเราในทีมต่างคุยกันเรื่องนี้ และทุกคนมีความเห็นตรงกันว่า สตีวี่ จะทำให้เราเป็นทีมแข็งแกร่งขึ้นได้จากทุกสิ่งที่เขาเคยทำให้กับ ลิเวอร์พูล"

"มูรินโญ่ มักจะให้พวกเขาพูดคุยและแอบติดต่อกับ เจอร์ราร์ด อยู่เงียบ ๆ และเราก็ทำตามนั้น ซึ่งแน่นอนว่าในตอนแรกเขายืนกรานว่าเขาจะไม่ย้ายออกจาก ลิเวอร์พูล แต่เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน ถึงจุดหนึ่งสุดท้ายความต้องการของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป" เทอร์รี่ กล่าวถึงความใกล้เคียงที่เขาจะได้เป็นเพื่อนร่วมสโมสรกับ เจอร์ราร์ด ในเวลานั้น 

 

อีกนิดเดียวก็จบแล้ว

เจอร์ราร์ด เขียนอัตชีวประวัติของตัวเองที่ชื่อว่า My Story เนื้อหายภายในบอกเล่าย้อนความว่า เชลซี เคยยื่นข้อเสนอซื้อเขาตั้งแต่ปี 2004 (ปีแรกที่ มูรินโญ่ คุมทีม) ด้วยราคา 20 ล้านปอนด์ โดย ปีเตอร์ เคนยอน ซีอีโอของ เชลซี ในเวลานั้นพยายามโน้มน้าวกับ เจอร์ราร์ด ว่า "นี่คือดีลที่ทุกฝ่ายจะวินวิน" เพียงแต่ว่า เจอร์ราร์ด ตัดสินใจไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ ณ เวลานั้นเขาเองก็ไม่ได้ชอบใจกุนซือของทีมอย่าง ราฟา เบนิเตซ มากนัก 

เรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากที่ ราฟา เข้ามารับงานในครั้งแรก และพาทีมมีแต้มตามหลังทีมแชมป์พรีเมียร์ลีก 2003-04 อย่าง อาร์เซน่อล ถึง 30 แต้ม เขาคิดว่าช่องว่างที่ห่างขนาดนั้นเป็นภาพสะท้อนทุกอย่าง และทำให้เขาเริ่มคิดจะย้ายทีมมากขึ้น

"ซัมเมอร์ปี 2004 ผมไปเล่นให้ทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลยูโร ซึ่ง ณ เวลานั้น ราฟา ก็ได้รับการแต่งตั้งให้คุมทีม สิ่งแรกที่ ราฟา ทำคือการจะเดินทางมาคุยกับผมที่ ลิสบอน แต่บังเอิญว่าเขาขึ้นเครื่องบินไฟลต์เดียวกับแม่ผมพอดี"

"ราฟาจับมือทักทายเธอ และประโยคต่อมาที่เขาพูดกับแม่ผมคือ สตีวี่เป็นพวกหิวเงินหรือเปล่า ? นี่คือเรื่องที่แปลกมาก และแม่เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังทั้งหมด ก่อนที่เขาจะนั่งแท็กซี่เพื่อมาคุยกับผมเรื่องแนวทางการทำทีมเสียอีก"

เจอร์ราร์ด เล่นฟุตบอลในฤดูกาล 2004-05 ด้วยความรู้สึกอยากย้ายทีมอยู่ลึก ๆ มาโดยตลอด เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า "ถ้าสถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล ไม่ดีขึ้น ผมคงต้อรอดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในซัมเมอร์ที่จะถึงหรือไม่" 

"ผมจะอายุ 25 ปีตอนฤดูกาลจบ ผมยังเหลือเวลาอีก 6-7 ปีในอาชีพเพื่อจะคว้าความสำเร็จสูงสุดในฐานะนักฟุตบอลได้ ดังนั้นผมหวังจริง ๆ ว่าเราจะมีการเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน" บทสัมภาษณ์นี้ทำให้แฟนลิเวอร์พูลใจหาย ใครจะคิดว่าสเกาเซอร์พันธุ์แท้อย่าง เจอร์าร์ด จะพูดแบบนี้ออกมา

ตัวของ เจอร์ราร์ด มาเล่าถึงเรื่องนี้ในภายหลังว่าตัวของเขาลำบากใจมากที่ต้องสัมภาษณ์แบบนั้น เพียงแต่สถานการณ์มันพาไป และถ้ามองโลกตามความจริง เขาไม่คิดว่าลิเวอร์พูลจะมอบความสำเร็จเท่าที่เขาทะเยอทะยานและใฝ่ฝันถึงได้

"ผมคือแฟนบอลลิเวอร์พูล ไม่มีทีมไหนที่ผมอยากจะคว้าแชมป์ด้วยเท่ากับทีมนี้อีกแล้ว แต่ผมคิดว่าตัวเองไม่สามารถรอเวลา 3-4 ปีเพื่อให้สโมสรพลิกสถานการณ์และก้าวขึ้นมาเป็นทีมระดับลุ้นแชมป์จริง ๆ ได้" เจอร์ราร์ด กล่าว และในซีซั่นนั้น ลิเวอร์พูล มีแต้มตามหลังทีมแชมป์ลีกอย่าง เชลซี ถึง 37 แต้ม 

อ่านถึงแค่ประโยคนี้ มันค่อนข้างชัดว่าใจของ เจอร์ราร์ด ลอยลงใต้ไปที่ลอนดอนแล้ว แต่ก็อย่างที่รู้กัน เกมมันพลิกและเขาก็ไขว้เขวอีกครั้ง เมื่อ ลิเวอร์พูล ลุยผ่าน เลเวอร์คูเซ่น, ยูเวนตุส, เชลซี และไปล้ม มิลาน ในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ... ถ้วยนี้ทำให้เขาจะลองให้โอกาสกับ ลิเวอร์พูล ในข้อเสนอสัญญาฉบับใหม่อย่างรวดเร็ว เพราะเพื่อนร่วมทีมอย่าง ดีทมาร์ ฮามันน์ และ อิกอร์ บิสคาน ก็ได้รับการตบรางวัลหลังเป็นเจ้ายุโรปไปแล้ว 

สุดท้าย เจอร์ราร์ด ที่มีสัญญาเหลืออีก 2 ปี ก็ไม่ได้รับการติดต่อมา หนำซ้ำความสัมพันธ์กับโค้ชอย่าง ราฟา ก็ไม่ดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจอร์ราร์ด ไม่คิดว่าบอร์ดบริหารจะลงทุนมากมายเพื่อพาทีมเดินหน้าคว้าความสำเร็จให้ได้อย่างต่อเนื่อง นั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นของการย้ายทีมที่ใกล้เคียงที่สุดในชีวิตเขาในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา

"ผมยอมรับเลยว่า ณ ตอนนั้น ผมมีบทบาทสำคัญมากที่ติดต่อให้ เชลซี ยื่นข้อเสนอเข้ามา ณ ตอนนั้นมันเป็นเรื่องอีโก้ของผม เรื่องความเย็นชาระหว่างผมกับราฟา ผมคิดว่าสมควรแก่เวลาที่จะแยกย้ายแล้ว" เจอร์ราร์ด กล่าวถึงเรื่องนี้ในภายหลัง

"จริง ๆ ผมสามารถจัดการเรื่องนี้ให้ต่างออกไปได้ถ้าผมมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ ถ้าย้อนกลับไปได้อย่างน้อย ๆ ผมคิดว่าผมคงหลีกเลี่ยงข่าวลือไร้สาระอะไรพวกนั้นได้ แต่นาทีนั้นผมมาตกผลึกทีหลังมามันเป็นการส่งสัญญาบอกไปยังลิเวอร์พูลว่าพวกเขาต้องทำอะไรสักอย่าง พวกเขาจะอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป" 

อย่างว่า ... ตอนนั้น เจอร์ราร์ด อายุ 25 ปี และกำลังมองหาความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ให้อาชีพของเขา เขาจึงขอขึ้นบัญชีย้าย ทีมแรกที่ติดต่อมาคือ เรอัล มาดริด แต่ทีมที่ยื่นข้อเสนอแบบจริงจังมากกว่าคือ เชลซี และตัวของ เจอร์ราร์ด เองก็ได้คุยกับ มูรินโญ่ เป็นการส่วนตัวแล้ว 

"ผมได้คุยกับ มูรินโญ่ และต้องบอกว่าเขาคือเทพแห่งการโน้มน้าวใจจริง ๆ ผมชอบทุกอย่างที่เป็นเขาในเวลานั้น วิธีการพูด วิธีการคิด และเขารู้ดีว่าผมอยากจะได้ยินสิ่งใด" 

"ผมกำลังคิดว่า 'ผมอยากเล่นให้กับโชเซ่ มูรินโญ่' ผมมั่นใจว่าภายใต้การคุมทีมของโชเซ่ ผมจะคว้าถ้วยรางวัลทุกใบที่ผมปรารถนา โชเซ่ มูรินโญ่ ทำให้ผมเปลี่ยนใจมากกว่าเชลซี" เขายอมรับแบบไม่มีกั๊กว่าใจของเลือกเชลซีแล้วในเวลานั้น

 

สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้ว … ดีเสมอ

"ผมฝันมาตลอด การมีกองกลาง 3 คนอย่าง มาเกเลเล่, เจอร์ราร์ด และ แลมพาร์ด ลงเล่นด้วยกัน เราจะเล่นกันในระบบกองกลางสามเหลี่ยม (มาเกเลเล่ เป็นเบอร์ 6 - แลมพาร์ด และ เจอร์ราร์ด เป็นเบอร์ 8) โดยไม่มีเพลย์เมคเกอร์หมายเลข 10 นั่นคือสิ่งที่ผม, ปีเตอร์ เคนยอน และมิสเตอร์อบราโมวิชฝันถึงมาตลอด" มูรินโญ่ พูดถึงดีล เจอร์ราร์ด 

และหลังจากนั้นไม่นาน สโมสร ลิเวอร์พูล ก็ยืนยันกับสาธารณชนว่า "สตีเว่น เจอร์ราร์ด ได้ขอย้ายออกจากทีม" ก่อนที่สื่อต่าง ๆ ก็เล่นข่าวตามกันว่าดีลนี้ตกลงราคากันแล้ว เชลซี จะจ่ายให้ ลิเวอร์พูล 32 ล้านปอนด์ 

เสื้อแข่งของ เจอร์ราร์ด เริ่มถูกแฟน ๆ นำมาเผาที่หน้า แชงค์ลี่ย์ เกต ประตูทางเข้าสนามแอนฟิลด์ นอกจากนี้ยังมีข้อความ "ทรยศ" ที่ถูกพ่นสีสเปรย์ใส่กำแพงนอก เมลวู้ด สนามซ้อม พร้อมเหล่า เดอะ ค็อป มาชุมนุมกันหน้าประตูเพื่อแสดงความโกรธออกมา 

แต่โชคชะตานั้นเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจ บางเรื่องก็มาด้วยจังหวะที่สอดคล้องกันพอดิบพอดีจนเหลือเชื่อ ด้วยความที่ต่างฝ่ายต่างต้องการกันและกัน เชลซี เลือกที่เล่นบทต่อรองราคาเจอร์ราร์ด กับ ลิเวอร์พูล พวกเขาคิดว่าดีลนี้ไม่ยากเกินใจ เพราะการตกลงให้สัญญาค่าเหนื่อยสัปดาห์ละ 130,000 ปอนด์ซื้อใจ เจอร์ราร์ด ได้แล้ว พวกเขาจึงไม่เล่นด้วยกับราคาที่ ลิเวอร์พูล ร้องขอ 

ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วดีลนี้ควรจะจบไปแล้วหาก เชลซี ตัดสินใจมอบข้อเสนอที่ ลิเวอร์พูล ปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งความล่าช้านี้เองทำให้ เจอร์ราร์ด ได้เวลามีเวลาทบทวนตัวเองอีกครั้ง เขาปลีกวิเวกหนีหน้าสื่อ และกลับมาพักใจอยู่ที่บ้านของพ่อและแม่ของเขา ซึ่งในจังหวะนั้นเอง การพูดคุยแบบ "พ่อกับลูกชาย" ทำให้ เจอร์ราร์ด เองก็ไขว้เขวในนาทีสุดท้าย 

"ผมได้คุยกับพ่อ บอกว่าสโมสรไม่ได้รักผมเท่าที่ผมต้องการ ไม่มีความชัดเจน และ เชลซี ก็จริงจังมาก ๆ ในเวลานั้น ... แต่พ่อใจเย็นมากในเรื่องนี้ เขาบอกให้ผมไปคุยกับตัวเองให้ดีก่อนว่า จริง ๆ แล้วรู้สึกอย่างไรกันแน่" 

"ผมคุยกับพ่อและพอล (น้องชาย) ก่อนจะค้นพบว่าตัวของผมกำลังหลงทาง คำว่า ลิเวอร์พูล ออกจากปากผมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในบทสนทนานั้น และผมก็พูดว่า 'เอาจริง ๆ นะ ผมรักลิเวอร์พูลมากกว่าเชลซีไม่รู้กี่ร้อยเท่า'" 

เจอร์ราร์ด เกือบจะย้ายออกไปแล้ว แต่บทสนทนาระหว่างเขาและครอบครัวครั้งนั้นเปลี่ยนอะไรหลายสิ่ง และสะท้อนสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ ออกมา เจอร์ราร์ด ถามตัวเองว่าเขาจะรับได้ไหมหากวันหนึ่ง เหล่า เดอะ ค็อป พร้อมใจกันหันหลังให้กับเขา และไม่มีสิทธิ์ที่จะลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูลได้อีกต่อไป ... นักเตะที่อยู่กับทีมมาตั้งแต่ 8 ขวบ เกิดและโตที่นี่ตอบตัวเองได้แล้ว 

"ชั่วโมงนั้นกับพ่อและพอลทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ผมเข้าใจตัวเองว่าการได้แชมป์สักสองหรือสามรายการกับลิเวอร์พูลมีความหมายมากกว่าการได้แชมป์เชลซีหรือไม่ ? ผมชั่งใจชัดเจนและได้ตอบสุดท้าย ผมไม่คิดจะตอบว่าเชลซีเลย ... เพราะผมคิดถึงแต่ลิเวอร์พูลเท่านั้น" เจอร์ราร์ด กล่าว

5 ทุ่มตรง เจอร์ราร์ด โทรไปบอกเอเย่นต์ของเขาให้ติดต่อหา ริค แพร์รี่ ประธานสโมสร ลิเวอร์พูล ในเวลานั้นเพื่อบอกว่าเขาอยากจะอยู่กับทีมต่อ และยืนยันว่าเขาจะไม่เรียกร้องสัญญาฉบับใหม่ใด ๆ ทั้งสิ้นเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นและจริงใจในการตัดสินใจครั้งนี้ 

จากนั้นเขายกหูหา มูรินโญ่ เพื่อบอกข่าวร้าย ก่อนที่ เจอร์ราร์ด จะเผยด้วยตัวเองว่า มูรินโญ่ ไม่ได้ค้านหรือโน้มน้าวใจเขาเป็นครั้งที่สอง เพราะ มูรินโญ่ รู้ชัดแล้วว่าเหตุผลและความต้องการของเจอร์ราร์ดมันชัดเจนเกินกว่าเขาจะเปลี่ยนใจได้ 

สี่วันต่อมาที่เร็กซ์แฮม เจอร์ราร์ด ในฐานะกัปตันทีมลิเวอร์พูลได้แห่ถ้วยแชมป์ยุโรปก่อนเปิดฤดูกาลด้วยสีหน้าที่ไม่มีอะไรติดค้างในใจอีก กองเชียร์ลิเวอร์พูลที่เดินทางมาในฐานะทีมเยือนเห็นกัปตันของพวกเขาลงสนามในเกมพรีซีซั่น จากนั้นก็พร้อมใจกันตะโกนชื่อเขาอย่างกึกก้อง และเรื่องราวของกัปตันผู้ยิ่งใหญ่ก็ร้อยเรียงในประวัติศาสตร์สโมสรแห่งนี้โดยไม่จำเป็นต้องเอาถ้วยแชมป์มาตรวจสอบว่าเขาคือตำนานตัวจริงของ ลิเวอร์พูล หรือไม่ ... 

"นี่คือการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผม ย้อนเวลากลับไปได้ผมจะทำเหมือนเดิม และผมขอยืนยันว่า ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ผมไม่เคยเสียใจเลยแม้แต่น้อยกับเส้นทางที่ได้เลือกตามสิ่งที่ตัวเองต้องการจริง ๆ " สตีเว่น เจอร์าร์ด กล่าวทิ้งท้าย 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.nytimes.com/athletic/1794799/2020/05/11/steven-gerrard-chelsea-liverpool-transfer-2005/
https://talksport.com/football/842842/liverpool-chelsea-steven-gerrard-transfer-jose-mourinho/
https://www.chelseafc.com/en/news/article/could-steven-gerrard-have-played-for-chelsea-
https://www.theguardian.com/football/blog/2014/apr/26/steven-gerrard-liverpool-chelsea-swapping

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา