Feature

โดมินิค โซลันกี้ : ดาวยิงเบียวอนิเมะ ที่สเปอร์เลือกมาแทนที่ "เคน" | Main Stand

โดมินิค โซลันกี้ อาจใช้เวลาสักพักกับชีวิตใหม่ที่ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ และตอนนี้ทุกอย่างชักจะเข้าท่าแล้ว ประตูของเขาเริ่มไหลมา พร้อมกับท่าดีใจที่ลอกเลียนมาจากอนิเมะญี่ปุ่น

 

ก่อนที่ลูกยิงและท่าดีใจของเขาจะถูกพูดถึง โซลันกี้ คือนักเตะที่เฉี่ยวคำว่า "ดาวรุ่งตลอดกาล" เพราะเก่งระดับเบอร์ต้น ๆ ของประเทศตั้งแต่อายุ 15-16 ปี แต่เมื่อเป็นนักเตะระดับซีเนียร์ เขากลับใช้เวลาอย่างมากกว่าจะพบเจอ "วิถี" ของตัวเองที่แท้จริง 

ดาวรุ่งหลายคนเป็นแบบเขา แล้วจะทำอย่างไรให้รอดพ้นจากการเป็นดาวรุ่งตลอดกาล และเบ่งบานขึ้นมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม ... นี่คือเรื่องของเขาที่เราอยากให้คุณรู้ 

 

เด็ก (โคตรเก่ง) จาก ค็อบแฮม 

นับตั้งแต่เชลซีถูกเทคโอเวอร์โดย โรมัน อบราโมวิช ในปี 2003 สโมสรแห่งนี้ถูกรู้จักกันในฐานะทีมเศรษฐีที่พร้อมทุ่มไม่อั้นซื้อตัวนักเตะระดับแถวหน้าของโลกเพื่อเป็นหนทางสู่แชมป์ และพวกเขาก็ทำสำเร็จได้ภายในเวลาแค่ 2 ปี เมื่อ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือไฟแรง (ในเวลานั้น) เข้ามาพร้อมกับนักเตะฝีเท้าดีมากมาย 

มูรินโญ่ ได้ประชุมกับ อบราโมวิช และทั้งคู่มีความเห็นตรงกันว่าพวกเขาไม่พอใจกับสนามฝึกซ้อมของทีมมากนัก และมันจะดีกว่านี้มากหากสโมสรลงทุนเพื่อผลประโยชน์ระยะยาว นั่นคือการสร้างศูนย์ฝึกซ้อมและศูนย์พัฒนาเยาวชนเป็นของตัวเอง จนกระทั่งโครงการดังกล่าวได้เริ่มขึ้นและถูกตั้งชื่อว่า "ศูนย์ฝึกค็อบแฮม" ที่เปิดใช้งานในปี 2005 สำหรับทีมชุดใหญ่ และจากนั้นอีก 2 ปีก็มีการต่อเติมเพิ่มรายละเอียดต่าง ๆ แบบครบวงจรพร้อมให้นักเตะตั้งแต่ชุดเยาวชนถึงชุดใหญ่ได้ใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ 

เรียกได้ว่าจากปี 2007 เป็นต้นมา ค็อบแฮม คือรังสำหรับนักเตะเชลซีตั้งแต่รุ่นอคาเดมีจนถึงตอนที่ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ เนื่องจากมีการลงมติกันว่าการรวมกันอยู่ในที่เดียวจะทำให้เกิดประโยชน์หลายทาง นักเตะดาวรุ่งจะได้เห็นรุ่นพี่เป็นแรงบันดาลใจ ขณะที่โค้ชจากทีมชุดต่าง ๆ ก็ได้เห็นเด็กหลาย ๆ คนที่กำลังรอวันขึ้นชั้นขยับรุ่นอายุแบบชัด ๆ ด้วยตาตัวเอง 

การที่เชลซีสร้างศูนย์ฝึกค็อบแฮมนั้นถือว่าเป็นการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงของสโมสรนี้อย่างแท้จริง เพราะค็อบแฮมถือเป็นศูนย์ฝึกที่ได้มาตรฐานระดับโลก การฝึกซ้อมที่นี่ช่วยให้นักเตะเยาวชนของเชลซีได้ฝึกซ้อมด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยม ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสที่นักเตะจะทำผลงานได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม 

จากนั้นเหล่าตัวท็อปเริ่มโดดเด่นกันขึ้นมาหลายคน แต่ปัญหาคือ เชลซี เป็นทีมที่ซื้อสตาร์ทุกซีซั่น ดังนั้นต่อให้ดาวรุ่งจะท็อปเกรดแค่ไหน พวกเขามักมีปัญหาเรื่องทะลุขึ้นมาเป็นตัวหลักในทีมชุดใหญ่ไม่ได้ แต่อย่างไรเสียสโมสรก็ต้องพยายามต่อไปเพื่อให้เจอหนทางที่ถูกต้อง หากพวกเขาปั้นใครสักคนมาเป็นตัวหลักได้ มันหมายความว่าพวกเขาจะได้แนวทางหรือสูตรที่จะช่วยให้มันสำเร็จง่ายขึ้นเพื่อเอามาใช้สำหรับคนต่อ ๆ ไป 

และในปี 2014 หรือ 7 ปีหลังสร้างศูนย์ฝึกค็อบแฮม ก็มาถึงคิวของ โดมินิค โซลันกี้ กองหน้าที่ถูกคาดหวังเป็นอย่างมากว่าจะเป็นคนแรกหลังจาก จอห์น เทอร์รี่ ที่ขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมชุดใหญ่ในระยะยาวได้ 

กองหน้าตัวใหญ่ แข็งแรง ทักษะดี จบสกอร์เฉียบขาด ... เห็นแล้วชวนให้คิดถึงตำนานกองหน้าอย่าง ดิดิเยร์ ดร็อกบา คำยกย่องนี้อาจจะดูเกินจริง แต่ถ้ามันออกมาจากของ โชเซ่ มูรินโญ่ บางทีเราก็ควรต้องมาฟังอีกสักครั้งว่าเขาพูดถึงโซลันกี้ตอนอายุ 17 ปีไว้ว่าอย่าง 

"คุณไม่ต้องคาดคั้นเรื่องการผลักดันดาวรุ่งในทีมของเราจากผมอีกต่อไป ตอนนี้ผมเข้าใจอะไรได้ง่าย ๆ มาก และพูดได้เลยว่าในอีกไม่กี่ปีหากนักเตะอย่าง โดมินิค โซลันกี้ ไม่ได้เป็นผู้เล่นทีมชาติอังกฤษ ผมคงจะเป็นโค้ชที่ต้องโทษตัวเองไปตลอดชีวิต เด็กคนนี้เก่งมาก เก่งพอจะเป็นตัวหลักของ เชลซี ในอนาคต และถ้าเขาเป็นตัวหลักของ เชลซี ได้ เขาจะกลายเป็นผู้เล่นทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่แน่นอน" มูรินโญ่ ว่าแบบนั้น 

3 เดือนต่อมาการทำนายของ มูรินโญ่ นั้นแม่นยำหรือไม่ก็เป็นเพราะว่าเขาวางแผนไว้แล้ว โซลันกี้ กลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นให้ เชลซี ในเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่พบกับ มาริบอร์ 

เขาควรจะได้ไกลแล้วจริง ๆ จากตรงนั้น โซลันกี้ เองก็ยังบอกว่าเขาเริ่มวาดฝันว่าจะได้เป็นตัวหลักของ เชลซี ในอนาคตอันใกล้ แต่สุดท้าย ... หลังจากลงเล่นกับ มาริบอร์ เขาก็ไม่ได้เล่นชุดใหญ่ให้ เชลซี อีกเลย 

การผิดหวังแบบรถเลี้ยวลงข้างทางแบบดื้อ ๆ ตั้งแต่อายุ 17 ปี คือยาต้านความผิดหวังครั้งต่อไปชั้นดีของ โซลันกี้ เขาได้ค้นพบว่านักฟุตบอลคนหนึ่งมีช่วงอาชีพที่ยาวนาน การโดนตัดสินว่าไม่ดีพอในช่วงอายุหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นนักเตะที่แย่ตลอดไป ไม่มีทางจะดีขึ้นมาได้

หากแต่การเก็บเอาคำชมมาคิดต่อ เก็บเอาคำด่ามาวิเคราะห์หาจุดอ่อน จากนั้นทบทวนและกลับมาสู้กันใหม่อีกรอบด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่ลดลง โอกาสยังมีเสมอ ... จนกว่าวันที่เขาจะแขวนสตั๊ด 

 

เด็กหน้าเงิน…จนไปไม่รอด 

โซลันกี้ ย้ายออกจาก เชลซี ในปี 2017 เพราะยากที่จะสอดแทรกตำแหน่ง 11 ตัวจริงได้ สโมสรใหม่ของเขาคือ ลิเวอร์พูล ช่วงเวลาที่เขาย้ายไปอยู่กับหงส์แดงเป็นช่วงเวลาที่ชื่อของเขาก็ยังดังอยู่ในระดับดาวรุ่ง เพราะเพิ่งพาทีมชาติอังกฤษ ยู 20 คว้าแชมป์โลกมาหมาด ๆ แถมเขายังเป็นดาวเด่นของทีมชุดนั้นด้วย  

การย้ายออกในเวลานั้นไมได้เป็นการลาแบบสง่างาม แม้ โซลันกี้ จะอยู่กับ เชลซี มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อย เพราะ ณ เวลานั้นมีข่าวบอกว่าเหตุผลจริง ๆ คือ เชลซี พยายามจะรั้งตัวเขาไว้ และอยากจะให้เป็นคู่กองหน้ากับ แทมมี่ อับราฮัม เพื่อนร่วมรุ่นในอนาคต 

เพียงแต่ว่า โซลันกี้ ที่เพิ่งโดดเด่นในฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลก เรียกค่าเหนื่อยในราคาที่บ้าระห่ำสำหรับนักเตะดาวรุ่ง โดยจำนวนเงินที่เปิดเผยคือ 50,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่ง เชลซี ก็ไม่พอใจ คิดว่าเป็นราคาที่สูงเกินไป นั่นจึงทำให้เกิดการแตกหักขึ้น และแฟนเชลซีส่วนใหญ่สาปส่งเขามากกว่าอวยพร

อย่างไรก็ตาม บางครั้งเรื่องบางครั้งมันกระพือไปได้ไกลเสมอ เรื่อง โซลันกี้ เรียกค่าเหนื่อยสูงนั้นมีการยืนยันภายหลังว่า "ไม่เป็นความจริง" สื่อเจ้าที่พาดหัวแบบนั้นก็ยอมขอโทษเขาแล้ว ทว่าความเสียหายมันได้เกิดขึ้นไปแล้ว และมันก็ทำให้ โซลันกี้ ได้เรียนรู้อีกว่าในวันที่มีกระแสลบเกี่ยวกับนักเตะคนไหน สิ่งเดียวที่จะแก้ไขให้เรื่องนี้ดีขึ้น และให้สื่อหรือแฟน ๆ พูดถึงพวกเขาในด้านดีขึ้นได้ มีเพียงการทำฟอร์มในสนามให้ดีเท่านั้น 

การถกเถียงตอบโต้ พยายามแจกแจงข่าวลือที่คนเชื่อไปแล้วครึ่งโลก ไม่มีประโยชน์ การแสดงผลงานให้โดดเด่นคือทางที่จะทำให้พวกเขากลายเป็นที่สนใจเองตามธรรมชาติ เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้ทำอะไรหรือพูดอะไร มันก็ดูไปคำพูดที่น่าเชื่อถือไปทั้งหมด 

"ผมไม่เคยออกมาพูดสักคำว่าผมเจ็บปวดแค่ไหนตอนที่ผมย้ายออก ผมจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อคนเขียนข่าวนี้ แม้ว่าพวกเขาจะขอโทษ แต่สายเกินไป ทุกคนเชื่อแบบนั้นไปแล้ว"

"ผมที่อยู่กับ เชลซี มาตั้งแต่ 7 ขวบไม่เคยคิดทำอะไรที่ไม่เคารพสโมสรเลย ความเป็นจริงมันคือเรื่องของฟุตบอลล้วน ๆ ปีสุดท้ายของผมกับ เชลซี มันยากลำบาก เป็นปีแห่งการรอคอยโอกาสลงเล่น และมันไม่ควรเป็นแบบนั้นสำหรับนักเตะที่กำลังจะก้าวพ้นคำว่าดาวรุ่ง ดังนั้นการย้ายทีมจึงเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าควรแก่เหตุและเวลามากกว่า" โซลันกี้ กล่าว

ในฤดูกาล 2017-18 โซลันกี้ ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล และอย่างที่เรารู้กัน นั่นคือยุคของ 3 เทพอย่าง บ็อบบี้ ฟีร์มิโน่, ซาดิโอ มาเน่ และ โม ซาลาห์ ไหนจะมี ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ เป็นตัวสำรองอีก ทำให้เขาได้ลงเล่นในซีซั่นดังกล่าว 27 นัด แต่เป็นตัวจริงเพียง 6 นัด และยิงได้เพียงประตูเดียวเท่านั้น ซึ่งเกิดขึ้นในวันสุดท้ายของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนั้นกับไบรท์ตัน กลายเป็นเกมสุดท้ายของเขากับลิเวอร์พูล และเขาถูกขายให้กับ บอร์นมัธ ด้วยค่าตัว 17 ล้านปอนด์ในเดือนมกราคม 2018

การย้ายไปบอร์นมัธ ทำให้ โซลันกี้ ยืนยันตัวเองว่าเขาจะไม่ใช่กองหน้าตัวท็อปของรุ่นอายุอีกแล้ว เพราะคลื่นลูกใหม่หลายลูกไล่ตามหลังมา หลายคนแซงเขาไปแล้วด้วยซ้ำ ทว่า ... ที่ บอร์นมัธ "เรียล โซลันกี้" ได้ถือกำเนิดขึ้นที่นั่น 

"วันที่ผมสามารถก้าวขึ้นมาเป็นกองหน้าระดับท็อปของลีกได้ นั่นจะเป็นวันที่พวกคุณรู้จักตัวตนของผมมากขึ้น โดยที่ผมไม่ต้องพูดอธิบายตัวเองเลยด้วยซ้ำ" ประโยคนี้จาก โซลันกี้ กำลังจะเกิดขึ้นจริง 

 

ยิงประตูแทบทุกสัปดาห์ ... กองหน้าอนิเมะ 

ชื่อของ โซลันกี้ เกือบหายจากวงการฟุตบอลอังกฤษไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะช่วงแรกกับ บอร์นมัธ จัดว่าแย่มาก นักเตะค่าตัวตั้ง 17 ล้านปอนด์ ใช้เวลานานถึง 1 ปีกว่าจะยิงประตูแรกให้กับทีมได้ แถมยังเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมชุดตกชั้นเมื่อปี 2020 อีกต่างหาก ... เรื่องมันชวนคิดว่าเขาเป็นดาวรุ่งที่ล้มเหลวตอนโตอย่างเลี้ยงไม่ได้ 

"ปีนั้นไม่ดีเลย เรื่องต่าง ๆ คำวิจารณ์เกิดขึ้นและส่งผลต่อผมโดยตรง ผมสร้างผลกระทบให้คนจำนวนมากรอบตัว แต่อย่างที่บอกคุณตอบกลับเรื่องนี้ได้ดีที่สุดเพียงทางเดียวคือการพยายามยามต่อไป เชื่อมั่นและก้าวไปข้างหน้าเสมอ"

"ในวงการฟุตบอลมีเรื่องต่ำสุดและสูงสุดของนักเตะในลีกเกิดขึ้นทุกวันนั่นแหละ ผมรู้ว่าตอนนี้มันเป็นคิวของผม และมันต้องมีอะไรที่ผิดพลาดสักอย่าง ผมต้องพยายามเปิดมุมมองและแก้ไขมันให้ถูกต้องด้วยตัวผมเอง" 

อะไรที่ทำให้ โซลันกี้ เปิดโลกทัศน์หลังปีที่ตกชั้น ? คำตอบที่ไม่น่าเชื่อคือเขาใช้เวลากับการดูสื่อบันเทิงที่เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น ... อย่างแรกคือสารคดีเกี่ยวกับนักกีฬาดัง ๆ ระดับโลกที่สอดแทรกแนวคิดต่าง ๆ และมุมมองของคนที่ประสบความสำเร็จที่สุด โซลันกี้ รู้สึกว่าสิ่งที่คนในหนังพูด คือสิ่งที่เขาอาจจะพลาดหรือมองข้ามไปในอดีต 

"คุณเชื่อไหมล่ะ ผมเริ่มหาดูสารคดีเกี่ยวกับนักกีฬาหลายเรื่องทั้ง The Last Dance ของ ไมเคิล จอร์แดน, สารคดีของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้, คาริม เบนเซม่า และ นิโกล่าส์ อเนลก้า อะไรพวกนี้"

"พอคุณดูพวกเขา คุณจะพบความจริงบางข้อที่คุณต้องรับให้ได้ นั่นคือบางครั้งที่คุณคิดว่าตัวเองทุ่มสุดตัวแล้วมันอาจจะยังไม่มากพอ ถ้าเทียบกับสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นทุ่มเทเสียสละตัวเอง นี่แหละที่ทำให้ผมผ่านวันแย่ ๆ และย้อนกลับมามองตัวเอง" 

"ผมไม่ได้ดูว่าพวกเขาเก่งเป็นเทพพระเจ้าแค่ไหน แต่ที่ผมตั้งใจดูคือการรับมือกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก เพราะนักกีฬาที่ดีจะแสดงทัศนคติที่ดีขึ้นมาในช่วงเวลาแบบนี้ ผมพยายามใช้แนวคิดนั้น และผมคิดว่าไม่นานนัก ผมได้เห็นรางวัลของตัวเองบ้างแล้ว แม้มันจะไม่ใช่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เมื่อเทียบกับพวกเขาก็ตาม" 

กองหน้าชั้นดี ... จะพูดแบบนี้ก็คงไม่ผิดนักหากคุณจะหาคำจำกัดความของ โซลันกี้ ในช่วงเวลากับ บอร์นมัธ หลังจากปี 2020 เป็นต้นมา ชื่อของเขากลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง มีข่าวกับทีมใหญ่ ๆ ได้กลับมาติดทีมชาติอังกฤษ และสุดท้ายเขาก็กลายเป็นสมาชิกของ สเปอร์ส ด้วยราคาถึง 60 ล้านปอนด์ 

พอเขาเริ่มยิ่งประตู เรื่องดี ๆ ก็เกิดขึ้นอย่างที่เขาว่า สิ่งที่เขาพูดหรือทำทั้งในและนอกสนาม กลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากขึ้น และหนึ่งในนั้นคือการฉลองลูกยิงประตูตัวเองด้วยการใช้ท่าของตัวละครในอนิเมะญี่ปุ่นหลายเรื่อง ๆ อาทิ วันพีซ และ นารูโตะ ที่ถือเป็นความลับที่ซ่อนมานาน เพราะการดูอนิเมะเหล่านี้นี่แหละ ถือเป็นแรงขับชั้นดีไม่แพ้การดูสารคดีของ ไมเคิล จอร์แดน เลย 

เนื่องจากมังงะหรืออนิเมะของญี่ปุ่นที่เป็นการ์ตูนแนว "โชเน็น" (เด็กผู้ชาย) มักจะมีเรื่องราวของความพยายาม ความมุ่มมั่น การก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง การสู้เพื่อสิ่งที่ตัวเองรัก และความสามัคคีภายในทีมคือพลัง อะไรแนว ๆ นั้น ซึ่ง โซลันกี้ ถือเป็นคออนิเมะตัวยงที่ดูการ์ตูนเหล่านี้เป็นประจำ จนสุดท้ายเขาก็แสดงออกมาผ่านท่าดีใจหลังยิงประตูได้

"ผมคือแฟนอนิเมะโดยตรง โดยเฉพาะเรื่อง นารูโตะ ถือเป็นเรื่องที่ผมหยุดดูไม่ได้ ... ผมย้ำเลยว่ามันไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรือเรื่องราวของเด็ก ๆ แบบที่หลายคนเข้าใจ เพราะสิ่งที่สอดแทรกในตัวละครพวกนี้คือเรื่องของการไม่ยอมแพ้ กว่าที่ตัวเอกในเรื่องจะเก่งระดับไร้ความปราณีได้ พวกเขาผ่านเรื่องราวหนัก ๆ มาทั้งนั้น  มันเข้าถึงแก่นแท้ของนักเตะอาชีพได้ ถ้าคุณตั้งใจดูในมุมนั้น" โซลันกี้ กล่าว 

ณ ตอนนี้หลังยิงประตูได้ แฟน ๆ และสื่อเริ่มจับตาดูแล้วว่าเขาจะดีใจด้วยท่าของตัวละครไหนอีก ... ช่วงเวลาขาขึ้นในอาชีพของ โดมินิค โซลันกี้ เรื่องราวลบ ๆ ในอดีตถูกลืมไปหมดแล้ว ซึ่งมันยืนยันได้ดีมาก ๆ ว่าสิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดว่าฟอร์มที่ดี การเล่นที่แข็งแกร่ง และจำนวนประตูที่ยิงได้ คือสิ่งที่กำหนดว่าคนอื่น ๆ ภายนอกจะพูดถึงตัวคุณอย่างไร 

ดังนั้นในช่วงเวลาที่แย่ ๆ สิ่งที่จะผ่านไปได้คือ "ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน" ... มีแค่คุณเท่านั้นที่จะข้ามขีดจำกัดที่ตัวเองเชื่อมั่น โดมินิค โซลันกี้ ได้เปิดผนึกจิ้งจอกเก้าหางสำเร็จเหมือนกับที่ นารุโตะ ทำได้ ที่เหลือก็ต้องรอดูว่าพลังของเขาจะถล่มโลกได้เหมือนกับตัวละครสุดรักของเขาสามารถทำในอนิเมะเรื่องนี้ได้หรือไม่ 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.nytimes.com/athletic/2829989/2021/09/19/solanke-being-at-chelsea-and-liverpool-was-like-taking-a-masters-degree-in-being-a-striker/
https://www.bbc.com/sport/av/football/68855151
https://www.tottenhamhotspur.com/news/2024/august/dominic-solanke-first-interview/
https://www.thesun.co.uk/sport/29996505/what-is-dominic-solanke-tv-inspired-goal-celebration/
https://en.wikipedia.org/wiki/Dominic_Solanke

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา