"ผมกดดันมากในการเล่นภายใต้การคุมทีมของเขา และผมมีปีแรกที่ห่วยแตกสิ้นดี"
เรื่องราวของ อังเคล ดิ มาเรีย กับ หลุยส์ ฟาน กัล ถือเป็นหนึ่งเรื่องราวความแตกแยกที่ "ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ" ตั้งแต่วันที่ทั้งคู่เคยทำงานกันที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จนกระทั่งถึงวันนี้ วันที่ ดิ มาเรีย เลิกเล่นทีมชาติไปแล้ว และกำลังนับถอยหลังสู่วันสุดท้ายของการค้าแข้งไปทุกขณะ
ในมุมสื่อ เราได้เห็นเรื่องต่าง ๆ ของทั้ง 2 ฝั่งมาพอสมควรแล้ว ... และ ดิ มาเรีย มีโอกาสได้พูดในมุมมองของเขาแบบจัดเต็มบ้าง พร้อมบอกเหตุผลว่า กุนซือชาวดัตช์รายนี้คือฝันร้ายของนักเตะอเมริกาใต้อย่างแท้จริง
นี่คือข้อมูลที่เราได้มาจากการดูสารคดี Angel Di Maria : Breaking down the Wall ที่กำลังฉายใน Netflix ณ ขณะนี้
ทิวลิปเหล็ก
หลุยส์ ฟาน กัล เป็นโค้ชที่ถูกตั้งฉายาว่า "ทิวลิปเหล็ก" อันมาจากความยึดมั่นและแน่วแน่ในแนวคิดของตัวเองมากกว่าโค้ชชาวดัตช์คนไหน ๆ
เป็นที่รู้กันดีว่าหลังยุค 1970 เป็นต้นมาฟุตบอลของประเทศเนเธอร์แลนด์ดำเนินรอยตามแท็คติกของ ไรนุส มิเชลส์ ตำนานกุนซือผู้คิดค้น โททัล ฟุตอล ซึ่งแท็คติกนี้ถูกสานต่อโดย "โค้ชเทวดา" อย่าง โยฮัน ครัฟฟ์
แนวทางดังกล่าวเป็นเหมือนพิมพ์เขียวของฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ทั้งระบบ และส่งต่อแนวคิดเช่นนี้กันมาเรื่อย ๆ แม้กระทั่งทุกวันนี้ในทัวร์นาเมนต์ทีมชาติรายการใหญ่ ๆ เราก็น่าจะได้เห็นว่า เนเธอร์แลนด์ เป็นทีมที่เน้นการครองบอลเป็นหลัก เข้าทำด้วยวิธีการเล่นเป็นทีม โดยจะฉีกวิธีไปบ้างตามความสามารถของนักเตะ และแท็คติกที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่โดยโครงแล้ว พวกเขายังเป็นบอลคอนโทรลพันธุ์แท้ เหมือนกับ 40 ปีที่แล้วไม่เปลี่ยนแปลง ... ทว่ามีเพียงคนเดียวที่ฉีกขนบ และเลือกจะทำฟุตบอลที่แตกต่างออกไป แถมยังประสบความสำเร็จด้วย
นั่นคือ หลุยส์ ฟาน กัล กุนซือที่มีความแข็งกร้าวเป็นอย่างมากในการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อ หรือแม้แต่การปกครองเด็ก ๆ ของเขา ฟุตบอลของ ฟาน กัล ถูกเรียกว่า "แอนตี้ ฟุตบอล" ... เข้าใจง่าย ๆ คือถ้า โททัล ฟุตบอล เน้นที่เกมบุกและความสวยงาม แอนตี้ฟุตบอล ของ ฟาน กัล ก็เป็นฟุตบอลเน้นผลการแข่งขัน แก้รายละเอียดเป็นเกม ๆ ไป โดยเฉพาะเวลาที่เขาคุมทีมที่มีองค์ประกอบไม่ค่อยดีนัก ทีมของเขามักจะถูกเรียกชื่อนำหน้าว่า "น่าเบื่อ" (Boring) กันเลยทีเดียว
แต่อย่างที่บอก ฟาน กัล จะน่าเบื่อแค่ไหน เมื่อดูหน้าเกียรติประวัติ เขาเป็นโค้ชชาวดัตช์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดนับตั้งแต่เขาเริ่มคุมทีมจนกระทั่งถึงตอนนี้ สาเหตุที่ทำได้ก็เพราะว่า ถ้าเขาสามารถควบคุมนักเตะอยู่ ได้ใจนักเตะทุกคน มันไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่วิธีการของเขาจะประสบความสำเร็จ
หัวใจสำคัญคือ ฟาน กัล อยากได้นักเตะที่ทำได้ตามที่เขาสั่ง ไม่ปฏิเสธข้อเรียกร้องของเขา และที่สำคัญ ไม่ทำตัวเป็นศัตรูของเขา ... ซึ่งขั้วตรงข้ามของนักเตะที่ ฟาน กัล พูดถึงโดยตรง และทุกคนบนโลกนี้ต่างรู้เรื่องราวของเขาทั้งคู่ดี นั่นคือ อังเคล ดิ มาเรีย นั่นเอง
ฟาน กัล vs ดิ มาเรีย ... ศึกเริ่มต้นของวลี "เกลียดแข้งละติน"
ก่อนที่ ฟาน กัล จะมาคุม แมนฯ ยูไนเต็ด และทำงานร่วมกับ อังเคล ดิ มาเรีย ในฐานะนักเตะค่าตัวแพงที่สุดของสโมสร ฟาน กัล เองก็เคยมีเรื่องกับนักเตะอเมริกาใต้ชื่อดังมาเหมือนกัน อาทิ ริวัลโด้ เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ชาวบราซิล และ ฮวน โรมัน ริเคลเม่ เพลย์เมคเกอร์อัจฉริยะชาวอาร์เจนไตน์ เพียงแต่มันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โต โดนกระพือเล่นข่าวเหมือนตอนที่เขาเล่นยืนตรงข้ามกับ ดิ มาเรีย
ดิ มาเรีย เริ่มเล่าว่า การที่เขาตัดสินใจย้ายจาก เรอัล มาดริด มาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2014-15 เพราะเขาได้รับการติดต่อและทาบทาม พร้อมเสนอค่าเหนื่อยงาม ๆ จาก เอ็ด วู้ดเวิร์ด ซีอีโอ ของปีศาจแดงในเวลานั้น และอย่างที่รู้กัน ณ เวลานั้น ยูไนเต็ด มีวิธีการซื้อในแบบที่แปลก ๆ ตรงที่พวกเขาจะขอความเห็นจากโค้ชไม่มากนัก แต่ละดีลจะต้องเป็นนักเตะชื่อดัง มีมูลค่าทางการตลาด ที่ย้ายมาแล้วจะทำให้แบรนด์ของสโมสรแข็งแกร่งขึ้น
ดังนั้น ... เราจะพูดได้ไหมว่า ดิ มาเรีย ไม่ได้ยินยอม 100% ที่จะย้ายมา ? ย่อมได้ ถ้าคุณจะคิดแบบนั้น เพราะ ฟาน กัล ก็เคยออกมาบอกเองหลังจากโดนปลดจากตำแหน่งที่ ยูไนเต็ด ว่า นี่คือสโมสรที่เขาขอนักเตะคนไหนก็ไม่ได้ ส่วนคนที่ได้ ก็ไม่ใช่คนที่เขาต้องการ จน ฟาน กัล ให้ฉายา แมนฯ ยูไนเต็ด ว่า "Commercial Club" หรือสโมสรการตลาด
สาเหตุอะไรที่ทำให้ ฟาน กัล ไม่ชอบ ดิ มาเรีย ? ... เท่าที่ ฟาน กัล เคยพูดด้วยตัวเอง มีเพียงการพูดว่า "ดิ มาเรีย เป็นผู้เล่นที่ดี แต่ตอนที่เขาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด เขาเป็นนักเตะที่มีปัญหาส่วนตัวมากมาย"
ส่วนเรื่องอะไรที่ทำให้ ดิ มาเรีย เริ่ม เกลียด ฟาน กัล ? ข้อนี้ง่ายกว่าเยอะ เพราะ ดิ มาเรีย ออกมาวิจารณ์ ฟาน กัล หลายต่อหลายครั้งหลังแยกทาง ครั้งหนึ่งเขาบอกว่า "ฟาน กัล คือโค้ชที่ห่วยแตกที่สุดตลอดกาล" เลยทีเดียว
คำตอบแบบเจาะลึกชัดแจ้ง เกิดขึ้นในสารคดีของเขา ดิ มาเรีย มาถึง แมนเชสเตอร์ และมีกลุ่มเพื่อนซี้ที่เป็นนักเตะสเปนอย่าง ดาบิด เด เคอา, ฆวน มาต้า และ อันเดร์ เอร์เรร่า ซึ่งคนนี้คือเพื่อนที่เขาสนิทที่สุด
ดิ มาเรีย เล่าว่า เขามาที่นี่แบบเต็มใจ 100% แต่ ฟาน กัล เป็นคนทำให้มันลดลงจนไม่เหลือเลย ... เรื่องเริ่มจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ออกสตาร์ทไม่ดีนักในซีซั่นนั้น แต่ ดิ มาเรีย เล่นดีมากในช่วงแรก ทั้งประตูและแอสซิสต์เกิดขึ้นแทบทุกเกมที่ลงสนาม ทุกอย่างเป็นไปไม่ได้สวยมาก จนกระทั่ง ฟาน กัล หาเรื่องด่าเขาในทุก ๆ เกม ไม่ว่าเกมนั้นเขาจะยิงหรือแอสซิสต์ได้ก็ตาม ... หรือแม้กระทั่งวันที่ทีมชนะ ฟาน กัล ก็จะหาเรื่องโจมตี ดิ มาเรีย จนได้
"ผมว่า ดิ มาเรีย เริ่มต้นได้ดีมาก หลายคนบอกว่าอีกไม่นานผมอาจจะได้เป็นตำนานสโมสร แต่ก็มีสิ่งแปลก ๆ เกิดขึ้น เขาเป็นคนที่ถูก ฟาน กัล วิจารณ์ในห้องแต่งตัวมากกว่าใคร ๆ สำหรับ ดิ มาเรีย เขาจะโดนด่าทุกครั้งที่เขาเสียบอล ผมว่ามันน่าจะมีเรื่องบางอย่างระหว่าง ดิ มาเรีย กับ ฟาน กัล" เอร์เรร่า เริ่มเล่า
"จนกระทั่งช่วงเวลาหนึ่งที่ผมรู้ว่าทุกอย่างเริ่มพังทลาย ฟาน กัล เรียกร้องสิ่งต่าง ๆ จาก อังเคล มากกว่าที่เขาเรียกร้องจากพวกเรา บางครั้งตัวของเราในฐานะเพื่อนร่วมทีมยังแอบคิดไม่ได้ว่า นี่มันมากเกินไปหรือเปล่า ... และ ดิ มาเรีย ก็ไม่เคยกลับมาเล่นได้ดีอีกเลย"
จากนั้นมีเรื่องสำคัญจริง ๆ เกิดขึ้นที่ทำให้ ดิ มาเรีย ตัดสินใจย้ายทีม ก็คือวันที่ครอบครัวของเขาถูกโจรขึ้นบ้าน ซึ่งในบ้านมีเพียงภรรยา ลูกน้อยวัย 3 ขวบ และพี่เลี้ยง แม้จะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ส่งเสริมให้ความอยากย้ายออกของ ดิ มาเรีย มาถึงขีดสุด ฟุตบอลก็เล่นไม่ได้ ครอบครัวก็ปรับตัวไม่ได้ แถมยังต้องเจอความสัมพันธ์แบบ Toxic กับเจ้านายทุกวัน นั่นคือสิ่งที่ ดิ มาเรีย ตัดสินใจเด็ดขาดว่า ต้องย้ายแน่นอน
"ผมยังจำประโยคสุดท้ายที่เราคุยกันได้เลย ผมแปรงฟันอยู่ข้าง อังเคล และเขาก็พูดว่า 'เพื่อน ... ฉันไปแล้วว่ะ'" เอร์เรร่า เล่าย้อนความ ก่อนเขาจะถามกลับว่า "ย้ายยังไง ? นายเพิ่งมาที่นี่ได้ 10 เดือนด้วยค่าตัวขนาดนั้น นายย้ายไม่ได้แน่นอนเพื่อน ... รู้ไหม เขาตอบผมว่ายังไง ? เขาบอก 'ย้ายสิ ฉันย้ายแน่นอน'"
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ดิ มาเรีย ก็ย้ายไป เปแอสเช พร้อมทั้งทิ้งประโยคหนึ่งเอาไว้ว่า ฟาน กัล เป็นพวกเกลียดนักเตะอเมริกาใต้ ... เรื่องนี้ ฟาน กัล ไม่เคยออกมาพูด แต่ความจริงมันเป็นแบบนั้นจริงหรือ ?
ให้ความเป็นธรรมกับทั้งคู่
เรื่องนี้มันง่ายมากถ้าคุณจะคล้อยตามสิ่งที่ ดิ มาเรีย พูด เพราะ ฟาน กัล เป็นโค้ชเจ้าระเบียบและไม่ชอบให้ใครเถียงและเป็นใหญ่กว่าเขาในห้องแต่งตัว
แตกต่างกันสิ้นเชิงกับสไตล์นักเตะอเมริกาใต้ส่วนใหญ่ที่มีความเป็นศิลปินสูง รักอิสระ ชอบทำอะไรตามใจตัวเองทั้งในและนอกสนาม อย่างในราย ดิ มาเรีย ตัวของเขาก็เปิดเผยว่าเขาเคยเถียงกับ ฟาน กัล เรื่องนี้ด้วย
"เราชนะ ผมยิงประตูได้ แต่เขาไม่ชมผมสักคำ ไม่แม้แต่รอยยิ้ม มีแต่คำติที่บอกว่าผมเสียบอลตั้ง 4-5 ครั้งในเกมนี้ ... ผมสวนกลับไปว่า ผมเสียบอลเยอะเพราะมันเป็นวิธีการเล่นของผมที่ผมพยายามจะทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น ๆ ผมพยายามจะแอสซิสต์หรือทำประตูตลอดไง" ดิ มาเรีย เล่าย้อนครั้งแรกที่พวกเขาเริ่มมีปากเสียงกัน
ฟาน กัล ไม่เคยออกมาพูดเรื่องราวเกี่ยวกับ ดิ มาเรีย มากนัก รวมถึงการพูดถึงประเด็นเกลียดแข้งอเมริกาใต้ด้วย ซึ่งถ้าเราจะฟังความสองข้าง เราอาจจะต้องวิเคราะห์กันต่อว่า จริง ๆ แล้ว ฟาน กัล อาจะไม่ชอบแค่นักเตะที่ไม่เข้ากับสไตล์ หรือกระด้างกระเดื่องกับเขาหรือเปล่า ? ไม่จำเป็นต้องเป็นนักเตะจากภูมิภาคไหน ... เพียงแต่ว่ามันเป็นเรื่องของธรรมชาตินักเตะอเมริกาใต้ที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นศิลปินแบบนี้
ฟาน กัล เคยทำกับใครอย่างนี้อีกบ้างที่ไม่ใช่นักเตะอเมริกาใต้ ? ... ครั้งเดียวกันที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ฟาน กัล เอา บิคตอร์ บัลเดส เข้ามาเป็นผู้รักษาประตูสำรอง ซึ่ง บัลเดส เองเป็นนักเตะที่บอกว่า "ฟาน กัล เหมือนกับพ่อของผม" แต่สุดท้าย เมื่อ บัลเดส เป็นคนที่ไม่ใช่สำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ใช่แม้กระทั่งประตูมือ 2 ฟาน กัล ก็ทำหน้าที่ของเขาอย่างเด็ดขาด โดยไม่มีการเห็นแก่ความรู้จักมักจี่ที่มีต่อกัน
ฟาน กัล ดรอป บัลเดส ไปเล่นทีมสำรองอยู่ 6 เดือน จนสุดท้าย บัลเดส ต้องพยายามหาทางย้ายออกและบอกว่า "นี่คือช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต 6 เดือนที่แมนเชสเตอร์ เป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายมากจริง ๆ"
แต่เมื่อสื่อถาม บัลเดส ต่อว่า ฟาน กัล เป็นคนที่ทำให้เขาเจอเรื่องร้าย ๆ แบบนี้หรือไม่ ? บัลเดส กลับตอบมาว่า "จะไม่มีคำหยาบคายใด ๆ ของผมที่มีต่อ ฟาน กัล เขาเหมือนพ่อของผม เป็นคนสำคัญของผม เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและไม่ได้มีปัญหาต่อกันแน่นอน"
และเมื่อเราเปิดดูรายชื่อนักเตะที่เคยทำงานกับ ฟาน กัล ในยุคที่เขาทำทีมมีถ้วยแชมป์ไม่ว่าจะกับ อาแจ็กซ์, บาร์เซโลน่า, อาแซด, แมนฯ ยูไนเต็ด และ บาเยิร์น มิวนิค เราพบว่าสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ เขามีนักเตะอเมริกาใต้ในฐานะตัวหลักของทีมน้อยมาก คนที่พูดได้เต็มปากว่าตัวหลักคือ อารี่ กองหน้าชาวบราซิล และ เซร์คิโอ โรเมโร่ ประตูชาว อาร์เจนติ สมัยเขาพา อาแซด อัลค์มาร์ คว้าแชมป์ลีกดัตช์
ส่วนคนอื่น ๆ อย่าง ริวัลโด้, ริเคลเม่, 2 พี่น้อง ดา ซิลวา ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่หัวใจสำคัญของในยุคของเขาเท่าไรนัก และหลายคนก็จบกับเขาแบบไม่สวยเท่าไรนัก
ฟาน กัล ก็คือ ฟาน กัล และ นักเตะอเมริกาใต้ ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ต่างฝ่ายต่างยากจะเปลี่ยนแปลง และต่างฝ่ายต่างก็มีปรัชญา ความเชื่อ และวิธีการที่แตกต่างกัน ... ตอนนี้การจะตัดสินว่าเขาเกลียดนักเตะอเมริกาใต้เป็นพิเศษหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ตอนนี้มันเป็นเรื่องต่างคนต่างไปมากกว่า มันเป็นธรรมชาติของโลกฟุตบอล เมื่อทำงานด้วยกันไมได้ เดินบนเส้นทางเดียวกันไม่ได้ ก็ต้องแยกย้ายกันไปตามระเบียบ
โลกฟุตบอลในยุคปัจจุบัน ดราม่านั้นขายได้เสมอ ... แต่สุดท้ายคุณก็ต้องยอมรับโดยดีว่า ฟาน กัล เป็นหนึ่งในโค้ชที่ยอดเยี่ยมที่วงการฟุตบอลเคยมี เช่นเดียวกับ ดิ มาเรีย ที่เป็นนักเตะที่ประสบความสำเร็จมากมายในอาชีพของเขา